ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่69 ให้ฉันสักพันล้าน
ตอนที่69 ให้ฉันสักพันล้าน
จ้าวเฉียนจัดแจงเก็บข้าวของให้เป็นระเบียบและกลับบ้านไปโดยเร็ว
ส่วนทางด้านหวานเจียงไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น เธอจึงวานให้คนสนิทนำเลือดของเธอไปตรวจเพื่อหาสิ่งเจือปนในเลือด เพราะท้ายที่สุดนี้ เธอก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าหวานฮันซูจะทำแบบนี้กับเธอ ทั้งยังสงสัยว่าจ้าวเฉียนนั้นแหละที่จงใจใส่ร้ายอีกฝ่าย
เวลาเก้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น จ้าวเฉียนและหวานเจียงนัดพบกันที่ประตูโรงพยาบาลรัฐที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมือง จากนั้นก็เข้าแผนกตรวจสอบด้วยกันเพื่อให้แพทย์ทำการทดสอบ
หวานเจียงเข้าพบคณบดีโดยตรง ซึ่งทางคณบดีเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทักทายทั้งสองด้วยความนอบน้อม สองชั่วโมงต่อมา ผลการตรวจสอบทั้งหมดก็ส่งตรงถึงมือพวกเขา
หวานเจียงที่ยืนอ่านรายงานอยู่สักพักใหญ่ ยามนี้คู่สายตาของเธอกลับจับจ้องอย่างว่างเปล่า ภายในหัวขาวโพลนจนคิดอะไรไม่ออก หวานฮันซูเป็นคนแบบนี้ได้ยังไง?
จ้าวเฉียนกล่าวขึ้นน้ำเสียงจริงจังว่า
“ตอนนี้คงรู้ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของคนที่เธอเชื่อใจนักหนาแล้วใช่ไหม?”
หวานเจียงไม่กล้าทำใจเชื่อกับหลักฐานตรงหน้าว่าเป็นเรื่องจริง แต่ทั้งลายนิ้วมือ ยาที่เจือผสมอยู่ในจานอาหาร รวมไปถึงแก้วไวน์ สิ่งพวกนี้จ้าวเฉียนไม่สามารถโกหกเธอได้
คล้อยหลังเงียบไปสักพักใหญ่ หวานเจียงพยักหน้ากล่วขึ้นว่า
“ฉันรู้ว่าต้องทำอะไร”
จ้าวเฉียนผงกศีรษะตาม
“เธอช่วยให้ข้อมูลของเพื่อนเธอคนนี้หน่อยได้ไหม? ฉันต้องการทราบว่าเขามาจากไหน ทำงานเป็นตัวแทนสมาคมหรือบริษัทไหน หรือบางทีที่ติดต่อกับเธออาจมีอะไรแฝง? หากทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกที่เขากุขึ้น ฉันแนะนำให้เธอเลิกติดต่อกับเขาไปเลยเป็นดีที่สุด”
หวานเจียงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร เธอบอกข้อมูลทั้งหมดที่รู้เกี่ยวกับหวานฉันซูให้กับจ้าวเฉียนฟัง
จ้าวเฉียนบันทึกข้อมูลและรายละเอียดต่างๆลงในมือถือ หลังจากบอกลาหวังเจียง เขาก็กลับเข้าบริษัททันที
ขณะอยู่ที่ชั้นล่างของบริษัท จ้าวเฉียนส่งข้อมูลทั้งมดของหวานฮันซูให้หยางหู่ จากนั้นก็โทรสายตรงหาเขาทันทีเพื่อสั่งงาน
“เสี่ยวหู่ ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดที่ฉันส่งไปให้ทีว่าเป็นความจริงหรือเปล่า จากนั้นก็วานส่งคนไปติดตามที ไปสืบมาว่าในหนึ่งวัน เขาติดต่อกับใครหรือทำอะไรบ้าง เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะรีบส่งคนดำเนินการทันที”
หลังจากวางสายไป จ้าวเฉียนที่กำลังจะเดินขึ้นบริษัท จู่ๆหงซิ่วก็โทรเข้ามาหา
“ประธานจ้าว ฟูจิโมริ กรุ๊ปส่งเมลตอบกลับมาแล้ว ทางนั้นยอมรับเงื่อนไขทั้งหมดของเราแล้ว แต่อย่างไรทางนั้นได้เพิ่มข้อสัญญาเสริมมาอีกอย่างคือ ต่อจากนี้แพลตฟอร์มของเราจะไม่สามารถดึงตัวสตีมเมอร์ของทางหลงย่าและสวอนได้อีกแล้ว”
ทั้งหมดเป็นไปตามความคาดหมายของจ้าวเฉียน เขาพยักหน้าตอบด้วยความพึงพอใจและกล่าวว่า
“โอเค คุณดำเนินการในส่วนที่เหลือเลย บอกทางนั้นไปว่า ไม่จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากฉันโดยตรง เธอถือว่าเป็นตัวแทนของฉัน ถ้าสิ่งใดคิดว่าเหมาะสมก็ตัดสินใจแทนไปเลย”
“ขอบพระคุณประธานจ้าวที่ไว้เนื้อเชื่อใจดิฉันมาตลอด ดิฉันจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนค่ะ!”
จ้าวเฉียนส่งเสียงตอบกลับเล็กน้อยและกดวางสายไป
ในไม่ช้า หยางหมิงก็ได้ข่าวว่า บริษัทฟูจิโมริ กรุ๊ปทุ่มเม็ดเงินกว่าสามพันล้านหยวนเข้าซื้อหุ้นในแพลตฟอร์มเทียนซูว ตอนนี้กลายเป็นว่าแพลตฟอร์มเฟยอวี่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตการครั้งใหญ่ จำต้องรับแรงกดดันจากสามแพลตฟอร์มยักใหญ่ที่ผนึกกำลังกัน สถานการณ์ในปัจจุบันของเฟยอวี่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงแล้ว
หยางหมิงยิ่งคิดยิ่งเข็บใจ แพลตฟอร์มเฟยอวี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแจ้งเกิดในฐานะนักธุรกิจดาวรุ่ง แต่ถ้าจู่ๆตอนนี้แพลตฟอร์มของเขาต้องล้มละลายโดยแพลตฟอร์มชั้นปลายแถวจากไหนไม่รู้ ความสามารถในการบริหารจัดการของเขาจะต้องถูกคนอื่นตั้งคำถามมากมายแน่นอน ถ้าเป็นแบบนั้น เขายังจะเข้ารับตำแหน่งประธานเฟยอวี่ กรุ๊ปในอนาคตได้อย่างไร?
หยางหมิงจึงเดินทางไปขอเงินพ่อของตนเป็นจำนวนหนึ่งพันล้านทันที เขาต้องการทำเลียนแบบแพลตฟอร์มเทียนซูว เพื่ออัดฉีดเงินจัดสร้างโฆษณาและเรียกยอดผู้เข้าชม
ทันทีที่หยางเฉิงได้ยินว่า ลูกชายของเขาอยากได้เงินมากถึงพันล้าน เขาก็ตกตะลึงจนแก้วน้ำที่ถืออยู่หลุดออกจากมือไปต่อหน้าต่อตา
“ลูกพ่อ ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม? แกต้องการเงินพันล้าน?”
หยางหมิงพยักหน้าตอบทันทีว่า
“พ่อได้ยินถูกแล้ว เงินหนึ่งพันล้านนี้เพื่อแก้ไขวิกฎตที่พวกเรากำลังเผชิญในปัจจุบัน ไม่เพียงแค่นั้น แต่ยังทำเพื่อสร้างหลักประกันว่า ผมมีความสามารถในการบริหารจัดการมากพอที่จะรับช่วงต่อจากพ่อ! เพราะอย่าลืม การจะขึ้นเป็นประธานคนต่อไป จะต้องได้รับการยินยอมจากบอร์ดบริหารด้วย พันล้านแลกกับอนาคตของตระกูลหยาง ผมว่ามันคุ้มเกินคุ้ม!”
หยางเฉิงทราบดีว่าสิ่งที่ลูกชายตนเองกล่าวมันก็มีเหตุผล แต่เงินจำนวนตั้งพันล้าน เขารู้สึกว่ามันมากเกินไป ดังนั้นจึงเอ่ยปากถามอ้อมๆไปว่า
“ทำไมเราไม่เริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนหนึ่งพอ เพื่อลองตลาดดูก่อนล่ะ? ถ้าผลตอบรับอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี พวกเราอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มเข้าไปก็ยังไม่สาย ตามที่พ่อลองคำนวณดู สัก200ล้านประเดิมไปก่อน แกคิดว่ายังไง?”
หยางหมิงส่ายหัวและตอบไปว่า
“แค่200ล้านจะไปพออะไร? เทียนซูวสามารถจ่ายเงินชดเชยให้พวกเราได้ทันทีถึง600ล้านเพื่อแลกกับสตีมเมอร์ไม่กี่คน ที่ยังไม่รวมราคาในสัญญาที่สตีมเมอร์พวกนั้นเซ็นไป ใครเห็นก็รู้ว่าเทียนซูวทีฐานเงินลงทุนไม่ต่ำกว่าหลักพันล้าน ดังนั้นแล้วพ่อที่จะให้ผมแค่200ล้านมันจะไปพออะไร?”
หยางเฉิงที่ได้ยินแบบนั้นก็เอ่ยปากสอนลูกตัวเองทันทีว่า การทำธุรกิจไม่ได้หมายถึงใครเงินทุนหนากว่าชนะไป แต่ยังต้องอาศัยกลยุทธ์ทั้งการตลาดและบริหารให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ทั้งยังรวมไปถึงวิธีการเจรจาและผูกสัมพันธ์สร้างพันธมิตรอีกด้วย ถ้าใช้แต่เงินเพียงอย่างเดียว คงไม่มีข่าวคนรวยล้มละลายจนต้องมานั่งขอทานหรอกจริงไหม?
แต่ไม่ว่าหยางเฉิงจะพูดยังไง หยางหมิงก็ยังอยากได้เงินจำนวนพันล้านไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวได้ว่าที่เทศนามายืดยาวกลับไม่เป็นผล
หยางเฉิงเริ่มมีน้ำโห เอ่ยปากตำหนิขึ้นว่า
“ทำไมลูกถึงไม่เข้าใจอะไรเลย? ฉันกำลังสอนให้นายรู้จักคำว่าการบริหารธุรกิจ แต่ทำไมถึงไม่ฟังกันบ้างเลย? แกไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าจะสามารถใช้เงินพันล้านที่ได้ไปต่อยอดธุรกิจให้เติบโตต่อไปได้? ไม่คิดถึงตอนที่ล้มเหลวบ้างรึไง? ตั้งพันล้านเชียวนะ!”
หยางหมิงสุดจะทนแล้วเช่นกัน จึงลุกขึ้นพรวดตะคอกใส่ว่า
“นี่ผมยังเป็นลูกชายพ่ออยู่หรือเปล่า? ถ้ายังเห็นผมเป็นลูกคนหนึ่ง ทำไมเงินแค่นี้ถึงให้กันไม่ได้?! ยังไงทั้งสมบัติ ทรัพย์สินทั้งหมด หรือแม้แต่บริษัทก็จะเป็นของผมในอนาคต แค่ขอใช้ก่อนจะเป็นไรไป!!”
“ไอ้เจ้านี่! ออกไปซะ!”
หยางเฉิงแหกปากไล่หยางหมิงออกไปทันที
แม่ของหยางหมิงรีบตรงเข้าไปโอ้ลูกชายทันที เธอเข้าสวมกอดและปลอบว่า
“ลูกแม่ อย่าเพิ่งใจร้อนไปเลย พ่อของลูกอยู่ในวงการธุรกิจมาเกือบทั้งชีวิต เขาย่อมมีประสบการณ์มากกว่าที่ลูกคิด เขาแนะนำอะไรไปลูกก็ควรฟัง…”
“แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดของเขามันเก่าไปแล้ว! นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว? เอาแต่รอจะไปทันใครกิน! อีกอย่างตอนนั้นมันแค่ธุรกิจช่วงเริ่มต้น แต่สถานการณ์ตอนนี้ของผมมันต่างออกไป ผมมีต้นทุนมากกว่าคนอื่น ดังนั้นก็ควรใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์! รักผมมากใช่ไหมแม่? งั้นไปเอาเงินพันล้านมาให้ผมสิ!!”
เดิมทีหยางเฉิงมีสุขภาพที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ขณะที่สองแม่ลูกกำลังคุยกันอยู่ เสียงข้าวของแตกก็ดังขึ้นจากห้องทำงานของเขา พอเปิดประตูเข้ามาดู ปรากฏว่าหยางหมิงโกรธจัดจนเป็นลมล้มพับไปทั้งแบบนั้น
“โอ้ไม่นะ! คุณทำใจดีๆไว้!! ลูกแม่ โทรเรียกรถพยาบาลเร็วเข้า!”
แม่ของหยางหมิงวิ่งไปประคองร่างของหยางเฉิงขึ้นมา ขณะที่ตะโกนเรียกหาลูกชายให้โทรเรียกรถพยาบาล
หยางหมิงตกใจอย่างมากเช่นกัน และรีบโทรเรียกรถพยาบาลในทันที
แม้ว่าพ่อของเขาจะต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะตัวเองก็ตาม แต่อย่างไรหยางหมิงก็ยังไม่เปลี่ยนใจอยู่ดี เขาไปทุกทีที่นึกออกเพื่อหาเงินจำนวนพันล้าน แม้จะต้องกู้ธนาคารมาก็ตาม สำหรับเขาแล้ว แพลตฟอร์มเฟยอวี่คือทุกอย่างของเขา หากต้องมาล้มละลายก่อนแบบนี้ ความฝันที่เขาจะขึ้นเป็นประธานเฟยอวี่ กรุ๊ป อาจต้องพังทลายลงไปด้วย ดังนั้นแล้ว ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องอัดฉีดเม็ดเงินชุดนี้เข้าไปให้ได้
สองวันต่อมา ฟางนี่กลับมาจากบ้านเกิดเสียที เธอโทรหาจ้าวเฉียนและนัดเขาออกมาทานอาหารด้วยกัน เนื่องจากมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเขา
ทีแรกจ้าวเฉียนคิดแค่ว่าจะเป็นการนัดทานอาหารแบบง่ายๆ แต่ทันทีที่ไปถึงเขาเริ่มตระหนักได้แล้วว่ามันไม่ใช่ ครั้งนี้ฟางนี่ไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมีชายหนุ่มอีกคนอายุราว30 สวมแว่นตากรอบหรูอยู่ข้างกายเธอ ทั้งสองดูมีสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิด และไม่น่าเป็นแค่เพื่อนกันแน่นอน
ฟางนี่รับทักทายจ้าวเฉียนและกล่าวแนะนำชายหนุ่มข้างกายพร้อมรอยยิ้มว่า
“คุณจ้าวไม่ได้เจอกันตั้งนาน ชายคนนี้คือสามีของฉันเอง จางหยาง คุณคะเขาคือคุณจ้าวที่ฉันเล่าให้ฟัง”
จ้าวเฉียนทักทายอีกฝ่ายกลับไปอย่างยิ้มแย้มและยื่นมือไปจับ ขณะกล่าวว่า
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมก็ว่าทำไมคุณฟางถึงหายหน้าหายตาไปนานเลย ปรากฏว่าเธอต้องกลับไปแต่งงานกับคุณนี้เอง ส่วนคุณฟางเองก็ไม่บอกกล่าวกันเลยสักคำ หรือว่ากลัวพวกผมจะนั่งเมาอยู่หลังงานแต่ง?”
ฟางนี่รีบอธิบายตอบกลับทันที
“นี่มันนอกแผนไปหน่อยน่ะ จางหยางเขาเพิ่งกลับมาจากอเมริกา เขาสัญญากับฉันก่อนจะไปเรียนต่อว่า ตราบใดที่พวกเรายังโสดแล้วกลับมาเจอกันอีกครั้งที่จีน พวกเราจะแต่งงานกัน ฉันยังไม่ได้จัดงานแต่งเลย แค่จดทะเบียนกันเฉยๆน่ะ”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบ และหันไปคุยกับจางหยางว่า
“คุณจางครับ กลับมาจากอเมริกาแล้ว คุณมีแผนจะทำอะไรต่อครับเนี่ย?”
จ้าวเฉียนค่อนข้างมีอัทยาศัยดีกับจางหยาง ทว่าจางหยางกลับดูจะมองเขาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่
จางหยางยื่มมือไปจับจ้าวเฉียนอย่างลวกๆ และเอ่ยตอบเสียงเย็นว่า
“กลับมาบริหารบริษัทฟางนี่ต่อครับ”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น จ้าวเฉียนตระหนักถึงจุดประสงค์ที่ฟางนี่เรียกเขาออกมารับประทานอาหารมื้อนี้ทันที