ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - ตอนที่ 127 วันนี้ฉันมาเพราะเธอ
ตอนที่ 127 วันนี้ฉันมาเพราะเธอ
มู่น่อนน่อนเพิ่งสังเกตเห็นว่า มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ของเฉินถิงเซียวถือขวดยาทาไว้
ที่แท้ก็จะทายาให้เธอ
มู่น่อนน่อนนั่งตัวตรง และขยับไปด้านหลังเล็กน้อย พูดขึ้น: “ฉันทำเองก็ได้”
เมื่อครู่ที่เฉินถิงเซียวใช้มือกดลงไปบนหน้าผากของหล่อนอย่างจังเช่นนั้น แต่กลับไม่แสดงท่าทีห่วงใยอะไรเลย หล่อนจึงกลัวว่าเขาจะทำแรงอีก
“นั่งให้ดี!”
เฉินถิงเซียวทำเหมือนไม่ได้ยินหล่อนพูดอะไร เพียงแต่เหลือบมองหล่อนด้วยความเย็นชา หล่อนจึงไม่พูดอะไรต่ออีก
เขาบีบยาลงที่นิ้วมือ จากนั้นค่อยๆนวดลงบนรอยปูดบวมใหญ่บนหน้าผาก ค่อยๆนวดด้วยเบาๆด้วยความอ่อนโยน รู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับทนไม่ได้
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่มู่น่อนน่อนยังรู้สึกไม่สบายใจ จนต้องกระพริบตาไม่หยุด ขนตางอนยาวสั่นจนดูน่าสงสาร
สีหน้าของเฉินถิงเซียวจึงเย็นลง น้ำเสียงนิ่งขรึมแต่ไม่เย็นชา
“ต่อไปไม่อนุญาตให้ไปผับกับเสิ่นเหลียงอีกแล้วนะ”
เฉินถิงเซียวไม่รู้เรื่องที่คนพวกนั้นมาก่อเรื่องวันนี้ แต่เขารู้ว่าวงการบันเทิงนั้นลึกซึ้งเพียงใด หลายคนยอมเอาชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยงเพื่อที่จะได้เลื่อนขั้น ถ้ารีบร้อนเกินไปจนเกิดเรื่องขึ้น ก็ไม่มีใครสามารถคาดเดาอะไรได้
โชคดีที่สาวโง่คนนี้ยังรู้จักโทรหาเขา
เรื่องที่กู้จือหยั่นซื้อสัญญาของเสิ่นเหลียงมา เฉินถิงเซียวเองก็รู้ ก่อนที่จะถูกมู่น่อนน่อนตัดสาย เขาได้ยินคำพูดของหลัวหยิง
ตอนนั้นเขาลองครุ่นคิดดูดีๆ จึงเดาได้ว่ามู่น่อนน่อนอาจจะอยู่กับเสิ่นเหลียง และกู้จือหยั่นเป็นคนที่เข้าใจเสิ่นเหลียงที่สุด เขาจึงโทรหากู้จือหยั่นทันที
ดังนั้น กู้จือหยั่นจึงไปถึงที่ผับก่อนเขา
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว หล่อนไม่ค่อยชอบน้ำเสียงเช่นนี้ของเฉินถิงเซียวเท่าไหร่นัก: “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นอุบัติเหตุ”
เฉินถิงเซียวทายาให้หล่อนเสร็จแล้ว จึงค่อยๆเก็บมือกลับ เขาใช่ทิชชูเช็ดมือพลางพูดลอยๆขึ้น: “รถชน ปล้นทรัพย์ เรื่องพวกนี้ เรื่องไหนไม่ใช่อุบัติเหตุ?”
“…” เรื่องแบบนี้เอามารวมกับปล้นทรัพย์หรือรถชนได้อย่างไรล่ะ?
มู่น่อนน่อนหมดคำพูดทันที
เฉินถิงเซียวไม่รอให้หล่อนได้เอ่ยปากพูดอะไร ดมกลิ่นแอลกอฮอล์บนตัวหล่อน จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ไปอาบน้ำ”
….
วันต่อมา
มู่น่อนน่อนตื่นขึ้นมาส่องกระจกดูรอยปูดบวมบนหน้าผากของตัวเอง ยาที่เฉินถิงเซียวทาให้หล่อนได้ผล หายบวมไปค่อนข้างเยอะแล้ว แต่ยังคงเห็นเป็นรอยช้ำ ดูค่อนข้างน่าเกลียด
เห็นทีวันนี้ไม่ต้องแต่งหน้าแล้ว
ตอนที่ลงไปห้องอาหารด้านล่าง ก็พบว่าบนโต๊ะมีอาหารเช้าที่ทำไว้เรียบร้อยแล้ววางอยู่
เฉินถิงเซียวกับเฉินเจียฉินนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะอาหารเพื่อรอหล่อน
เฉินเจียฉินลากเก้าอี้ด้านข้างออกมาด้วยความกระตือรือร้น: “พี่น่อนน่อน อรุณสวัสดิ์ครับ”
อยู่กับเฉินเจียฉินนานๆ มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเขาเป็นเด็กน้อยที่นิสัยดีมาก แค่ดื้อบ้างในบางครั้ง
หล่อนกำลังจะเดินไปนั่งข้างเฉินเจียฉิน ก็ได้ยินเสียงเรียกของเฉินถิงเซียวดังขึ้นเบาๆ
เมื่อหันไปมอง ก็เห็นว่าเฉินถิงเซียวก็ลากเก้าอี้ด้านข้างออกมาให้แล้วเช่นกัน
ความหมายของเฉินถิงเซียวชัดเจนอย่างเห็นได้ชัด คือให้มู่น่อนน่อนไปนั่งด้านข้าง
มู่น่อนน่อนเบ้ปาก เช้าขนาดนี้ก็เริ่มหาเรื่องกับเด็กน้อยแล้ว นี่กินยาผิดรึเปล่า?
เมื่อเห็นใบหน้าอันยิ้มแย้มของเฉินเจียฉิน และดูใบหน้าเพิกเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนจูงไปนั่งด้านข้างเฉินเจียฉินอย่างไม่ลังเล
เมื่อมู่น่อนน่อนนั่งลงก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจนอึดอัดขึ้นมาทันที
หล่อนหันมาสบตากับเฉินเจียฉินพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นจึงแยกย้ายกันก้มหน้าลงกินอาหารเช้า
อารมณ์ของเฉินถิงเซียวช่าง…แปลกประหลาดเหลือเกิน
……
หลังทานอาหารเช้าเสร็จ เฉินถิงเซียวก็นั่งรถออกไปก่อน มู่น่อนน่อนกับเฉินเจียฉินมีคนขับรถอีกหนึ่งคนไปส่ง
เมื่อถึงหน้าประตูบริษัทมู่ซื่อ มู่น่อนน่อนลงจากรถ จากนั้นคนขับก็ขับรถออกไป ตอนที่หล่อนกำลังหันหลังจะเดินเข้าไปในตึกสำนักงานบริษัทมู่ซื่อ ได้ยินเสียงผู้หญิงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง: “คุณมู่”
มู่น่อนน่อนหันหลังกลับไป เห็นผู้หญิงสวมชุดสูทดูสง่างามยืนอยู่ด้านหลังหล่อน
“สวัสดีค่ะ คุณคือ…” มู่น่อนน่อนแน่ใจว่าตัวเองไม่รู้จักคนตรงหน้า
ผมของผู้หญิงตรงหน้าตรงเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้ดูแล้วเป็นคนเคร่งขรึม: “ฉันเป็นผู้จัดการส่วนตัวของซือเฉิงหยู้สวี่จูน”
แม้ว่ามู่น่อนน่อนไม่เคยเจอหล่อน แต่ “สวี่จูน” ชื่อนี้เธอรู้จักดี
หล่อนเป็นแฟนละครของซือเฉิงหยู้ เมื่อมีข่าวหรือกระทู้ที่เกี่ยวกับซือเฉิงหยู้ หล่อนมักจะกดเข้าไปดู
สวี่จูนเป็นผู้จัดการส่วนตัวเบอร์หนึ่งในวงการบันเทิง ซือเฉิงหยู้เป็นคนที่หล่อนปลุกปั้นออกมาดอง ฉลาดและมีความสามารถ ทุกคนให้การชื่นชมหล่อนเป็นอย่างมาก
เมื่อสวี่จูนเห็นสีหน้าของหล่อนที่เข้าใจขึ้นมาจึงรู้ว่ามู่น่อนน่อนน่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร เธอจึงไม่พูดอ้อมค้อม: “ซือเฉิงหยู้มีธุระจะคุยกับคุณนิดหน่อย”
“ซือเฉิงหยู้?”
สวี่จูนพยักหน้าลง: “ค่ะ ตามฉันมาค่ะ”
สวี่จูนเดินนำมู่น่อนน่อนไปที่รถคันหนึ่ง
เมื่อประตูรถถูกเปิดออก เธอก็พบกับซือเฉิงหยู้
ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มอันสดใสและอ่อนโยน: “มีเรื่องจะถามคุณนิดหน่อย รบกวนเวลาคุณไม่มาก”
“อ๋อ มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
ซือเฉิงหยู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ถ้าเปิดประตูรถคุยตรงนี้คงไม่สะดวกเท่าไหร่ มู่น่อนน่อนจึงขึ้นไปบนรถ
เมื่อหล่อนนั่งลง ซือเฉิงหยู้ก็ถามขึ้น: “มู่หวั่นขีคือพี่สาวของคุณ?”
“ใช่ค่ะ” มู่น่อนน่อนตกใจตะลึง “เกิดอะไรขึ้นกับหล่อน?”
ซือเฉิงหยู้ไม่ได้ตอบคำถามหล่อนตรงๆ แต่กลับถามต่อ: “บริษัทของตระกูลพวกคุณเกิดปัญหาขึ้น จึงอยากให้ผมไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้สินค้าของพวกคุณ?”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วขึ้น: “คุณทราบได้อย่างไร?”
น้ำเสียงของเขาอ่อนหวานมาก พูดด้วยท่าทีอันแสนดี: “คุณแค่พูดว่าใช่หรือไม่แค่นั้น?”
“…ใช่ค่ะ” มู่น่อนน่อนแอบคิดในใจว่ามู่หวั่นขีต้องไปก่อเรื่องอะไรโง่ๆแน่นอน ซือเฉิงหยู้จึงรู้เรื่องนี้
เธอเม้มปาก และพูดอธิบายขึ้น: “เรื่องนี้เป็นแค่ข้อเสนอในที่ประชุมของบริษัท ฉันรู้ว่าคุณคงไม่…”
ซือเฉิงหยู้ที่ตั้งใจฟังเธอมาตลอดกับพูดแทรกขึ้นในตอนนี้: “ถ้าคุณอยากให้ผมเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าของบริษัทมู่ซื่อ ผมสามารถลองดูได้”
ลองดู?
ใบหน้าของมู่น่อนน่อนเต็มไปด้วยความตกตะลึง ซือเฉิงหยู้หมายความว่ายังไงกัน?
อะไรคือถ้าหล่อนอยากให้เขามาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับบริษัทมู่ซื่อ เขาสามารถลองดูได้?
หมายถึงถ้าหล่อนเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเขาให้ช่วยมู่ซื่อ เขาก็จะยอมช่วย?
ไม่นานนัก มู่น่อนน่อนก็เข้าใจขึ้นมาทันที ซือเฉิงหยู้พูดแบบนี้ สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คงเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับเฉินถิงเซียว
“คุณไม่ต้องทำแบบนี้ ที่มู่ซื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบทุกวันนี้ เป็นเพราะผลจากการกระทำของตัวบริษัทเอง มากไปกว่านั้นเรื่องนี้คงส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของคุณในทางที่ไม่ดีอีกด้วย” หล่อนขอบคุณสำหรับน้ำใจของซือเฉิงหยู้มาก แต่ก็ไม่สามารถดึงชื่อเสียงของเขาให้ถดถอยไปด้วยได้
ทันใดนั้นซือเฉิงหยู้ยิ้มขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนหวานสดใสราวกับหยก ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น
เขาจ้องมองมู่น่อนน่อน: “ไม่ได้เป็นเพราะถิงเซียว วันนี้ผมมาที่นี่เพราะคุณ ถ้าคุณต้องการ ผมช่วยคุณได้ สำหรับผมแล้วชื่อเสียงไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
รอยยิ้มในดวงตาของเขายังไม่จางหายไป กลับมองมาอย่างตั้งใจ ราวกับกำลังมองมู่น่อนน่อน และเหมือนกับกำลังมองใครบางคนผ่านมู่น่อนน่อน
ไม่ว่าเขากำลังมองใครอยู่ แต่คำพูดนี้ของเขา ทำให้คิดฝันไปไกลได้จริงๆ