ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี - ตอนที่96 เธออยากทำอะไรกันแน่
ตอนที่96 เธออยากทำอะไรกันแน่
จากนั้นชั่วครู่หนึ่ง หลิวเหม่ยก็ซักเสื้อกางเกงของจ้าวเฉียนเสร็จ และนำออกไปแขวนไว้ที่ขอบหน้าต่าง
หลิวเหม่ยยกมือขึ้นปรบและหันไปพูดกับจ้าวเฉียนอย่างภูมิอกภูมิใจว่า
“เอาล่ะ! พวกเราไปกันได้แล้ว!”
จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินออกจากห้องพร้อมกับหลิวเหม่ย แต่ในขณะนั้นเอง เจียงเสี่ยวปิงก็เดินกลับมาหาอีกครั้ง ทำให้ทั้งสองฝ่ายสวนกันโดยบังเอิญ
เจียงเสี่ยวปิงที่เห็นหลิวเหม่ยเดินออกมาจากห้องของจ้าวเฉียน ก็ปั้นหน้าไม่พอใจทันควัน ทีเป็นเธอเคาะประตูห้องแทบตาย จ้าวเฉียนกลับไม่แยแสด้วยซ้ำ
“พวกนายสองคนไวไฟกันจริงๆ นะ! แปปเดียว ก็นอนห้องเดียวกันซะแล้ว”
หลิวเหม่ยรับอธิบายกลับไปว่า
“อย่ามาพูดไร้สาระ ฉันแค่มาเรียกเขาไปทานข้าวด้วยกันเฉยๆ!”
“ฮ่าฮ่า…พูดไร้สาระหรือเปล่าก็รู้อยู่แก่ใจ”
จ้าวเฉียนเอ่ยปากถามน้ำเสียงขึงขังว่า
“ต่อให้พวกเรานอนห้องเดียวกัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ? หญิงชายนอนด้วยกันเป็นเรื่องปกติ ทำไมไปหนักหัวเธอได้ล่ะ?”
เจียงเสี่ยวปิงหน้าชาไปเล็กน้อย แต่เธอก็ยังตอบกลับไปว่า
“มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับฉันหรอก แต่นายหัดศึกษาสมบัติผู้ดีบ้างนะ ทีฉันไปเรียกถึงหน้าห้องตั้งนาน ทำไมนายถึงไม่เปิดประตู?”
“ตลกดีจัง ทำไมฉันต้องเสียเวลาคุยกับเธอด้วยล่ะ? หลิวเหม่ย ไปกันข้าวกันเถอะ”
พูดจบจ้าวเฉียนก็หันไปขยิบตาให้หลิวเหม่ย และทั้งสองก็เดินผ่านเจียงเสี่ยวปิงไปทั้งแบบนั้น เพื่อไปรับประทานอาหารกัน
ทางด้านเจียงเสี่ยวปิงไม่ยอมแพ้ เดินตามทั้งคู่ไปยังภัตตาคารไปติดๆ
พอไปถึงก็หาโต๊ะนั่งสั่งอาหารตามปกติ แต่เจียงเสี่ยวปิงยังคงไม่สนโลก ไปร่วมนั่งโต๊ะเดียวกับทั้งคู่ แถมยังนั่งติดกับหลิวเหม่ย หวังกดดันให้อีกฝ่ายอึดอัดเล่น
“เจียงเสี่ยวปิง มีโต๊ะว่างตั้งมาก มานั่งอะไรตรงนี้? ไม่รู้สึกอายเลยรึไง?”
เจียงเสี่ยวปิงแบะปากส่ายหัวตอบอย่างไร้เดียงสา พลางตอบลอยๆ ไปว่า
“ทำไม? ก็อยู่บริษัทเดียวกัน ไม่ใช่คนแปลกหน้ากันสักหน่อย อีกอย่าง เธอก็กินของเธอไป ส่วนฉันก็กินส่วนของฉัน ไม่เห็นมีอะไรต้องอายเลย?”
“เธออยากทำอะไรกันแน่?”
“ก็ต้องกินข้าวสิ! จะให้ฉันทำอะไรล่ะ?”
จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคัก แต่ก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรด้วย
หลิวเหม่ยวางตะเกียบกระแทกโต๊ะ เธอเอ่ยขึ้นว่า
“ย้ายโต๊ะกันเถอะจ้าวเฉียน”
จ้าวเฉียนเองก็ไม่คัดค้าน ยกจานอากหารย้ายไปนั่งอีกมุมหนึ่งพร้อมกับหลิวเหมาย จากนั้นทั้งสองก็รับประทานต่อ
เจียงเสี่ยวปิงหันซ้ายแลขวาคล้ายว่ากำลังมองหาบางอย่าง พอแน่ใจแล้วเธอก็ลุกขึ้นพร้อมจานอาหารในมือ และไปนั่งร่วมโต๊ะกับทั้งคู่อีกครั้ง จ้าวเฉียนไม่ได้ห้ามเจียงเสี่ยวปิงเช่นกัน แต่ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารบนจานอย่างรวดเร็ว
หลอวเหม่ยเห็นจ้าวเฉียนรีบกินก็เข้าใจได้ในทันใด เธอเองก็เร่งความเร็วรีบตักอาหารเข้าปากโดยไว
ห้านาทีต่อมา ทั้งคู่กินข้าวเสร็จก็ลุยขึ้นจากไปโดยตรง
ในเวลานี้เอง ฟางนี่กับจางหยางก็บังเอิญลงมาทานอาหารเหมือนกัน จึงเอ่ยทักไปว่า
“พวกเธอสองคนกำลังจะไปไหน?”
หลิวเหม่ยรีบตอบทันทีว่า
“จ้าวเฉียนเคยสัญญาไว้ค่ะว่า จะซื้อของขวัญให้หนู ก็เลยจะไปเดินเลือกกัน จะว่าไปประธานฟางค่ะ กิจกรรมที่ว่าเริ่มตอนไหนนะคะ?”
“เริ่มบ่ายสองน่ะ นัดรวมตัวกันหน้าประตูโถงLive-action CS อย่ามาสายนะ รีบซื้อรีบกลับ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ พวกเราไม่สายแน่นอน อิอิ…”
ฟางนี่พยักหน้าให้พร้อมด้วยรอยยิ้ม และเหลือบไปมองจ้าวเฉียนแววหนึ่ง คลี่ยิ้มหวานให้
จางหยางที่เห็นท่าทางการแสดงออกของฟางนี่ก็รู้สึกหึงขึ้นมาทันใด เอ่ยถามเสียงแข็งไปว่า
“ยิ้มอะไรของเธอ เหอะ ทีเป็นมันมีส่งยิ้มหวานให้ แต่พอเป็นผมกลับทำหน้าบึ้งใส่!”
ฟางนี่กลอกตาเจือรำคาญ กล่าวตอบไปว่า
“อะไรของคุณ? ไม่เห็นเหรอว่าพวกเขากำลังจีบกันอยู่?”
“จีบกันที่ไหน ดูยังไงจ้าวเฉียนก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับอีกฝ่ายเลย”
“คุณนี่มันน่าเบื่อจริงๆ ตอนนี้จ้าวเฉียนมีทั้งเงินทั้งตำแหน่ง มีสาวออฟฟิศคนไหนไม่ชอบเขาบ้าง?”
“นี่เธอหมายความว่ายังไง? ถ้าตอนนี้ยังโสดก็คือชอบมันเหมือนกันว่างั้น?”
ฟางนี่มองบนเมินคำถามอีกฝ่าย เดินผ่านเขาไปหยิบจานอาหารไม่พูดไม่จา
จางหยางเร่งคิดวิธีหลอกใช้หลิวเหม่ยทันที เพื่อขับไล่จ้าวเฉียนออกจากบริษัทไป
จ้าวเฉียนพาหลิวเหม่ยมายังถนนคนเดินบนเกาะ เว้นเสียแต่อาหารพื้นที่บางชนิด ทุกอย่างราคาสูงกว่าข้างนอกหลายเท่านัก
หลิวเหม่ยเดินเลือกของไปเรื่อยๆ ตามทาง แต่เธอก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเอาอะไรดี หลังจากเดินวนไปได้รอบหนึ่ง ก็ตัดสินใจมุ่งหน้ามาที่ร้านขายเครื่องประดับและอัญมณี
หลิวเหม่ยเรียนจบจากมหาลัยทั่วไป ตลอดที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตอย่างเงียบง่ายมาก ไม่เคยซื้อของฟุ่มเฟือยแบบเครื่องประดับมาก่อน จ้าวเฉียนที่เห็นท่าทางของเธอจึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“ทำไมเธอไม่เลือกเครื่องประดับสักชิ้นล่ะ สร้อยเพชรก็เหมาะกับเธอดีนะ”
หลิวเหม่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็มีความสุขอย่างยิ่ง เพราะเธอทราบดี ไม่มีผู้ชายคนไหนจะซื้อเครื่องประดับให้ผู้หญิงได้ง่ายๆ หากไม่ได้รู้สึกชอบหรือคิดอะไรมากกว่าเพื่อน
“ไม่เอาหรอก มันแพงเกิน ฉันเกรงใจนาย…”
“ไม่ต้องเกรงใจ ลองหยิบมาสวมดูก่อนสิ ถ้าชอบอันไหนก็บอกฉันได้เลย”
หลิวเหม่ยพยักหน้าตอบอย่างสุขใจและกล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้น นายเตรียมเสียเงินได้เลย!”
“ฮ่าฮ่า…ไม่ต้องควักตังตัวเอง ฉันสัญญาคำไหนคำนั้น!”
หลิวเหม่ยยิ้มหวานให้จ้าวเฉียง และเริ่มกวาดสายตามองเครื่องประดับทันที
จ้าวเฉียนสังเกตเห็นว่า เธอจ้องกำไรหยกขาวบ่อยมาก เขาจึงวานให้พนักงานหยิบมาให้เธอลอง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า กำไรหยกขาวชิ้นนี้ดูสวยมากจริงๆ พอหลิวเหม่ยลองสวมดูแล้ว ขนาดจ้าวเฉียนยังแอบชมอย่างลับๆ ภายในใจ ผิวพรรณขาวนวลประดุจหิมะ ช่างเข้ากับกำไลหยกขาวเจือสีมรกตอ่อนจริงๆ
อย่างก็ตาม ทันทีที่หลิวเหม่ยเห็นราคาของกำไรหยกขาวชิ้นนี้ เธอก็ไม่อยากได้แล้ว ราคาต้อง30,000หยวน นี่มันเท่ากับเงินเดือนของเธอครึ่งปี!
“ฉันว่ามันไม่ค่อยสวยเท่าไหร่น่ะ เปลี่ยนอันดีกว่า”
หลิวเหม่ยต้องการจะถอดกำไรหยกขาวออกจากข้อมือ แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ไม่สามารถถอดออกได้สักที จนข้อมือของเธอเป็นรอยแดงก่ำ
ในเวลานั้นเอง พนักงานก็อดส่ายหัวไม่ได้ คล้ายว่าอดทนไม่ไหวแล้ว
“ให้ดิฉันช่วยนะค่ะ แล้วคราวหลังถ้าไม่มีเงินซื้อก็อย่ามาลอง”
วาจาไม่เข้าหูดังขึ้น จ้าวเฉียนกล่าวสวนทันทีอย่างไม่พอใจว่า
“แล้วถ้าไม่ลองจะไปรู้ได้ไงครับว่าเข้าไหม?”
พนักงงานคนนั้นระเบิดหัวเราะเยาะขึ้นทันใด และกล่าวว่า
“จริงค่ะ ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่ว่าเห็นราคาแล้วทำหน้าแบบนี้ วันหลังก็ทราบราคาก่อนก็ได้นะคะ ไม่ใช่ลองแล้วไม่มีปัญญาจ่าย ทำให้ของมีตำหนิซะเปล่าๆ”
จ้าวเฉียนไม่ได้สนใจอยู่แล้วกับอีแค่30,000หยวน จึงพูดกับหลิวเหม่ยขึ้นว่า
“ฉันซื้อให้ถ้าเธอชอบ แต่ถ้าไม่ชอบก็ลองดูอันอื่น แต่เวลาเรามีจำกัดนะ”
“แต่30,000มันแพงไป เงินเดือนฉันแค่3,000เอง”
พอได้ยินหลิวเหม่ยพูดแบบนั้น พนักงานขายก็หัวเราะเยาะดังลั่นทันที
“คุณค่ะ นี่ล้อเล่นกันรึไง เครื่องประดับของที่นี่มีราคาเกิน3,000หมดทุกชิ้นค่ะ ถ้างบต่ำแบบนี้ ดิฉันคงแนะนำให้เดินออกจากร้านค่ะ”
หลิวเหมายตื่นตระหนกหนักพอได้ยินหนักงานกล่าวแบบนั้น เธอรีบถอดกำไรหยกขาวทิ้งทันที สถานการณ์กดดันเข้าพอเธอถอดไม่ออกก็ยิ่งออกแรงหนักมือขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายกำไลหยกขาวชิ้นนั้นก็แตกตามือ
คราวนี้พนักงานคนดังกล่าวที่เห็นแบบนั้นก็กรี๊ดลั่น เธอตะคอกใส่หลิวเหม่ยด้วยความโกรธว่า
“ทำอะไรของคุณน่ะ!? ไม่มีปัญญาซื้อแล้วยังมาทำลายข้าวของอีก! จ่ายค่าชดใช้คืนมาเลย! จ่ายมาเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นฉันจะโทรแจ้งตำรวจ!”
หลิวเหม่ยรีบอธิบายโดยเร็วว่า
“ฉันขอโทษ ฉันขอโทษจริงๆ! ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ แค่ออกแรงนิดหน่อยมันก็หักแล้ว…”
“โอ้? หรือคุณพยายามจะบอกว่า กำไลของเราไร้คุณภาพเลยคิดจะชักดาบ ไม่จ่ายเงินชดใช้ใช่ไหม? ได้! ทุกคน! ทุกคนมาดูนี่เร็ว! แฟนคู่นี้ไม่มีปัญญาซื้อกำไรหยก เลยจงใจทำพังแล้วโยนความผิดให้กับทางร้าน! หน้าไม่อายจริงๆ!”
เดิมทีจ้าวเฉียนตั้งใจว่าจะจ่ายค่าชดใช้โดยดี ก็แค่เงิน30,000หยวนมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดเลย แต่เจอพฤติกรรมอันแสนน่ารำคาญของพนักงานคนนี้เข้าไป เขาก็ตัดสินใจแล้วว่า คงต้องแสดงอะไรดีๆ ให้ทุกคนในร้านรับชมกันหน่อยสักฉากหนึ่ง!