ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - ตอนที่ 24 การหย่าร้างกับเฉินถิงเซียว
ตอนที่ 24 การหย่าร้างกับเฉินถิงเซียว
ภายในร้านอาหาร
หล่อนวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะอาหาร ชูคางอย่างเย่อหยิ่งมาทางมู่น่อนน่อน “มีอะไรจะพูดก็พูดมาเร็วๆ อีกสักพักฉันมีนัดกับชูหาน”
หล่อนพูดไป ก็กรีดกรายมือของตนเอง เพื่อชื่นชมเล็บที่เพิ่งไปทำมาใหม่
หล่อนเหลือบสายตามองมู่น่อนน่อนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างไม่ได้ตั้งใจ วันนี้หล่อนยังคงแต่งตัวเหมือนสิบปีที่แล้ว ชุดผ้าฝ้ายสีอ่อนตัวยาว ผิวพรรณสีน้ำผึ้ง แว่นตาสีดำ ทุเรศจนขัดหูขัดตาเหมือนเดิม
ผู้หญิงแบบนี้ ยังจะสิ้นคิดมาแย่งผู้ชายของเธองั้นหรอ?
มีแต่พวกโง่เง่าดักดานบนอินเทอร์เน็ตเท่านั้นแหละที่เชื่อ
มู่น่อนน่อนช้อนสายตา พลางถือแก้วน้ำ สองมือเอาแต่ลูบคลำบริเวณด้านข้างแก้วน้ำ แต่หล่อนก็ทอดสายตามายังผู้ชายที่แต่งตัวธรรมดาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหลัง
หล่อนสีหน้ายังคงเหมือนเดิมพร้อมกับส่งข้อความออกไปตามที่ตนเองได้ตั้งใจจัดฉากมาตั้งแต่แรก : เริ่มได้แล้ว
การกระทำเช่นนี้ทั้งหมด หล่อนระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นมู่หวั่นขีเลยไม่สังเกตเห็น
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองมู่หวั่นขีอย่างระมัดระวัง พลางกระซิบพูด “ฉันลงคำขอโทษบนWeiboแล้ว ฉะนั้นพี่อย่ามาทำให้แม่ฉันลำบากใจอีกเลย”
หล่อนทำท่าทางอ้ำอึ้งจะพูดก็ไม่ยอมพูด ช่างดูเหมือนเมื่อก่อนนี้ไม่มีผิดเพี้ยนไปเลย
มู่หวั่นขีหัวเราะอย่างเย็นชา หล่อนรู้อยู่แล้วว่า มู่น่อนน่อนตั้งแต่เด็กจนโตโง่เง่ามาตลอด อยู่ดีๆจะเปลี่ยนมาฉลาดได้ยังไง
“ไม่ทำให้เซียวชู่เหอลำบากใจก็ได้ ฉันมีเงื่อนไข” มู่หวั่นขีกอดอกไปก็ยิ้มอย่างหยิ่งผยอง
“งะ..เงื่อนไขอะไร?” น้ำเสียงของ มู่น่อนน่อน ทั้งยินดีทั้งกังวล
“อีโง่ ไม่รู้จริงๆเลยว่าทำไมแกถึงได้เป็นห่วงเป็นใยเซียวชู่เหอขนาดนั้น ทั้งๆที่เขาไม่เคยคิดว่าแกเป็นลูกสาวของเขาเลยด้วยซ้ำ”
มือที่วางบนตักของมู่น่อนน่อนกำหมัดแน่น ใบหน้าขาวซีด หล่อนเปิดปากพูดอย่างขมขื่น “ไม่ว่าจะพูดยังไง เขาก็เป็นแม่ของฉัน หากย้อนกลับไปได้ ทั้งๆที่รู้ว่าทั้งหมดนี้เขาทำเพื่อขอร้องให้ฉันแต่งงานกับเฉินถิงเซียว ฉันก็ยังคงยินยอม ”
มู่หวั่นขีดูสภาพของมู่น่อนน่อนที่ทำท่าทาง อ่อนปวกเปียกเช่นนี้ ในช่วงยามเด็กนั้นการเรียนของมู่น่อนน่อนดีกว่าหล่อนมาก หล่อนเกลียดน้องสาวคนๆของหล่อนจริงๆ
หลังจากที่มู่น่อนน่อน อยู่ดีๆก็เซ่อซ่า หล่อนยิ่งเกลียดน้องสาวคนนี้มากกว่าเดิมอีก
การมีน้องสาวอย่างมู่น่อนน่อน มันทำให้หล่อนอับอายขายขี้หน้า
ทว่า ดีที่ว่ามู่น่อนน่อน เชื่อฟังเหมือนหมาตัวหนึ่ง ที่สามารถเอาไว้ให้หล่อนใช้งานได้
มู่หวั่นขีมุมปากกระดกยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยน แต่ช่างร้ายกาจมาก “เธอก็เลวเหมือนแม่เธอ..”
สายตามู่น่อนน่อนส่องประกายความเย้ยหยันออกมาแวบหนึ่ง เซียวชู่เหอแต่งเข้าบ้านตระกูลมู่มายี่สิบกว่าปีแล้ว หล่อนทำดีต่อมู่หวั่นขีอย่างหมดหัวใจ จนในที่สุดมู่หวั่นขีไม่เพียงจะรับความรู้สึกดีต่อเซียวชู่เหอนี้ไว้ แถมยังด่าว่าเขาว่าเลวอีก
“ไม่ว่าเธอจะพูดเงื่อนไขอะไรออกมาฉันยินยอมได้หมด แต่ว่าอย่าพูดถึงแม่แบบนี้อีก เขาดีต่อเธอจริงๆ” มู่น่อนน่อนกำลังหลอกว่าเสียอกเสียใจอยู่ พลางทำเสียงอ่อนขอร้องหล่อน
มู่หวั่นขีฟังความหมายของคำพูด มู่น่อนน่อน พลางเหลือบตามอง พร้อมทั้งเสียงดังใส่ “หุบปาก! เรื่องของฉันแกไม่ต้องมาสนใจ ตอนนี้ เธอก็แค่ต้องทำเรื่องหนึ่ง ไปหย่ากับเฉินถิงเซียวซะ”
“หย่า?” มู่น่อนน่อนตกใจจนตาเบิกโต
การตกใจครั้งนี้ ครึ่งหนึ่งคือแกล้งทำไปงั้น อีกครึ่งหนึ่งคือเรื่องจริง
ไม่จำเป็นต้องให้มู่หวั่นขีพูดออกมา มู่น่อนน่อนก็สามารถคาดเดาจุดประสงค์ของหล่อนได้
ถึงแม้ว่าตระกูลเฉินไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นคนแต่งงานกับเฉินถิงเซียว ด้วยซ้ำ แต่ว่าไไม่สามารถปล่อยปะละเลยให้มู่น่อนน่อน ทำเรื่องขึ้นมาให้เสียใจภายหลังโดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่ไม่สามารถเอาออกหน้าออกตาต่อสังคมได้ “ทั้งหน้าตาอัปลักษณ์ทั้งโง่เง่า”
หล่อนยื่นข้อเสนอมาว่าต้องการหย่าร้างกับเฉินถิงเซียว นี่มันแสดงออกว่าเพื่อต้องการหักหน้าตระกูลเฉิน
คนในบ้านตระกูลเฉิน ไม่ปล่อยหล่อนให้ลอยนวลไปแน่!
วิธีการของมู่หวั่นขีในครั้งนี้ถือว่ารุนแรงจริงๆ พยายามเบี่ยงเบนสายตาของคนในตระกูลเฉิน ไปยังมู่น่อนน่อน ให้คนในตระกูลเฉิน เกลียดแค้นมู่น่อนน่อนต่อไปเรื่อยๆ เรื่องอย่างนี้ ความรู้สึกในใจของหล่อนนั้นยิ่งติดลบลงเรื่อยๆเป็นทวีคูณ ถึงสามารถลดความกดดันและการเสียสละระหว่างกันของเสิ่นชูหาน
มู่หวั่นขีสะบัดผมที่ด้านข้างใบหูออกอย่างไม่ได้ใส่ใจ ลำคอขาวผ่องกลับมีรอยจูบแดงๆเป็นจ้ำๆบนลำคอระหง “ขอแค่เธอทำเรื่องนี้ ฉันก็จะไม่ทำให้เซียวชู่เหอลำบากใจอีก”
มู่น่อนน่อนไม่ได้เห็นกับตา แต่ที่เห็นคือร่องรอยเท่านั้นเอง
รอยแดงบนลำคอของมู่หวั่นขี เห็นชัดเจนว่าเป็นรอยจูบ
นี่กำลังเปิดเผยอะไรให้หล่อนหรือป่าว?
มู่น่อนน่อนยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ ในใจช่างอึดอัดขัดใจเหลือเกิน
สิ่งที่หล่อนลำบากใจไม่ใช่ว่าเสิ่นชูหานกับมู่หวั่นขีอยู่ด้วยกัน แต่สิ่งที่หล่อนลำบากใจจริงๆคือ การที่ตนเองแอบรักผู้ชายมาตั้งนานหลายปี มันก็แต่นี้เท่านั้นเอง
“ทว่า ทางตระกูลเฉินคงไม่ยินยอมให้ฉันกับเฉินถิงเซียวหย่าร้างกันแน่…” ถึงแม้ว่าจะหย่าร้างกันจริงๆขึ้นมา ทำได้แค่เฉินถิงเซียวเป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาเอง
“มันเป็นเรื่องของแก ฉันแค่แนะนำให้แก ทางที่ดีที่สุดทำตัวให้เหมือนสุนัขตัวหนึ่งที่คอยเชื่อฟังคำสั่งก็พอ ไม่งั้นพอถึงเวลานั้น ฉันจะให้แกกับแม่ของแกอยู่กันอย่างไม่มีความสุข”
มู่หวั่นขีไม่มีน้ำอดน้ำทนจะพูดกับมู่น่อนน่อนต่ออีกแล้ว หล่อนหยิบกระจกขึ้นมาเพื่อเติมสีลิปสติก จากนั้นก็ต่อสายโทรศัพท์พร้อมทั้งออกคำสั่งอย่างนุ่มนวล “ชูหาน”
มู่น่อนน่อนหน้าตึงชาทันที
ปฏิกิริยาตอบสนองของหล่อนช่างทำให้มู่หวั่นขี สะใจมาก
ถึงแม้ว่ามู่น่อนน่อนจะไม่ได้พูดข่มขู่หล่อนแต่อย่างใด แต่หล่อนดูอากัปกิริยาของมู่น่อนน่อน ที่แสดงออกมาราวกับลูกหมากำลังตกน้ำที่น่าสงสารจับใจ มันกลับสร้างความรู้สึกดูเหมือนทำเรื่องได้ประสบความสำเร็จ
เมื่อมู่น่อนน่อนมองผ่านหน้าต่างกระจกออกไป ก็เห็นว่า มู่หวั่นขีขับรถออกไปแล้ว ถึงได้หันศีรษะกลับมาพลางมองไปทางโต๊ะอาหารทางด้านหลัง
ผู้ชายคนนั้นเขย่าโทรศัพท์ที่อยู่ในมืออย่างไม่มีเสียง ก้มศีรษะลง มีข้อความแสดงบนหน้าจอโทรศัพท์
“ผมกลับไปจะคัดลอกวิดีโอให้เสร็จจากนั้นจะส่งต่อให้คุณ”
มู่น่อนน่อนตอบกลับ “ขอบคุณ”
หล่อนวางโทรศัพท์ที่อยู่ในมือลง จากนั้นก็จัดการรับประทานอาหารที่เย็นชืดที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างเชื่องช้าๆ
หล่อนไม่รู้เลยว่าทำไมมู่หวั่นขีถึงเปลี่ยนไปเป็นคนเช่นนี้ได้ ตอนเด็กนั้น หล่อนชอบมู่หวั่นขีจริงๆ
มู่หวั่นขีหน้าตาถือว่าไม่เลว เป็นเด็กน้อยที่ชอบพี่สาวที่รักรักสวยรักงาม เพราะฉะนั้นหล่อนมักจะอยู่ด้านหลังมู่หวั่นขีอยู่เสมอ
ทว่า คนอย่าง มู่หวั่นขี คนนี้เหมือนจะไม่ค่อยมีจิตใจสักเท่าไหร่
เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วเซียวชู่เหอทุ่มเทดีต่อหล่อนมาก แต่มู่หวั่นขีก็ยังด่าว่าหล่อนเลวอีก แล้วคนไม่ที่ไม่เคยเข้าตาอย่างมู่น่อนน่อนล่ะ?
หล่อนคิดว่ามู่หวั่นขีคงมีความรู้สึกบ้างแหละกับเซียวชู่เหอ ทว่า…..
ในใจของมู่น่อนน่อนเริ่มอึดอัดขึ้นมาบ้าง อาหารเย็นชืดก็ไม่ได้เลิศรส หล่อนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากร้าน
เฉินถิงเซียวเดินออกมาจากภายในห้องรับรองอีกห้องหนึ่ง แล้วเจอกับปาปารัสซี่คนนั้นที่ดักรออยู่ที่หน้าประตู
ปาปารัสซี่เห็นเฉินถิงเซียวที่เขาทำตัวดูสูงส่งนิสัยดูไม่ธรรมดา ในใจเริ่มหวาดหวั่น “คุณจะทำอะไร?”
“ขอผมดูหน่อย” สายตาของเฉินถิงเซียวเพ่งมองไปที่บนกระเป๋าของเขา น้ำเสียงแข็งกร้าวเย็นยะเยือก
“ผมไม่เข้าใจว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่” เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขาหาข่าวได้ แถมเป็นข่าวพาดหน้าหนึ่งของวันพรุ่งนี้ เลยไม่คิดจะให้คนอื่นดูได้อย่างตามใจชอบ
“ใช่หรอ? แกเชื่อหรือป่าวว่าคนอย่างฉันสามารถทำให้แกไม่มีวันอยู่ที่เมืองหู้หยางนี้อีกต่อไปได้?” การแสดงออกของเฉินถิงเซียวไม่มีการเปลี่ยนแปลง น้ำเสียงยังปกติดังเดิมแต่กลับไม่มีอารมณ์ใดๆแสดงออกมาอีกเลย
ปาปารัสซี่ถึงได้พบว่า ผู้ชายที่อยู่ด้านหน้าไม่เพียงหน้าตาหล่อเหลาอารมณ์สุขุมนุ่มลึก ชุดสูทที่สวมใส่อยู่บนเรือนกายต่างตัดเย็บอย่างหรูหรา ดูแวบเดียวก็รู้ว่าแพงแสนแพง ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความรู้สึกที่ทรงพลังแผ่ออกมาจากตัวของเขาพร้อมทั้งกำลังถูกเขากดขี่อยู่อย่างเห็นได้ชัดเจน อีกทั้งมีความรู้สึกให้คนยอมแพ้โดยง่าย
เขาไม่ได้มีความสงสัยใดๆในคำพูดของเฉินถิงเซียวเลย จากนั้นก็เอาวิดีโอยื่นให้เฉินถิงเซียวดู
เสียงและภาพแสดงอย่างชัดเจน คำพูดระหว่างผู้หญิงสองคนนั้น เขาได้ยินทุกคำพูดไม่มีตกหล่นเลย