ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่226 พาเธอกลับมาในเทศกาลไหว้พระจันทร์
ตอนที่226 พาเธอกลับมาในเทศกาลไหว้พระจันทร์
อย่างไรก็ตามจ้าวเฉียนยังเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธออยู่บ้าง แม้ว่าจะไม่ชัดเจนหรือเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ครั้งแรกของเธอก็เสียให้แก่เขา ยิ่งไปกว่านั้นลึกๆในใจของเขาก็ใช่ว่าจะไม่รักหรือห่วงใยกันเลย
หวานหลินตอนนี้อาการทรุดหนักเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว หากสงครามกราฟหุ้นยังสิ้นสุดลงในวันนี้ อาการของเขาอาจจะเลวร้ายกว่าเดิม นี่จึงเป็นเหตุผลที่จ้าวเฉียนต้องการยุติปัญหาทั้งหมดให้จบลงโดยเร็วที่สุด
ต่อให้ต้องใช้เงินมากกว่าเดิมก็ไม่เป็นไร เพราะเขามั่นใจอย่างมากว่า เขาจะต้องได้รับเงินทั้งหมดกลับคืนในไม่ช้าก็เร็ว ทั้งหมดอยู่ที่ความสามารถในการบริหาร
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของหวู่เสี่ยวหัว จ้าวเฉียนก็ดูเย็นใจลงเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า
“โอเค รีบดำเนินการโดยเร็วที่สุด”
“ค่ะดิฉันจะรีบดำเนินการทันที คุณชายอย่าเพิ่งหัวเสียไปนะคะ รอฟังข่าวดีจากดิฉันได้เลย”
คล้อยหลังวางสายไป หวู่เสี่ยวหัวก็รีบสั่งลูกน้องให้ติดต่อไปหาผู้ถือหุ้นสิบอันดับแรกของฮวาหยินกรุ๊ปโดยตรง ยกเว้นหวานหลินกับน้องชายของเขา
จ้าวเฉียนที่ดูลังเลใจอยู่สักพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจขับรถไปที่โรงพยาบาลทันที
แม่ของหวานเจียงกำลังนั่งเฝ้าหวานหลินอยู่ในห้องไอซียูอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ตัวหวานเจียงกำลังนั่งรออยู่ด้านนอกด้วยความโศกเศร้าเสียใจ
จ้าวเฉียนเดินไปหยุดตรงหน้าเธอ
หวานเจียงค่อยๆเงยศีรษะขึ้นมอง และพอเห็นว่าเป็นจ้าวเฉียน เธอก็ร้องไห้ออกมาทันที
จ้าวเฉียนยื่นผ้าเช็ดหน้าออกมาให้ซับน้ำตา แต่เธอกลันเบนศีรษะหนีราวกับกำลังหลีกเลี่ยงอีกฝ่าย ไม่นานหลังจากนั้น จู่ๆเธอก็กระชากคว้ามือของจ้าวเฉียนมา พร้อมฝังเขี้ยวกัดสุดแรงเกิดด้วยความโกรธจัด
จ้าวเฉียนไม่ได้ชักมือหนีออกมาแต่อย่างใด มองดูเธอกัดไม่หยุดแบบนั้นอย่างเฉยเมย
หวานเจียงกำลังระบายความโกรธและขุ่นแค้นใจทั้งหมดที่มี ไม่นานฝ่ามือของจ้าวเฉียนก็ชโลมไปด้วยเลือด พอเห็นแบบนั้นเธอก็ค่อยๆอ้าปากที่เปรอะเปื้อนเลือดและปัดมืออีกฝ่ายทิ้งไป
จ้าวเฉียนไม่ปริปากกล่าวใดๆออกไป เพียงเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้หวานเจียง และคราวนี้เธอก็ไม่ได้หลบเลี่ยงแต่อย่างใด
เพราะไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของพ่อเธอ หวานเจียงจึงลากจ้าวเฉียนออกจากโรงพยาบาล มายังจัตุรัสกลางเมืองแทน
“มาทำอะไรที่นี่? ซ้ำเติมพวกเราเหรอ?”
หวานเจียงเอ่ยถามอย่างขุ่นเคืองใจ
“ฉันจะมาดูว่าพ่อเธออาการเป็นยังไงบ้าง? นี่เธอมองโลกในแง่ลบเกินไปรึเปล่า?”
หวานเจียงเค้นเสียงหัวเราะเยาะขึ้นทันควัน เอ่ยตอบไปว่า
“ไม่ต้องมาหน้าไหว้หลังหลอกเลย ไม่ใช่ว่าเวลานี้นายควรไปฉลองกับความสำเร็จหรอกเหรอ? ทำลายฮวาหยินกรุ๊ปได้แล้วหนิ? ทำให้ฉันร้องไห้ได้พอใจแล้วรึยัง? ทำไม…ทำไมนายถึงได้โหดร้ายกับฉันได้ชนาดนี้ ทำไม…”
ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี หวานเจียงยกมือปิดหน้าและนั่งยองปล่อยโฮร้องไห้ทั้งแบบนั้น
จ้าวเฉียนนั่งยองตามเช่นกันและเอ่ยถามขึ้นว่า
“เธอร้องไห้ทำไม?”
“ถ้าพ่อนายยังนอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาล นายจะไม่ร้องไห้รึไง?”
หวานเจียงสวนกลับทันที
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบ ถอนหายใจคำหนึ่ง
“เป็นฉันก็ร้องไห้นั่นแหละ แต่ฉันไม่มีทางเป็นแบบเธอแน่นอน ในเวลาแบบนี้ไม่ใช่ว่าเธอควรติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านสมองหรือเนื้องอกโดยตรงหรอกเหรอ? แทนที่จะเอาเวลามานั่งร้องไห้สิ้นหวัง สู้ไปหาช่องทางติดต่อคนพวกนั้นดีกว่าไหม? เอาแต่ร้องไห้แบบนี้ พ่อจะหายป่วยไหม?”
หวานเจียงเงยหน้าขึ้นมองจ้าวเฉียนแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบลุกขึ้นพรวดปาดเช็ดน้ำตาโดยไวและกล่าวตอบไปว่า
“นายพูดถูก ฉันไม่ควรร้องไห้อยู่แบบนี้ ฉันต้องรีบไปหาหมอฝีมือดีๆมาช่วย แต่…ฉันจะไปหาจากไหนล่ะ? ระดับอาจารย์หมอเฉพาะทางในประเทศเกือบทั้งหมดต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่แนะนำให้ผ่าตัด ควรรักษาตามอาการเพื่อยิดอายุขัย ถ้าทำการผ่าตัดโอกาสรอดมีเพียง30%เท่านั้น ถ้าผ่าตัดผลาดขึ้นมา อย่างดีที่สุดคือสมองตาย พ่อของฉันจะต้องนอนเป็นผักไปตลอดชีวิต หรืออย่างแย่ที่สุดคือตายคาเคียงผ่าตัด”
จ้าวเฉียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบขึ้นว่า
“เห็นแก่ที่พวกเรารู้จักกันนะ คราวนี้ฉันจะช่วยเธอเอง ตอนนี้ฉันกำลังติดต่อผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมา แต่หน้าที่ของเธอคือไปหาล่ามภาษาอังกฤษที่เชี่ยวชาญด้านศัพท์ทางการแพทย์มาให้ฉันโดยเร็วที่สุด”
หวางเจียงเผยแววไม่ไว้วางใจสาดสะท้อนออกจากดวงตาอย่างชัดเจน เธอเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“นี่ฉันยังไว้ใจนายได้อีกเหรอ? แล้วอีกอย่างนะ พ่อของฉันอยู่ในวงการธุรกิจมาเป็นสิบปี ออกงานสังคมพบปะผู้คนมากมาย แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถรับประกันได้เลยว่าสามารถรักษาพ่อได้ แล้วนี่นับประสาอะไรกับนาย?”
จ้าวเฉียนขมวดคิ้วแน่นตำหนิกลับไปทันที
“เธอรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงมุ่งเป้าโจมตีฮวาหยินกรุ๊ป ไม่ใช่เพราะฉันต้องการบริษัทหรืออยากเป็นใหญ่ แต่เป็นเพราะฉันทนกับความหัวสูงของเธอไม่ไหว มั่นใจไปซะทุกอย่างว่าฮวาหยินกรุ๊ปแข็งแกร่งกว่าใครๆ มันทำให้ฉันอดทำลายเธอไม่ได้จริงๆ แล้วดูตอนนี้…ทั้งๆที่ไม่มีทางเลือกอื่นให้ตัดสินใจแล้วแท้ๆ ยังจะทำตัวอวดเก่ง พูดจาดูถูกฉันอีก ระวังเถอะ ถ้าพ่อของเธอเป็นอะไรไปจริงๆ ก็หัดโทษตัวเองซะบ้างแล้วกัน”
หลังจากสวดจบจ้าวเฉียนก็เดินจากออกไป ปล่อยให้หวานเจียงยืนค้างแข็งอยู่แบบนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่มีใครเคยดุด่าหวานเจียงขนาดนี้เหมือนจ้าวเฉียนมาก่อน พอได้ยินแบบนั้น เธอจึงยืนอึ้งพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปครู่ใหญ่
จ้าวเฉียนเดินขึ้นรถขับออกไป ระหว่างทางพลางต่อสายโทรไปหาจ้าวฝู่
“ฮาโหลพ่อ พอมีเวลาคุยไหม?”
จ้าวฝู่ยิ้มและตอบกลับไปว่า
“ลูกชายฉันไม่ค่อยมีเวลาให้เท่าไหร่น่ะ เห็นโทรมาหาแบบนี้ถึงไม่ว่างก็ต้องทำตัวให้ว่างล่ะนะ ว่าไง มีอะไร?”
จ้าวเฉียนยิ้มและตอบกลับไปว่า
“ถ้าอย่างนั้น ว่างๆผมต้องไปเยี่ยมสักหน่อยแล้ว คือผมอยากให้พ่อช่วยติดต่อหาผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและเนื้องอกจากต่างประเทศมาสักสองสามคน ยิ่งเก่งเท่าไหร่ยิ่งดี”
จู่ๆจ้าวฝู่ก็หัวเราะขึ้นและถามกลับไปว่า
“แน่นอน ฉันรู้นะว่าตอนนี้แกกำลังจะทำอะไร ปฏิบัติการช่วยพ่อตาในอนาคตงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า…”
ดูเหมือนว่าจ้าวฝู่จะรู้ทุกอย่าง ทั้งเรื่องฮวาหยินกรุ๊ปทั้งเรื่องที่หวานหลินป่วยหนัก
พอจ้าวเฉียนได้ยินแบบนั้นก็รีบพูดประจบทันควัน
“โถ่วคุณพ่อครับ…พ่อนี่เป็นไอดอลผมตั้งแต่ไหนแต่ไร สมัยโบราณ มีขงเบ้งคอยวางกลยุทธ์สมรภูมิศึก สมัยนี้มีจ้าวฝู่แห่งหวานจิ้ง ใครจะรู้ว่าเขาสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจากเด็กไม่มีอะไรคนหนึ่ง น่าชื่นชม น่าชื่นชม…”
จ้าวฝู่รู้สึกขบขันไม่น้อยพอโดนลูฏชายตัวเองประจบแบบนี้ เขายิ้มตอบกลับไปว่า
“เอาล่ะ เอาล่ะ เคยประจบพ่อได้แล้ว เดี๋ยวจะช่วยแกติดต่อหาให้เองไม่ต้องห่วง แต่แกจะต้องพาเธอกลับมาบ้านเราที่หยานจิ้งด้วยในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ เข้าใจไหม?”
จ้าวเฉียนตกปากรับคำด้วยความเขินอาย
“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาครับ แต่ประเด็นคือ…พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างพ่อหรือแม่คาดหวังเอาไว้นะบอกไว้ก่อน อย่าเอาเรื่องผมไปเล่าให้คนอื่นฟังด้วย ผมอาย”
“ไอ้เด็กคนนี้ แกไม่ใช่เด็กแล้วนะ ถึงเวลาต้องคิดเรื่องในอนาคตต่อไปได้แล้ว ไม่รู้แหละ แกต้องพาแม่สาวน้อยคนนั้นมา แถมเธอคนนี้แม่แกเองก็ดูถูกใจ ตราบใดที่แม่แกโอเค ทุกเรื่องบนโลกใบนี้ก็ไม่มีปัญหา ไม่ต้องอายน่า เป็นลูกผู้ชายต้องยืดอกยอมรับ”
ความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเฉียนกับหวานเจียงค่อนข้างคลุมเครือ บอกอะไรไม่ได้มากนัก แต่อย่างไร เรื่องที่เร่งด่วนที่สุดตอนนี้คือ การเสาะหาหมอผู้เชี่ยวชาญมารักษาหวานเจียงโดยเร็วที่สุด ส่วนเรื่องอื่นๆค่อยว่ากันทีหลัง
ดังนั้นจ้าวเฉียนก็ตอบพ่อกลับไปเพียงว่า
“พ่อ อย่ากดดันผมสิ ของแบบนี้ต้องค่อยๆดูกันไป เดี๋ยวผมจะพาเธอไปเจอช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์แน่นอน แต่อย่าปฏิบัติกับเธอราวกับเป็นลูกสะใภ้ในอนาคตเด็ดขาด เพราะพวกเราไม่ใช่อย่างที่พวกพ่อแม่คิด! ยังไงก็ฝากพ่อติดต่อเรื่องหาผู้เชี่ยวชาญมาด้วย โอเคนะพ่อ?”
จ้าวฝู่ตอบว่า
“เออ ไม่มีปัญหา ฉันจะส่งข้อความไปหาใหม่พรุ่งนี้”
“ครับ งั้นแค่นี้นะ ไม่รบกวนพ่อแล้ว ถึงยังไง อย่าลืมใส่ใจเรื่องสุภาพตัวเองด้วย ไม่ใช่เอาแต่ทำงานเข้าใจไหม? ผมไม่อยากวิ่งวุ่นติดตาหาผู้เชี่ยวชาญมารักษาพ่อแบบนี้ เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม?”
“รู้แล้วน่า ไอ้เด็กคนนี้แช่งพ่องั้นเหรอ?”
“ถ้าแช่งแล้วมันช่วยให้พ่อใส่ใจกับสุภาพตัวเองได้มากขึ้น งั้นผมจะโทรมาแช่งทุกวัน! วันนี้ทำงานเสร็จแล้ว ไปเดินลู่วิ่งหน่อยก็ยังดี แค่นี้แหละ ผมจะกลับแล้ว”
จ้าวเฉียนกดวางสายไปและแวะข้างทางซื้อข้าวเย็นกลับไปกินที่บ้าน
หลังจากถึงบ้านเขาก็อาบน้ำ นอนเล่นปัดมือถืออยู่บนเตียง เกือบห้าโมงเย็นเห็นจะได้ อวู่เสี่ยวก็โทรมาหา
“ว่าไงครับ? ผลเป็นยังไงบ้าง?”
หวู่เสี่ยวหัวรีบตอบกลับไปทันที
“คุณชายจ้าว เราได้โทรติดต่อกับผู้ถือหุ้นใหญ่สิบอันดับแรกหมดแล้ว เพื่อให้ได้ครอบครอง51%โดยไวที่สุด พวกเขาต้องการขายในราคาหุ้นปัจจุบันบวกอีก20%ค่าส่วนต่าง ก่อนที่พวกเราจะอนุมัติจึงโทรมาเรียนถามคุณชายอีกทีก่อน แต่ในความคิดของดิฉัน…”
จ้าวเฉียนตอบสวนกลับไปโดยไม่มีลังเลว่า
“ไม่มีปัญหา ตราบใดที่ผมได้หุ้นส่วน51%มาครอง ไม่ว่าเท่าไหร่ก็ยอมจ่าย”
หวู่เสี่ยวหัวกล่าวเตือนทันทีด้วยความเป็นห่วงว่า
“แต่หากทำเช่นนี้ ทางเราจะต้องเพิ่มงบอีกกว่าหลายร้อนล้านหยวน คุณชายจ้าวแน่ใจแล้วเหรอค่ะ? ความสามารถในการทำกำไรของฮวาหยินกรุ๊ปค่อยข้างจำกัดจริงๆ ค่อยหาโอกาสช้อนซื้อใหม่ดีกว่าไหมค่ะ?”
จ้าวเฉียนได้ยินดังนั้นจึงอธิบายตอบไปว่า
“นั้นก็แค่ชั่วคราวไม่ใช่เหรอ อีกอย่างราคาหุ้นปัจจุบันเหลือแค่สองหยวนต่อหุ้น หลังจากควบคุมเบ็ดเสร็จ ผมมีความสามารถมากพอที่จะทำให้ราคาหุ้นของที่นี่เพิ่มขึ้นอย่างน้อยห้าถึงหกเท่า ไม่ว่าจะคำนวณยังไงก็สามารถคืนทุนได้ภายในเวลาไม่กี่ปี ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจริงๆ ผมจะออกมารับผิดชอบเอง ไม่ยอมให้กระทบถึงคุณกับคุณพ่อของคุณแน่นอน ดังนั้นไม่ต้องกังวล”
หวู่เสี่ยวหัวได้ฟังแบบนั้นก็ตกใจอย่างมาก เธอรีบอธิบายเช่นกันโดยไว
“คุณชายจ้าว ดิฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นค่ะ โปรดใจเย็นก่อนนะคะ แค่รู้สึกว่าการกระทำนี้จะทำให้คุณชายจ้าวต้องเสียเงินเพิ่มโดยใช่เหตุรึเปล่าแค่นั้นเองค่ะ”
“ผมเข้าใจ ทำตามที่บอกเลยครับ ไม่ต้องห่วง”
“รับทราบค่ะ ดิฉันจะรีบดำเนินการก่อนตลาดปิดวันพรุ่งนี้นะคะ”
จ้าวเฉียนกดวางสายไป พร้อมเอนตัวลงนอนอย่างสบายใจ ตอนนี้ฮวาหยินกรุ๊ปอยู่ในมือเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว