ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - ตอนที่ 104 ฉันชื่อเฉินเจียฉิน แล้วเธอชื่ออะไร
ตอนที่ 104 ฉันชื่อเฉินเจียฉิน แล้วเธอชื่ออะไร
พนักงานพวกนั้นพอเห็นมู่หวั่นขีเป็นแบบนี้ ก็เดินอ้อมหลีกเลี่ยงเธอ รีบออกไปด้านนอกทันที
หนึ่งในนั้นเหมือนว่าจะไม่ชอบหน้ามู่หวั่นขีมาตั้งนานแล้ว ตอนที่เธอจะเดินออกไป เธอก็แสร้งทำเป็นยกเท้าขึ้นและขวางอยู่หน้ามู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีเห็นว่าพวกเธอกำลังจะออกไป เลยคิดจะเดินเข้าไปลากพวกเธอไว้ โดยไม่ได้สังเกตที่เท้า
และแล้ว เธอก็ล้มลงกับพื้นต่อหน้าสาธารณชนอย่างสวยงาม
มู่หวั่นขีล้มลงกับพื้นอย่างแรง เจ็บไปทั้งตัว พยายามพยุงตัวขึ้นสองครั้งแต่ก็ลุกไม่ขึ้น เลยกรีดร้องออกมาด้วยความโกรธ “ฉันจะไล่พวกเธอออกให้หมด !”
ไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดเมื่อครู่หรือว่ากำลังคิดจะลาออกอยู่แล้ว เกรงว่าคงไม่รอให้เธอไล่พวกเขาออกหรอก
มู่น่อนน่อนกวาดตาไปมองทีหนึ่ง แล้วก็เหลือบไปเห็นมู่ลี่เหยียนออกมาจากลิฟต์แล้วเดินมาทางนี้ เลยรีบหมุนตัว แล้วไปพยุงมู่หวั่นขี “ทำไมพี่ถึงไม่ระวังตัวขนาดนี้ ล้มแบบนี้คงเจ็บสินะ บนพื้นมันเย็น เดี๋ยวฉันพยุงพี่ขึ้นเอง”
มู่หวั่นขีสะบัดมือเธอทิ้ง แล้วผลักเธอทีหนึ่ง แต่ไม่ได้รุนแรงนัก “ฉันไม่ต้องการความเห็นใจจอมปลอมของเธอ”
มู่น่อนน่อนแสร้งทำเป็นล้มลงกับพื้น จากนั้นก็ลุกขึ้นช้าๆ
มู่ลี่เหยียนเดินมาถึงแล้ว และถามเสียงขรึมว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“คุณพ่อคะ……” มู่หวั่นขีนั้นถูกมู่ลี่เหยียนตามใจจนโต ถูกคุมขังอยู่ที่สถานีตำรวจมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ในใจรู้สึกหดหู่จนแทบทนไม่ไหว ตอนนี้พอเห็นมู่ลี่เหยียนแค่เปิดปากน้ำตาก็ไหลออกมาทันที
เดิมทีช่วงหลายวันที่ผ่านมามู่ลี่เหยียนก็รู้สึกรำคาญใจมากพอแล้ว มู่หวั่นขีบอกว่าจะไปยั่วยวน”เฉินเจียฉิน”ให้เขาช่วยเหลือ สุดท้ายแล้วกลับทำให้ตัวเองต้องถูกส่งไปที่สถานีตำรวจ
ตอนนี้เขาถึงได้ตระหนักว่า จะพึ่งพามู่หวั่นขีให้มาช่วยเหลือบริษัทมู่ซื่อนั้นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว บางทีมู่น่อนน่อนยังอาจจะมีประโยชน์มากกว่าเสียอีก
“ลุกขึ้นมาได้ตัวเองซะ ดูสภาพตัวเองสิ ดูไม่ได้เลย” มู่ลี่เหยียนมองเธอทีหนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตาหนี เขารู้สึกขายหน้าเป็นอย่างมาก
มู่น่อนน่อนเห็นว่าเป็นเวลาเหมาะเลยยื่นมือจะไปพยุงมู่หวั่นขีอีกครั้ง แล้วพูดเอาอกเอาใจว่า “พี่คะ ลุกขึ้นเถอะค่ะ…..”
“ถอยไป อย่าเอามือสกปรกของเธอมาโดนตัวฉัน !” มู่หวั่นขีปัดมือเธอทิ้งทันที
มู่น่อนน่อนเลยถอนมือกลับไปเงียบๆ
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามือของใครสกปรกกว่ากันแน่
ตอนนี้มู่ลี่เหยียนจำเป็นต้องพึ่งพามู่น่อนน่อนเพื่อช่วยเหลือบริษัทมู่ซื่อ เลยต้องรีบเอาอกเอาใจเธอ พอได้ยินคำพูดของมู่หวั่นขี ก็รีบเปิดปากตำหนิเธอทันที “ทำไมเธอถึงพูดจาแบบนี้กับน้องสาว !”
“คุณพ่อคะ !” มู่หวั่นขีคลานขึ้นมาจากพื้นแล้ว “คุณพ่อเป็นอะไรไปคะ”
เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้มู่ลี่เหยียนเองก็ไม่ได้ชอบมู่น่อนน่อน แต่ว่าตอนนี้เขากลับด่าเธอเพื่อมู่น่อนน่อน
“เอาเถอะ กลับบ้านก่อนแล้วกัน” มู่ลี่เหยียนไม่อยากพูดอะไรมากที่นี่
เมื่อก่อนเขารู้สึกว่าจะต้องเอาอกเอาใจลูกสาว ไม่ว่าเธอยากจะทำอะไรก็ให้ทำ แต่ช่วงนี้พอเกิดเรื่องขึ้นไม่หยุดหย่อน ทำให้เขารู้สึกว่ามู่หวั่นขีถูกตามใจเสียจนเหลิงมากแล้ว
มู่น่อนน่อนเอ่ยปากพูดขึ้น “ถ้างั้นหนูเองก็ขอตัวกลับก่อนนะคะ”
มู่ลี่เหยียนหันไปมองทางมู่น่อนน่อน แล้วก็รีบเปลี่ยนสีหน้าให้อ่อนโยนขึ้นทันที “ได้ เธอกลับไปก่อนเถอะ กลับไปคุยกับเฉินถิงเซียวให้ดีๆล่ะ”
“ค่ะ”
พอมู่น่อนน่อนออกมาจากบริษัทมู่ซื่อ สีหน้าก็เริ่มหมองลง และเริ่มฉายแววเหน็ดเหนื่อยออกมาทางหว่างคิ้ว
ถ้าหากมู่ลี่เหยียนจะใจร้ายกับเธอให้ได้ตลอดก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้พอจำเป็นกลับอยากจะใช้เธอเป็นเครื่องมือ เลยกลับยิ่งทำให้รู้สึกปวดร้าวในใจมากกว่าเดิม
เมื่อมู่น่อนน่อนกลับถึงบ้าน พอเดินเข้าประตูไปก็พบกับ”เฉินเจียฉิน”ที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก
มู่น่อนน่อนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณกลับมาแล้วเหรอ”
“อืม” เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเธอทีหนึ่ง พอเห็นว่าสีหน้าของเธอไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็เริ่มรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา
ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่มีความรู้สึกอะไรเลย “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปทำอาหาร”
พอเธอก้าวขาเข้าไปในห้องครัว ทางด้านหลังสือเย่ก็เอาเอกสารมาส่งให้ที่บ้านพัก
พอเห็นเฉินถิงเซียวอยู่ที่โซฟา สือเย่ก็เอ่ยปากถามเขาว่า “คุณผู้ชายครับ ผมเอาเอกสารพวกนี้ไปวางที่ห้องสมุดให้นะครับ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไร สือเย่ก็เลยตัดสินใจเองแล้วเอาเอกสารขึ้นไปด้านบน
แต่ว่าตอนนั้นเองเฉินถิงเซียวกลับเปิดปากพูดอย่างแผ่วเบาว่า “สือเย่ ถ้าคืนไหนที่นายไม่กลับบ้าน เมียนายจะไม่โมโหใส่นายบ้างเลยเหรอ”
พอสือเย่ได้ยินอย่างนั้น ก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “คุณผู้ชายครับ ผมหย่าแล้วครับ”
ตอนนั้นเองเฉินถิงเซียวถึงได้เงยหน้าขึ้นไปมองเขา “ตั้งแต่เมื่อไหร่”
สือเย่กับภรรยานั้นเข้ากันได้ดีพอสมควรเลย เมื่อก่อนทุกครั้งที่ไปทำงานต่างประเทศจะต้องซื้อของมากมายกลับมาฝากภรรยาของเขา
“ครึ่งปีก่อนครับ” เห็นได้ชัดว่าสือเย่ไม่มีทางพูดมากในเรื่องแบบนี้เด็ดขาด
เขานึกถึงคำที่กู้จือหยั่นพูดก่อนหน้านี้ ว่าเมื่อคืนคุณผู้ชายไม่ได้กลับบ้าน บวกกับคำถามของเฉินถิงเซียว ก็เลยเข้าใจได้ในทันที
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดเตือนคุณผู้ชายของตัวเอง “คุณผู้ชายครับ ตอนนี้ฐานะของคุณคือ “คุณชายเจีย” หากจะมีคืนไหนที่“คุณชายเจีย”ไม่กลับบ้าน ก็คงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณหญิงน้อยครับ”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นว่าสีหน้าของเฉินถิงเซียวหมองลงทันที
สือเย่ก้มหน้า ที่เขาพูดนั้นคือความจริง
เฉินถิงเซียวสีหน้าบูดบึ้ง แล้วมองเขาอย่างเย็นชา “นายไปได้แล้ว”
ไม่ยอมให้คนอื่นพูดความจริงอย่างนั้นหรือ
ตอนนี้เฉินถิงเซียวนั้นทนฟังคำพูดพวกนี้ไม่ได้จริงๆ
ขณะทานข้าว มู่น่อนน่อนก็พบว่า”เฉินเจียฉิน”แทบไม่ขยับตะเกียบเลย เอาแต่จ้องเธออยู่อย่างนั้น
มู่น่อนน่อนจับหน้าตัวเองดู “คุณเป็นอะไรไปเหรอ”
ปรากฏว่า”เฉินเจียฉิน”กลับกวาดตามองเธอด้วยสายตาเย็นชาทีหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปชั้นบน ขนาดข้าวก็ยังไม่ทาน
มู่น่อนน่อนทำหน้างงงวย
พอเธอทานข้าวเสร็จ จู่ๆก็มีสายจากคุณนายเจ้าของบ้านโทรเข้ามา
เจ้าของบ้านเป็นหญิงสาววัยกลางคน น้ำเสียงหยาบกระด้างเวลาพูด “ถึงเวลาจ่ายค่าน้ำค่าไฟแล้ว เธอจะมาเมื่อไหร่”
“เดือนนี้ฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นนะคะ ทำไมถึงมีค่าน้ำค่าไฟล่ะ” ช่วงนี้เธอพักอยู่ที่นี่ บ้านนั้นเธอเช่าไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว หากไม่ครบกำหนดก็ไม่สามารถคืนได้ เลยปล่อยให้ว่างมาตลอด
พอเจ้าของบ้านได้ฟังคำพูดของเธอแล้ว ก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา “พูดจาไร้สาระ เมื่อคืนเธอยังเปิดไฟที่บ้านเลย !”
มู่น่อนน่อนรู้สึกตกใจขึ้นมา หรือว่าจะมีขโมยขึ้นบ้าน
เธอไม่โต้เถียงกับเจ้าของบ้านต่อแล้ว พูดเพียงว่า “ได้ค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเข้าไป”
เช้าตรู่ของวันที่สอง เธอก็เลยลางานเพื่อตรงไปที่บ้านเช่าของตัวเอง
พอถึงหน้าประตู เธอก็แอบแนบประตูฟังเสียงก่อนครู่หนึ่ง พอพบว่าด้านในไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ถึงได้เปิดประตูเดินเข้าไปด้านใน
พอเข้าไปแล้วเธอก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปเลย เพราะด้านในเละเทะมาก
บนพื้นเต็มไปด้วยซองขนมและกล่องบะหมี่สำเร็จรูปมากมาย บนโต๊ะยังมีเครื่องเล่นเกมวางอยู่อีกด้วย
นี่ไม่มีทางเป็นฝีมือโจรแน่ คงมีอะไรแปลกประหลาดบางอย่างแอบลักลอบเข้ามา บนพื้นแทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้เธอได้วางเท้าแล้ว
ในขณะนั้นเอง ด้านหลังของเธอก็มีเสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น “เธอเป็นใคร ?”
มู่น่อนน่อนหันหลังกลับไป แล้วก็พบกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตู ผมหยิกน้อยๆนั้นดูยุ่งเหยิง แต่เนื้อตัวกลับสะอาดสะอ้าน แถมยังดูดี และเนื่องจากอยู่กับ”เฉินเจียฉิน”มาเป็นเวลานาน เธอก็เลยรู้ได้ในทันทีที่เห็นว่าเสื้อผ้าบนตัวของหนุ่มน้อยนั้นเป็นยี่ห้อเดียวกับที่”เฉินเจียฉิน”สวมใส่อยู่เป็นประจำ
“ฉันเป็นผู้เช่าของบ้านหลังนี่ นายล่ะเป็นใคร” เด็กหนุ่มดูแล้วคงจะอายุราวๆสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น มู่น่อนน่อนเลยลดระดับความระแวงลง
“เหรอ” เด็กหนุ่มเดินเข้ามา แล้วก็วางของในมือลงบนโต๊ะ จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟา ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นราวกับกำลังอยู่ในบ้านของตัวเอง
แล้วเหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงสายตาของมู่น่อนน่อน เขาเลยเงยหน้าขึ้นมา “เธอสวยดีนะ มีแฟนหรือยังล่ะ”
“ฉัน……” มู่น่อนน่อนกำลังจะเปิดปากพูด แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่ควรทำในตอนนี้ก็คือต้องรู้ให้ได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือใคร
มู่น่อนน่อนเห็นว่าเขาแต่งตัวดูดี ก็คาดเดาเอาว่าเขาคงเป็นเด็กที่หนีออกจากบ้าน เลยถามอย่างเป็นห่วงว่า “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ พ่อแม่ของนายล่ะ”
เด็กหนุ่มเมินเฉยต่อคำพูดของเธอ “ฉันชื่อเฉินเจียฉิน แล้วเธอล่ะชื่ออะไร”
“? ? ?” อะไรนะ ?
เฉินเจียฉิน ?
พอเห็นว่ามู่น่อนน่อนมีสีหน้าตื่นตกใจ เด็กหนุ่มก็แสดงท่าทางทุกข์ใจออกมา “เฮ้อ ฉันกับตระกูลเฉินของเมืองหู้หยางก็เกี่ยวข้องกันนิดหน่อยแหละ แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องตกใจขนาดนั้นเสียหน่อย”