ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - ตอนที่58 เขาต้องการโอกาส
ตอนที่58 เขาต้องการโอกาส
หลังจากมู่น่อนน่อนส่งข้อความออกไป ก็รอคอยคำตอบจากเฉินถิงเซียวอย่างตื่นเต้น
ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอจะส่งข้อความหาเสิ่นชูหาน เธอไม่เคยตื่นเต้นมาก่อนเลย
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมงานกระซิบคุยกัน
“ฉันได้ยินมาว่าซุนเจิ้งหวาลาพักร้อน”
“สองวันนี้เขาเป็นอะไรไปหนะ? ก่อนหน้านี้เขาเสแสร้งทำเป็นอุทิศตัวเองให้บริษัททุกวันเลยนะ!”
“……”
มู่น่อนน่อนฟังอย่างสนใจ แล้วก็มีเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งเข้าร่วมวงสนทนาด้วย
ทันใดนั้นเสียงของพวกเธอก็เบาลงทันที
แต่ว่ามู่น่อนน่อนก็ได้ยินบางคำ “……น่อน……ทำ……เมื่อวาน……”
ทันใดนั้นจู่ๆมู่น่อนน่อนก็จามออกมา นี่พวกเธอกำลังพูดเรื่องของเธออยู่งั้นหรอ?
……
บริษัทเสิ้งติ่ง
ในห้องประชุมนั้นเงียบมาก เฉินถิงเซียวนั่งประจำที่ หรี่ตา แล้วก็อ่านโครงการในมือเขา
ผู้จัดการอาวุโสหลายๆคนได้แต่นั่งหลังตรง ไม่มีใครกล้าทำเสียงอะไรทั้งนั้น ยังไงหัวหน้าใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของประธานกู้ก็อารมณ์ร้อนยิ่งไปกว่าเขาอีก
คนภายนอกต่างคิดว่ากู้จือหยั่นคือหัวหน้าใหญ่ของบริษัทเสิ้งติ่ง แต่ว่าที่จริงแล้วผู้อาวุโสในที่นี้ต่างรู้ดีกว่า ท่านที่อยู่ตรงหน้าต่างหากที่เป็นหัวหน้าใหญ่ ที่อยู่และตัวตนของเขาลึกลับมาก เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องมีการตัดสินใจโครงการใหญ่ๆในบริษัท ท่านคนนี้ถึงจะมาเข้าร่วมประชุมด้วย
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เฉินถิงเซียวไม่ได้เข้ามาที่บริษัท เรื่องน้อยใหญ่ในบริษัทต่างยกให้กู้จือหยั่นเป็นคนจัดการ ต้องดูแลบริษัท และต้องไปออกงานต่างๆ มันถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบากเหมือนกัน
พอมู่น่อนน่อนไปทำงานที่บริษัทมู่ซื่อ เขาก็เลยสามารถเข้ามาจัดการเรื่องต่างๆที่บริษัทได้
มีกรรมการบริหารบางคนที่ต้องการจะกบฏ แต่ว่านั่นก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่อะไร
สุดท้าย หลังจากเฉินถิงเซียวอ่านเอกสารจบ ก็วางบางส่วนไว้บนโต๊ะ ส่วนบางส่วนก็ถูกกระแทกลงที่โต๊ะอย่างรุนแรง จนมีเสียง “ปัง” เกิดขึ้น
ทุกคนตรงนั้นตกใจ
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมา แล้วก็มองทีละคนช้าๆ หลังจากนั้นก็พูดออกมาอย่างรุนแรง “ทุกคนเป็นผู้อาวุโสของบริษัทนี้ ทำงานมาก็ตั้งนาน ผมจะให้โอกาสทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย เก็บของพวกนี้ไป ทำให้ดี แล้วเอามาให้ผมอีกครั้งนึง”
หลังจากพูดจบ เขาก็ลุกแล้วก็เดินออกจากห้องประชุมไป กู้จือหยั่นเดินตามเขามา แล้วก็เก็บเอกสารตามเขาไป
หลังจากกลับมาที่ห้องทำงาน เฉินถิงเซียวก็ปลดเนคไทออก แล้วก้นั่งลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน แล้วก็ยื่นมือมากุมขมับ
กู้จือหยั่นก็ตามเขาเข้ามา แล้วก็วางเอกสารลง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกคนแก่พวกนั้น จะเชื่อฟัง แล้วก็กลับไปแก้งานมาให้ดีๆมั้ย?”
เฉินถิงเซียวสีหน้าเยือกเย็น “คนที่โดนบริษัทเสิ้งติ่งไล่ออก จะมีใครในสายงานนี้กล้ารับเข้าทำงานอีกมั้ยล่ะ?”
คำพูดของเขาดูเย่อหยิ่งมาก แต่ว่ากู้จือหยั่นก็รู้ดีว่า ความเย่อหยิ่งคือตัวตนของเขา
ถึงแม้ว่ากู้จือหยั่นจะรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวนิสัยไม่ดี แถมยังเย่อหยิ่ง แต่ว่าที่จริงแล้วเขาเป็นคนใจดี แต่ว่าคนพวกนั้นครั้งนี้ทำเกินไปจริงๆ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วแกก็ไปทำงานต่อเถอะ” เฉินถิงเซียวพูดพลางดึงโทรศัพท์ออกมาจากลิ้นชัก
หลังจากกดปุ่มเปิดปิด หน้าจอก็สว่างขึ้นมา ทันใดนั้นก็ปรากฏข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน
ตามที่คาดหวัง มู่น่อนน่อนส่งข้อความมาหาเขา [ฉันคือมู่น่อนน่อนเองนะคะ ขอบคุณโทรศัพท์ที่ส่งมาให้ใช้ ฉันชอบมากเลยค่ะ]
สายตาของเขาไปหยุดอยู่ตรงที่คำว่า “ชอบมาก” สองคำนี้ หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา
กู้จือหยั่นยังไม่ได้ออกไป พอเห็นว่าเฉินถิงเซียวยิ้มให้โทรศัพท์ ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย “อยู่ดีๆก็ยิ้มให้โทรศัพท์ทำไมหนะ? แบบนี้น่ากลัวนะ”
เฉินถิงเซียวอารมณ์ดีอยู่ ก็เลยพูดออกมาว่า “ถ้ากลัวแล้วทำไมยังไม่ไปอีก?”
กู้จือหยั่นเดินอ้อมมาเพื่อจะดูว่าเขากำลังดูอะไรอยู่ แต่ว่าเฉินถิงเซียวก็เหมือนกับมีตาอยู่บนหัวของเขา เขารีบคว่ำหน้าขอลงกับโต๊ะทันที
กู้จือหยั่น:“……”
ได้ ถือว่าเฉินถิงเซียวตาเหยี่ยว!
หลังจากกู้จือหยั่นออกจากห้องไป เฉินถิงเซียวถึงตอบข้อความของมู่น่อนน่อน
[เธอชอบก็ดีแล้ว]
ถึงยังไง ถ้าเกิดจะบอกว่า“เฉินถิงเซียว”ไม่อยากจะเจอมู่น่อนน่อน ก็เหมือนจะไม่เหมาะสมกับสไตล์ของ“เฉินถิงเซียว”ไปหน่อยรึเปล่า
[สือเย่เป็นคนซื้อมันหนะ]
มันดูจงใจเกินไป
สุดท้าย เฉินถิงเซียวก็ได้แต่ส่งกลับไปคำเดียว [อืม]
หลังจากวางโทรศัพท์ลง เขาก็นั่งพิงเก้าอี้ หลังจากนั้นความหงุดหงิดก็ปรากฏขึ้นในดวงตาสีดำของเขา
หลังจากนั้นกู้จือหยั่นก็กลับเข้้มาอีกครั้ง เขาเปิดประตูเข้ามาแล้วก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา “ถิงเซียว นี่เป็นIPขนาดใหญ่ที่บริษัทพึ่งลงทุนไปเมื่อเร็วๆนี้ ฉันวางข้อมูลไว้ตรงนี้นะ เดี๋ยวแกก็ดูเอาแล้วกัน”
“เดี๋ยวก่อน”
หลังจากกู้จือหยั่นวางเอกสารลงก็เตรียมจะออกไป แต่ว่าโดนเฉินถิงเซียวเรียกไว้ก่อน เขาหันหน้ากลับไป “มีอะไรอีกรึเปล่า?”
เฉินถิงเซียวกระแอมออกมาเล็กน้อย แล้วก็ยื่นมือไปเคาะโต๊ะสองสามที แล้วก็พูดออกมาแบบไร้สีหน้าว่า “แกคิดว่า ฉันควรบอกมู่น่อนน่อนมั้ยว่าฉันคือเฉินถิงเซียว?”
หลังจากพูดจบ เขาก็เสริมออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าแกกล้าหัวเราะ ฉันจะทำให้นักแสดงอย่างแกไม่ได้เล่นละครอีกเลย”
ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะแค่ขู่เขาเฉยๆ แต่ว่ากู้จือหยั่นก็รีบหุบรอยยิ้มของเขาทันที
กู้จือหยั่นพยายามกลั้นขำจนหน้าแดงไปหมด แล้วก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “ได้สิ แกควรจะรีบบอกเธอให้เร็วที่สุดด้วยซ้ำ”
เฉินถิงเซียวรู้ดีว่า กู้จือหยั่นกำลังพยายามกวนเขาอยู่
เขาปาเอกสารไปที่กู้จือหยั่นทันที “ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้”
“ได้ๆๆๆ ฉันไปแล้ว ฮ่าๆๆๆ….” กู้จือหยั่นกลั้นขำไม่ไหวแล้ว เขาหัวเราะออกมาอย่างพอใจมาก
กู้จือหยั่นรู้สึกว่าชีวิตนี้ของเขาเกิดมาไม่ได้เสียเปล่าแล้ว เพราะว่าชีวิตของเขาสามารถได้เห็นเฉินถิงเซียวรู้สึกสับสนเพราะผู้หญิงคนเดียว!
เขารีบไปบอกข่าวที่น่าสนใจนี้กับฟู้ถิงซีทันที
เฉินถิงเซียวเม้มปากแน่น เขาหยิบที่วางปากกา ปาไปที่กู้จือหยั่นที่ยืนอยู่ตรงประตูทันที
“โอ้ย——”
เสียงร้องของ กู้จือหยั่น ทำให้เฉินถิงเซียวรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแน่นอีกครั้ง ถ้าบอกมู่น่อนน่อนว่าเขาคือเฉินถิงเซียวในตอนนี้นั้น ดูเหมือนว่าจะผิดเวลาไปหน่อย
เขายังต้องการโอกาสอีกครั้ง
……
มู่น่อนน่อนรออยู่เกือบครึ่งวัน สุดท้ายก็ได้รับข้อความตอบกลับจากเฉินถิงเซียวแล้ว
ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่คำๆเดียว แต่ว่าสำหรับมู่น่อนน่อนแล้วนั้น ถือว่าไม่เลวเลย
ตอนกินข้าวกลางวันนั้น ก็มีเพื่อนร่วมงานผู้หญิงหลายคนมาเรียกให้เธอไปกินข้าวด้วยกัน
“น่อนน่อน ไปกินข้าวด้วยกันสิ”
ประกายความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนร่วมงานพวกนั้นซ่อนจากมู่น่อนน่อนไม่ได้”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า เรื่องที่เธอจัดการกับซุนเจิ้งหวา พวกเธอน่าจะรู้แล้ว
เธอยังไม่รู้ว่าตัวเองยังจะต้องอยู่ที่บริษัทมู่ซื่ออีกนานแค่ไหน ก็เลยได้แต่ยิ้มแล้วก็พยักหน้า “ได้สิ”
ทั้งๆที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด แต่ว่ารอยยิ้มของมู่น่อนน่อนนั้น ทำให้ผู้หญิงทุกคนที่อยู่ตรงนั้นค้างแข็งไปเลย
ร้านอาหารแถวบริษัทถือว่าไม่ได้เยอะเท่าไหร่ พอเธอเจอร้านอาหารที่จะกิน ก็บังเอิญเจอสองพ่อลูกมู่หวั่นขี
ทุกคนต่างเป็นหัวหน้า พวกพนักงานผู้หญิงก็เลยรีบทักทาย “ผู้อำนวยการ ผู้จัดการมู่สวัสดีค่ะ”
มู่หวั่นขีเป็นผู้จัดการโครงการ แน่นอนว่าเธอไม่ได้มีความสามารถอะไรหรอก คนที่ทำงานจริงๆนั้นก็คือพวกลูกน้องเธอทั้งนั้น
มู่น่อนน่อนคิดว่ามันไม่ดีเท่าไหร่ที่จะทำตัวแปลกประหลาด ก็เลยทักทายพวกเขาเหมือนกัน
“พ่อ พี่”