ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - ตอนที่ 47 ผู้ชายจ่ายเงินเป็นหลักการอันเปลี่ยนแปลงมิได้
- Home
- ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
- ตอนที่ 47 ผู้ชายจ่ายเงินเป็นหลักการอันเปลี่ยนแปลงมิได้
ตอนที่ 47 ผู้ชายจ่ายเงินเป็นหลักการอันเปลี่ยนแปลงมิได้
มู่น่อนน่อนออกมาจากคฤหาสน์ เพียงพูดเสร็จก็วิ่งออกมาไกลมาก เพิ่งจะหยุดลงได้
เธอต้องออกห่างจาก “เฉินเจียฉิน” ให้ไกลสักหน่อย เขาอันตรายเกินไปแล้ว
ความคิดที่เพิ่งผุดออกมานี้ เพียงแค่มีรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ข้างๆเธอ เธอก็ตอบสนองด้วยการหันไปมอง เฉินถิงเซียวกำลังลดกระจกรถลงมองเธอพอดี
สายตาของทั้งสองคนสบตากันอยู่กลางอากาศ มู่น่อนน่อนตกใจจึงรีบเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ก้าวเท้าเร็วยิ่งขึ้น
เฉินถิงเซียวขับรถอย่างช้าๆ ค่อยๆตามไปข้างๆมู่น่อนน่อน รักษาให้ความเร็วรถอยู่ในระดับเดียวกับการเดินของเธอ เสียงที่ทุ้มต่ำมาพร้อมกับน้ำเสียงที่เป็นคำสั่ง: “ขึ้นรถ”
“ไม่เป็นไร” มู่น่อนน่อนหันไปพูดคำนี้ แล้วก็เดินต่อไป
เฉินถิงเซียวก็เข้าใจขึ้นมาเลยว่า มู่น่อนน่อนต้องการขีดเส้นแบ่งกับเขาให้ชัดเจน
มู่น่อนน่อนเดินไปๆก็ รู้สึกว่ารถของเขาไม่ได้ตามมาแล้ว เธอจึงหยุดลงนิดหนึ่ง ยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง
เธอเห็นเฉินถิงเซียวจอดรถแล้วเดินมาหาเธอ ใบหน้าที่เย็นชา ท่าทางที่เหิมเกริมทำให้คนหวาดกลัวขึ้นมาหน่อยๆ
เขาตัวสูงขายาว เพียงไม่กี่ก้าวก็เดินมาถึงเธอใกล้ๆแล้ว เขาไม่พูดอะไรสักคำ อุ้มเธอขึ้นมาทันที แล้วยัดกลับเข้าไปในรถ
มู่น่อนน่อนตกตะลึงไปแล้ว ผู้ชายคนนี้จริงๆเลย……
เธอโมโหมากแต่ต้องยิ้ม: “เฉินเจียฉิน! คุณไม่ก่อความวุ่นวายได้ไหม?”
“ใครกำลังวุ่นวาย?” เฉินถิงเซียวชำเลืองมองเธออย่างเย็นชา จากนั้นก็ตั้งใจขับรถต่อไป
มู่น่อนน่อน: “แน่นอนว่าเป็นคุณที่กำลังวุ่นวาย!”
เฉินถิงเซียวทำเหมือนไม่ได้ยินอย่างนั้น ไม่สนใจเท่าไหร่ตั้งแต่แรกแล้ว แค่ถาม: “ที่ไหน”
มู่น่อนน่อนไม่พูด เฉินถิงเซียวจึงยื่นแขนยาวๆ ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์จากในกระเป๋าของเสื้อเธอออกมาทันที เปิดข้อความที่เซียวชู่เหอส่งมาให้เธอ
“คุณแอบฟังฉันคุยโทรศัพท์หรือ?” มิเช่นนั้นเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอจะไปพบกับเซียวชู่เหอ
……
เพียงชั่วครู่ ก็ถึงร้านอาหารที่เซียวชู่เหอพูดถึง
มู่น่อนน่อนยังไม่ลงจากรถ หน้าต่างยาวๆที่ขอบตกถึงพื้นของร้านอาหารที่กั้นเอาไว้ เธอมองเห็นเซียวชู่เหอที่รออยู่ในนั้นตั้งแต่แรกแล้ว
เซียวชู่เหอนั่งที่โต๊ะตัวเล็กๆข้างหน้าต่าง เธอดูนาฬิกาตลอดเวลา แล้วก็มองข้างนอก ข้างๆกายไม่มีคนอื่น
เฉินถิงเซียวเห็นมู่น่อนน่อนเอาแต่มองเซียวชู่เหอ แต่เหมือนจะไม่ต้องการลงไปพบเธอ จึงถามขึ้น: “คุณคิดจะอยู่ในรถมองเธอไปตลอดอย่างนี้หรือ?”
มู่น่อนน่อนมองเขา แต่ก็ไม่พูดอะไร
ทำให้เซียวชู่เหอได้สัมผัสถึงการรอคอยคนอื่นบ้าง
เฉินถิงเซียวมองไปนอกหน้าต่าง ก็พบว่าด้านตรงข้ามก็เป็นร้านอาหารร้านหนึ่ง จึงขับรถไปที่จอดรถของร้านอาหารร้านตรงข้าม แล้วก็จูงมู่น่อนน่อนลงมาจากรถเข้าไปในร้านอาหาร
เขาพามู่น่อนน่อนขึ้นไปที่ชั้นสองทันที แล้วก็เลือกโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปจากตรงนี้ ก็มองเห็นเซียวชู่เหอได้อย่างพอดี
บริกรถือเมนูมาให้พวกเขาสั่งอาหาร เฉินถิงเซียวก็ผลักเมนูไปใกล้ๆมู่น่อนน่อนทันที
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเฉินถิงเซียว แม้ว่าเธอจะไม่พูดอะไร แต่เขาก็เหมือนจะเข้าใจความคิดในใจของเธออย่างชัดเจน
“มองอะไร? สั่งอาหารสิ”
เสียงของเฉินถิงเซียวดังขึ้น สติของมู่น่อนน่อนก็กลับมาอย่างฉับพลัน เขากำลังก้มหน้าดูโทรศัพท์อยู่แท้ๆ หรือว่าบนหัวก็มีตาด้วยหรือถึงรู้ว่าเธอกำลังมองเขา?
มาก็มาแล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่ยืดเยื้ออีกต่อไป สั่งอาหารทันที
สักครู่เฉินถิงเซียวก็สั่งเพิ่มมาอีกสองอย่าง
อาหารยังไม่มา มู่น่อนน่อนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเซียวชู่เหอที่อยู่ร้านอาหารฝั่งตรงข้าม สีหน้าค่อนข้างซับซ้อน
“เฉินเจียฉิน” นอกจากตอนที่หัวเราะเยาะข่มขู่เธอ จริงๆแล้วตอนอื่นๆเขาพูดน้อยมาก
“นี่เป็นครั้งแรกที่แม่นัดฉันกินข้าว” หลังจากคำพูดนี้ เธอก็เห็นรถคันหนึ่งจอดที่ประตูทางเข้าของร้านอาหาร ร่างของมู่หวั่นขีที่อยู่ด้านในเดินออกมา
เธอหัวเราะเยาะออกมา แล้วพูดต่อ: “ฉันก็รู้แล้วว่าแม่คงไม่นัดฉันกินข้าวอย่างบริสุทธิ์ใจ”
มู่หวั่นขีเดินไปที่โต๊ะที่เซียวชู่เหออยู่ทันที เพราะระยะห่างเป็นเหตุ เธอจึงไม่ได้ยินว่าสองคนคุยอะไรกัน แต่ดูจากท่าทางของทั้งสองคนก็พอจะมองออก มู่หวั่นขีกำลังอารมณ์เสีย ส่วนเซียวชู่เหอกำลังปลอบใจเธอ
สองคนโต้เถียงกันอยู่ครู่หนึ่ง เซียวชู่เหอก็ก้มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่นานเท่าไหร่ โทรศัพท์ของมู่น่อนน่อนก็ดังขึ้น
เธอรับโทรศัพท์: “ฮัลโหล”
“น่อนน่อน ทำไมลูกยังไม่มาอีก คุยกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรือว่ามากินข้าวเที่ยงด้วยกัน?” ในน้ำเสียงของเซียวชู่เหอควบคุมความโมโหเอาไว้ เหมือนกับว่าค่อนข้างหมดความอดทนแล้ว
มู่น่อนน่อนพูดอย่างไม่กระตือรือร้น: “หนูยังอยู่บนรถประจำ รถค่อนข้างติดค่ะ”
ในน้ำเสียงของเซียวชู่เหอผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด: “อย่างนั้นก็เร็วหน่อยนะ”
วางโทรศัพท์แล้ว มู่น่อนน่อนก็เห็นเซียวชู่เหอกำลังคุยกับมู่หวั่นขีอีกครั้ง จากนั้นมู่หวั่นขีก็กลับตัวออกไปจากโต๊ะ แต่กลับไม่ได้ออกไปจากร้านอาหาร
เมื่อคืนเกิดเรื่องอย่างนั้น มู่หวั่นขีก็ทนไม่ไหวที่จะให้เซียวชู่เหอนัดเธอออกมา มู่หวั่นขีคงจะคิดใช่ไหมว่าเธอคงโดนคนพวกนั้นทำลายเกียรติไปแล้ว ดังนั้นก็อยากจะเห็นความน่าสังเวชของเธอ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เธอก็ควรจะออกไปปรากฏตัวใช่ไหม ออกไปโจมตีมู่หวั่นขีเสียหน่อย
ในตอนนี้ บริกรเริ่มยกอาหารมาแล้ว เสียงของเฉินถิงเซียวดึงเธอออกมาจากห้วงความคิด: “กินข้าว”
มู่น่อนน่อนตั้งสติได้ จู่ๆก็นึกถึงคราวก่อนที่เขาไม่สบายและยังเรียก “แม่” อย่างสติเลอะเลือนขึ้นมา จึงถาม “เฉินเจียฉิน” ด้วยความอยากรู้อยากเห็น: “คุณอยู่บ้านของเฉินถิงเซียวมาโดยตลอด แล้วพ่อแม่ของคุณล่ะ?”
หลังคำพูดจบลง เธอก็เห็น“เฉินเจียฉิน” ที่กำลังคีบอาหารอยู่ หยุดชะงักขึ้นทันที สีหน้าของเขาไม่ค่อยดี
มู่น่อนน่อนรู้สึกเหมือนว่าตนถามอะไรที่ไม่ควรถาม รีบคีบกับข้าวให้เขา แฝงไว้ด้วยความหมายที่ค่อนข้างเอาใจมากทีเดียว: “คุณกินเยอะๆหน่อย”
มื้อนี้จบลงโดยที่ทั้งสองคนไม่พูดอะไรกันเลย
ตอนที่จ่ายเงิน มู่น่อนน่อนคิดจะแย่งเขาจ่ายเงิน ผลลัพธ์คือเพียงมือเดียวของเฉินถิงเซียวก็ดึงเธอไปไว้ข้างหลังตนได้แล้ว หลังจากจ่ายเงินเสร็จก็หันกลับมาพูดอย่างกับมีเรื่องอะไรสำคัญอย่างนั้น: “กินข้าวกับผู้หญิง ผู้ชายต้องจ่ายเงินเป็นสัจธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้”
มู่น่อนน่อนสีหน้าจริงจัง: “พี่สะใภ้ก็เหมือนแม่ พี่สะใภ้จ่ายเงินก็เป็นสัจธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้”
“ฉันจ่ายเงินไปแล้ว ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจจริงๆล่ะก็……” เฉินถิงเซียวโน้มกายเข้าไปใกล้เธอ พูดเสียงต่ำ: “จูบฉันสักทีก็พอแล้ว”
“……” ยังสู้ไม่ได้กับให้เธอไปตาย
มู่น่อนน่อนสะบัดมือเขาออกแล้วก็ออกไปจากร้านอาหาร
เฉินถิงเซียวมองด้านหลังของเธอ แล้วยิ้มอย่างลึกซึ้ง
……
สุดท้ายแล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ไปพบเซียวชู่เหอที่ร้านอาหารฝั่งตรงข้าม เธอกับ “เฉินเจียฉิน” กลับบ้านในทันที
เซียวชู่เหอโทรหาเธอตลอด แต่เธอก็ไม่รับเลยเช่นกัน
เธอคิดว่าเรื่องนี้ก็ถือว่าผ่านไปแล้ว ผลคือเช้าตรู่ของวันที่สอง เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากมู่ลี่เหยียน
“น่อนน่อน ช่วงนี้กำลังหางานอยู่ใช่ไหม? ลูกมาที่บริษัทของครอบครัวเราเลยสิ ไม่ต้องไปรับใช้คนอื่นด้วย ดีจังเลย!” มู่ลี่เหยียนพูดด้วยความรักและเป็นห่วงอย่างแท้จริง มู่น่อนน่อนเกือบจะเชื่ออยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนตอบกลับอย่างไม่สนใจไยดี: “แต่หนูหางานได้แล้วค่ะ”
บริษัทมู่ซื่อกับบริษัทเสิ้งติ่ง เธอก็เลือกบริษัทเสิ้งติ่งอย่างไม่ลังเล ไม่ต้องครุ่นคิดแต่แรกอยู่แล้ว
มู่ลี่เหยียนเงียบลงไปครู่หนึ่ง เหมือนกับว่าตัดสินใจได้แล้ว: “ลูกมาทำงานที่บริษัท พ่อให้หุ้นลูกด้วยเป็นอย่างไร?”
หุ้น?
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะนั่งยืดตัวขึ้นมา ค่อนข้างสงสัยว่าตนฟังผิดไปหรือ
มู่หวั่นขีกับพี่ชายของเธอต่างก็ถือหุ้นของบริษัทมู่ซื่อ ทุกปีต้องแบ่งโบนัสกัน รวมไปถึงเซียวชู่เหอก็มีหุ้นอยู่นิดหน่อย แม้ว่าจะน้อยจนน่าสงสาร แต่ก็ยังดีที่มี