ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่89 เทียบเท่ากับเธอ
ตอนที่89 เทียบเท่ากับเธอ
เมื่อจ้าวเฉียน จางหยางและคนอื่นๆ เริ่มโวยวายเสียงดังขึ้น ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนในชุดสูทพร้อมป้ายบริษัทซิงหยวนสีทองอร่ามเดินเข้ามา
“ประทานโทษนะครับ ไม่ว่าว่าคุณจ้าวเฉียนคือคนไหน?”
ทุกคนต่างเหลือบมองไปที่ป้ายสีทองที่ติดอยู่บนอกพวกเขา อักษรจีนสองคำ ‘ซิงหยวน’ เด่นเป็นสง่า สีหน้าทุกคนมืดขรึมลงในทันใด
จ้าวเฉียคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนยกมือขึ้น
“ผมชื่อจ้าวเฉียนครับ”
พอเห็นดังนั้นทั้งสามรีบตรงเข้าไปทักทายจ้าวเฉียนทันที พร้อมรอยยิ้มแสนเป็นมิตร
“สวัสดีครับคุณจ้าว พวกเรามาจากบริษัทซิงหยวน ต้องการยืนหนังสัญญาความร่วมมือระหว่างสองบริษัทน่ะครับ คุณกัวอธิบายให้ทราบแล้วว่า ครั้งนี้จะเป็นหนังสือสัญญาแบบมีเงื่อนไข ทั้งสองต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด คุณจ้าวพอมีเวลาว่างไหมครับ เรามาคุยเรื่องสัญญากันดีกว่า”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบว่า
“ไม่มีปัญหาครับ ผู้จัดการจาง พาทั้งสามท่านนี้ไปรอที่รอประชุม จากนั้นก็ไปเรียกประธานฟางมา”
หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็บอกทั้งสามว่า จางหยางคนนี้จะนำทางไปนั่งรอที่ห้องประชุม
จางหยางในตอนนี้รู้สึกหดหู่ใจอย่างที่สุด เขาเป็นถึงพูดจัดการทั้งยังเป็นสามีของฟางนี่ แล้วจ้าวเฉียนกล้าดียังไงมาใช้เขา? อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันเอง เขาต้องรีบแก้ไขปัญหาหน้างานก่อนเป็นการด่วน เขายิ้มแย้มทักทายทั้งสามและพาไปห้องประชุมทันที ก่อนจะตรงไปเรียกฟางนี่ที่สำนักงาน
“พระเจ้า! จ้าวเฉียนน่าทึ่งเกินไปแล้ว! เขาสามารถแก้วิกฤตของบริษัทเพียงโทรกริ๊งเดียว!”
“ทำไมกันนะ? ฉันว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรที่มีพิเศษออกไป แต่ทำไมCEOของซิงหยวนถึงเต็มใจยอมให้โอกาสเขา ทั้งๆ ที่ประธานฟางกับผู้จัดการจางเดินทางไปขอร้องด้วยตัวเอง อีกฝ่ายกลับไม่ไว้หน้าเลยด้วยซ้ำ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
“นี่พวกเราเข้าใจอะไรกันผิดไปรึเปล่า? จ้าวเฉียนเป็นเจ้าของบริษัท ส่วนประธานฟางกับผู้จัดการจางเป็นลูกมือ? ฉันงงเข้าไปใหญ่แล้วนะเนี่ย?”
ทุกคนต่างจับกลุ่มสนทนากันอย่างเจี๊ยวจ๊าว แต่ใบหน้าของทุกคนประดับคู่รอยยิ้มกันทั่ว หากซิงหยวนเดินทางมาหาแบบนี้ก็หมายความว่า บริษัทเกมฟางนี่ผ่านพ้นวิกฤตไปได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นกหวังเฉียงยังแพ้เดิมพันให้จ้าวเฉียนอีก ใครบ้างจะไม่ตื่นเต้น?
หวังเฉียงเองก็ตกตะลึงไม่ต่าง เขาคิดกับตัวเองว่า
“ถ้าฉันสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้เพียงแค่โทรกริ๊งเดียว บนโลกใบนี้คงไม่ต้องเรียนรู้มารยาททางธุรกิจแล้ว ทำไมหมอนั่นถึงทำได้กัน?”
เจวียงหยวนยืนแข็งค้างราวกับรูปปั้น ก่อนหน้าเขายังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รอให้จ้าวเฉียนโดนทุกคนประนามอยู่เลย แต่ยังไม่ทันไร ตอนนี้ทุกคนต่างสรรเสริญจ้าวเฉียนแทนแล้ว?
เจียงเสี่ยวปิงก็เสียศูนย์ไปชั่วขณะเช่นกัน CEOของบริษัทซิงหยวนมันมีสมองรึเปล่า? ถ้าจ้าวเฉียนเป็นสาวสวย เธอยังพอเข้าใจได้ ใช้คารมยั่วยวนให้ใจอ่อน แต่นี่…ชายหนุ่มร่างสูงพูดผ่านโทรศัพท์ไปแค่ไม่กี่คำ อีกฝ่ายกลับยอมแต่โดยดี แล้วเธอจะทำใจยอมรับได้ยังไง?
เจวียงหยวนย่องเข้าไปหาหวังเฉียงและกระซิบถามว่า
“รองผู้จัดการหวัง เป็นไปได้ไหมว่า จ้าวเฉียนจะจ้างคนมาเล่นละครตบตาพวกเรา?”
หวังเฉียงเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตาเสมือนมองคนโง่ เขาตอบกลับไปว่า
“จะบ้ารึไง! การเซ็นหนังสือสัญญาจำเป็นต้องมีการผิดผนึกก่อนออกมาจากบริษัทของคู่ค้า ถ้าทั้งหมดนี่เป็นคนของจ้าวเฉียนจ้าวมา ก็เท่ากับผิดกฎหมาย ใครจะโง่ยอมติดคุก?”
“มันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้! เจ้านั้นยังแสร้งหน้าใหญ่เลี้ยงพวกเราจนติดหนี้หลายล้าน รางวัลล็อตเตอรี่อะไรนั้นคงหมดไปนานแล้ว! ดังนั้นเรื่องในวันนี้ถ้ามันจะจ้างคนมาหลอกก็ไม่แปลก! นั้นต้องเป็นหนังสือสัญญาของปลอมแน่นอน!”
หวังเฉียนปวดกระบาลไม่ใช่น้อยเมื่อได้ยิน เขาไม่อยากรวนสนทนากับเพื่อนสมองหมาปัญญาควายแบบนี้อีกแล้ว เจวียงหยวนไม่ได้ทำงานเก่งเท่าจ้าวเฉียน แล้วคิดหรือว่าจ้าวเฉียนจะคิดแผนตื้นๆ แบบนี้มาได้?
หวังเฉียงเหลียวหลับหนีหน้ากลับไปและเดินเข้าห้องทำงานของตนโดยไว ไม่กี่อึดใจต่อมา เจียงเสี่ยวปิงกลับติดตามเข้ามาในห้อง เขาเหลือบมองเธอเล็กน้อยและเอ่ยถามเสียงเย็นขึ้นว่า
“มาทำอะไรที่นี่?”
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งคู่ในปัจจุบันค่อนข้างตึงเครียดอย่างมาก หวังเฉียงไม่สามารถทำใจยอมรับเรื่องที่เจียงเสี่ยวปิงโดนรุมโทรมในคืนนั้นได้เลย แต่เธอก็ยังเอาแต่ตามตื้อไม่ยอมหยุด
เจียงเสี่ยวปิงเอ่ยตอบในทันใด
“ฉันมาปรึกษาหน่อยน่ะ”
“ปรึกษาอะไร?”
“นายไม่คิดเหรอว่า ช่วงหลายเดือนมานี้จ้าวเฉียนดูเปลี่ยนไปมาก บางทีเขาอาจโชคดีพบเจออะไรบางอย่างหรือคนบางคน? จ้าวเฉียนในปัจจุบันดูเป็นคนละคนกับที่พวกเราเคยรู้จักเลย!”
หวังเฉียงระเบิดหัวเราะคำโต เอ่ยตอบไปว่า
“โชคดี? ก็โชคดีจริงๆ ไม่ใช่รึไง? ถูกรางวัลที่หนึ่งได้เงินรางวัลไปกี่ล้าน? พอดิลได้สองสามบริษัทเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ต่างก็สรรเสริญกันเหลือเกิน ทำไม? อยากกลับไปหามันแล้วรึไง? จะไปไหนก็ไปเถอะ ผู้หญิงร่านอย่างเธอ ฉันไม่ห้ามหรอก”
เจียงเสี่ยวปิงจ้องตาหวังเฉียงเขม็งด้วยความโกรธจัด แต่เธอพยายามไม่สนใจฟังและกล่าวต่อว่า
“หวังเฉียง ฉันจะบอกอะไรนายให้นะ ตอนนั้นนายล่อลวงฉันด้วยเงินและตำแหน่งงาน แล้วเรื่องในคืนนั้น ทั้งหมดก็เป็นความผิดของนายไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่ทำพลาด ฉันจะโดนหยางหมิงทำเรื่องบัดซบแบบนั้นไหม?! อยากไล่นักใช่ไหม? ได้! ฉันจะไป! แต่จำเอาไว้ ในอนาคตถ้าจะกำจัดฉันต้องเอาไม่ให้เหลือ ไม่อย่างนั้นฉันจะกลับมาเอาคืนนายเป็นสิบเท่าตัว! ถึงตอนนั้นจะขอความเมตตาก็สายเกินไปแล้ว!”
หวังเฉียงกังวลว่าเจียงเสี่ยวปิงจะย้ายข้างมาเป็นศัตรูกับเขาอีกคน ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ไม่ควรสร้างศัตรูเพิ่มเป็นการดีที่สุด ดังนั้นเขาจึงกล่าวตอบไปว่า
“เอาน่า เอาน่า ฉันแค่พูดเล่น ถึงตอนนี้จ้าวเฉียนจะดูดีกว่าฉัน แต่อนาคตฉันจะหาทางอยู่เหนือกว่ามันให้ได้ จากนั้นก็จะเหยียบหัวมันให้มิดไม่ให้พุดไม่ให้เกิดเลย! ถ้ามีอะไรที่ผิดสังเกตเดี๋ยวผมจะคอยรายงานเธอเอง ในอนาคตพวกเราจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกันอีกครั้งไง”
เจียงเสี่ยวปิงพยักหน้าและเดินจากออกไป
แม้ว่านี่จะเป็นเวลาเลิกงานแล้ว แต่พนักงานทุกคนยังคงนั่งเฝ้าอยู่ในออฟฟิศ ไม่มีใครคิดกลับบ้านเลย เพราะกำลังเฝ้าข่าวดีจากในห้องประชุม
เวลาล่วงเลยมาถึงหนึ่งทุ่ม ในที่สุดประตูห้องประชุมก็เปิดอ้าออก จ้าวเฉียนพาพนักงานของบริษัทซิงหยวนออกมา ตามด้วยฟางนี่และจางหยางรั้งท้าย
คล้อยหลังนำส่งพนักงานของซิงหยวนกลับไป ฟางนี่ก็รีบวิ่งมาป่าวประกาศกับทุกคนว่า
“ทุกคน! ซิงหยวนกลับมาร่วมมือกับเราอีกครั้งแล้ว! แถมยังเพิ่มโปรเจคพัฒนาใหม่มาให้ด้วย! พวกเราลุกขึ้นและปรบมือให้จ้าวเฉียนกันหน่อย!”
ทั่วทั้งออฟฟิศส่งเสียงเฮลั่น โห่ร้องตะโกนกึกก้อง
“คุณชายจ้าวของพวกเรา! โคตรเทพเลย!!”
“คุณชายจ้าวค่าาา~ คืนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านฉันเลย ไปทานข้าวเย็นกันไหมจ๊ะ~”
“หยุดเลยเธอ! หลังข้าวเย็นฉันว่าไม่ได้นอนนะ!”
“ฮ่าฮ่าๆๆ ….”
พนักงานแต่ละคนร่างระเบิดหัวเราะอย่างมีความสุข ทว่าจางหยางและพวกหวังเฉิงกลับไม่มีความสุขเลยสักนิด ยิ่งจ้าวเฉียนได้รับความชื่นชมมากเท่าไหร่ในบริษัท สถานะตำแหน่งของพวกเขายิ่งไม่ทั่นคงเข้าไปใหญ่
ฟางนี่สุขอกสุขใจอย่างที่สุด ยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบจากนั้นก็ประกาศต่อว่า
“ส่วนกิจกรรมที่จัดขึ้นโดยผู้จัดการจางยังคงเหมือนเดิม พรุ่งนี้เจอกันแปดโมงเช้าหน้าบริษัท พวกเราจะไปเที่ยวที่ซ่งต้าวกันสามวันสองคืน บริษัทจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ยกเว้นค่าซื้อของส่วนตัว”
พอสุ้มเสียงฟางนี่ลดลง ทุกคนต่างส่งเสียงเชียร์เฮกันลั่น
“ขอให้ประธานฟางมีอายุยืนยาวหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!!”
“พวกเรารักประธานฟางที่สุด!”
ฟางนี่รีบยกมือส่งสัญญาณให้เงียบอีกระลอก และเอ่ยขึ้นว่า
“พวกนายไม่ควรมารักฉัน แต่ควรไปรักจ้าวเฉียนดีกว่านะ ถ้าไม่ได้เขากลับมาช่วย ทริปนี้ก็เตรียมล่มเช่นกัน”
“คุณชายจ้าวเลิฟเลยค๊าา~”
“คุณชายจ้าว ผมเป็นผู้ชาย สนใจ…เอากางเกงลิงผมไปแทนไหม?”
“ไอ้บ้า! ฮ่าฮ่าๆๆ …”
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรให้แก่ทุกคนอและกล่าวขึ้นว่า
“ทุกคนไม่จำเป็นต้องสุภาพกับฉันก็ได้ ในเมื่อฉันกลับมาแล้วก็ขอให้ทุกครตั้งใจเหมือนเดิม ตัวฉันเพียงลำพังไม่สามารถดูแลบริษัทได้ทั้งหมดหรอก พวกเราต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันนะ ทั้งนี้ก็เพื่อในอนาคตของพวกเราทุกคน”
“คุณชายจ้าวพูดซึ้งกินใจมาก! นี่แหละคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้นำ!”
“ใช่แล้ว! ประธานฟางจะให้คุณชายจ้าวอยู่ในตำแหน่งไหนครับ?”
“ถูกต้อง! เขาต้องเป็นระดับผู้บริหารขึ้นไปนะคะ ไม่งั้นพวกเราไม่ยอม!”
เมื่อเฝ้ามองภาพฉากเหล่านี้ จ้าวเฉียนรู้สึกดั่งว่าตนเอง ‘มีเสื้อคลุมมังกรสวมคลุมไว้อยู่’ และเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ฟางนี่จะกล้าขัดต่อความปรารถนาอันแรงกล้าของบรรดาพนักงาน เธอต้องมอบตำแหน่งที่เหมาะสมพอให้แกจ้าวเฉียน เขาจะทำงานอะไรก็ได้ แต่ต้องมีตำแหน่งเทียบเท่ากับเธอ แน่นอนว่าพนักงานคนอื่นๆ ที่ได้ยินข้อเสนอแบบนั้น ต่างก็เห็นดีเห็นงามด้วยกันใหญ่ แต่จางหยางและพวกหวังเฉิงกลับไม่มีความสุขเลยสักนิด จะให้สถานะของจ้าวเฉียนสูงเฉียดสวรรค์เลยรึไง?