ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - ตอนที่59 คนที่มีเมียแล้วจะไม่ใช้ชีวิตแบบค้างคืน
ตอนที่59 คนที่มีเมียแล้วจะไม่ใช้ชีวิตแบบค้างคืน
เพราะว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย มู่ลี่เหยียนก็เลยต้องรักษาหน้า เขาพูดกับมู่น่อนน่อนออกไปส่งๆว่า “มากินด้วยกันสิ”
“ได้สิคะ” พอมู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เห็นว่าสีหน้าของมู่ลี่เหยียนค่อยๆเปลี่ยนไป เธอก็เลยพูดต่อ “แต่ว่าวันนี้ไม่ได้ค่ะ หนูต้องกินกับเพื่อนร่วมงาน เดี๋ยววันหน้าหนูกินกับพ่อนะคะ”
มู่ลี่เหยียนไม่สนิทกับมู่น่อนน่อน แล้วเขาก็ไม่ชอบเธอ ก็เป็นปกติที่เขาไม่อยากจะกินข้าวกับเธอ
พอเห็นว่ามู่น่อนน่อนปฏิเสธ สีหน้าเขาก็ผ่อนคลายลงหน่อย เขาดูอ่อนโยนขึ้นเยอะ “งั้นก็ได้ งั้นลูกไปก่อนเถอะ”
ในตอนนี้เอง อยู่ดีๆมู่หวั่นขีก็หันหน้ามาคีบอาหารให้มู่ลี่เหยียน “พ่อ ชิมอันนี้ดูสิคะ หนูรู้สึกว่าอาหารร้านนี้อร่อยดี”
มู่ลี่เหยียนก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ลูกเองก็กินด้วยสิ ช่วงนี้ผอมไปเยอะเลย”
นี่มันคือความสามัคคีของพ่อกับลูกสาวจริงๆ!
มู่หวั่นขียิ้มให้มู่น่อนน่อนอย่างเหยียดหยาม สายตาของเธอกำลังพูดว่า : เธอมันแค่แมลงที่พ่อแม่ไม่รัก
จะปฏิเสธก็ไม่ได้ว่า มู่หวั่นขีได้ไปจี้ใจดำของมู่น่อนน่อนเข้าให้จริงๆ
เธอนึกว่า การที่โดนตระกูลมู่ใช้ประโยชน์จากเธอและทอดทิ้งเธอครั้งแล้วครั้งเล่านั้น เธอได้ฝึกจิตใจให้เข้มแข็งมาแล้ว แต่ว่าก็ยังโดนภาพเหตุการณ์พ่อลูกผูกพันตรงหน้าทิ่มแทงเข้าให้จนได้
จนถึงตอนที่เพื่อนร่วมงานพากันไปหาโต๊ะนั่ง สีหน้าของมู่น่อนน่อนก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ก่อนหน้านี้มีอยู่ช่วงนึง ที่เรื่องของเธอกับมู่หวั่นขีโกลาหลอยู่เต็มอินเตอร์เน็ตไปหมด เพื่อนร่วมงานผู้หญิงพวกนี้ยังวัยรุ่นอยู่ แน่นอนว่าต้องรู้เรื่องของพวกเธอจากอินเตอร์เน็ตแล้วเหมือนกัน
แล้วเรื่องเมื่อกี้นี้ พวกเธอก็เห็นแล้ว ยังไงก็ต้องรู้สึกแหละว่ามู่ลี่เหยียนเหมือนจะไม่ค่อยชอบมู่น่อนน่อน
มีคนหนึ่งในนั้นดันเมนูมาให้เธอ “เธอดูสิว่าอยากกินอะไร”
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วก็ยื่นเมนูคืนกลับไป “ฉันไม่เลือกกินหรอก พวกเธอเลือกเลย แล้วอีกอย่างฉันก็ยังไม่เคยมาที่นี่ ก็เลยไม่รู้ว่าอะไรอร่อย”
พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ คนอื่นๆก็เลยเริ่มสั่งอาหารอย่างไม่เกรงใจ
พวกเธอรู้สึกว่าสามารถเข้ากับมู่น่อนน่อน ก็เลยมีคนถามเธอออกมาว่า “เธอรู้เรื่องที่ซุนเจิ้งหวาลาพักร้อนวันนี้มั้ย? ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นที่ห้องผู้อำนวยการหนะ?”
“ฉันไม่รู้ เมื่อก่อนเขาชอบทำเรื่องไม่ดีรึเปล่า? วันนี้กรรมเก่าก็เลยกลับมาเล่นงานเขา” มู่น่อนน่อนปั้นเรื่อง
คนอื่นๆก็ไม่ได้ถือสาอะไร ยิ้มให้กับเธอ หลังจากนั้นพวกเธอก็เริ่มเปิดเผยอดีตที่น่ารังเกียจของซุนเจิ้งหวา
มู่น่อนน่อนก็เสริมบทสนทนาด้วยเหมือนกัน บรรยากาศดูสามัคคีกันมาก
จนถึง อยู่ดีๆก็มีประโยคหนึ่งดังขึ้นมา ที่ทำลายความสามัคคีนั้น
“น่อนน่อน ในเมื่อตอนนี้เธอเป็นคุณนายของตระกูลเฉินแล้ว ทำไมยังต้องมาทำงานที่บริษัทมู่ซื่ออีกหละ?”
คนที่ถามคำถามนี้ออกมาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร แต่ว่าคำถามนี้ก็ตอบไม่ได้ง่ายๆเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนนิ่งไปสักพัก น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความลังเล “เรื่องนี้หนะ…”
ทันใดนั้นก็มีคนช่วยมู่น่อนน่อน “โอ๊ยตายแล้ว รีบกินเถอะ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว กินเสร็จจะได้กลับไปพักผ่อนอีกสักหน่อย”
คนๆนั้นก็ไม่ได้ตามถามต่อ
ที่จริงคนในบริษัทต่างพากันคิดว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้รับการต้อนรับจากตระกูลเฉินเท่าไหร่นัก
แล้วคุณชายเฉินที่ถูกทำให้เสียโฉมคนนั้นเป็นทายาทอันดับหนึ่งของบริษัทเฉินซื่อ แต่ว่าสถานภาพทางร่างกายของเขาไม่ค่อยเหมาะกับการเป็นผู้สืบทอดบริษัทเฉินซื่อ หลายๆคนต่างคิดว่าพวกเขาน่าจะเปลี่ยนผู้ที่มารับช่วงต่อ แต่ว่าก็ไม่เคยมีข่าวที่เป็นทางการหลุดออกมา
รีศมีของผู้สืบทอดของบริษัทเฉินซื่อเลือนลางหายไปเรื่อยๆ แต่ว่าคุณชายของตระกูลเฉินก็แค่พิการเท่านั้นเอง แต่ว่ามู่น่อนน่อนก็ไม่ได้รับการต้อนรับจากตระกูลเฉินแถมยังต้องออกมาทำงานอีก
ออกมาทำงานก็อีกเรื่องนึง แถมยังต้องมาทำงานที่ยากลำบากอย่างแผนกวิจัยตลาดอีก เธอดูน่าสงสารมาก
มู่น่อนน่อนมองเพื่อนร่วมงานที่คีบอาหารให้เธอไม่หยุด สายตาที่พวกเธอมองเธอนั้น เหมือนกับว่า——สงสาร?
หลังจากคิดอยู่สักพัก เธอก็เข้าใจแล้วว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
ถ้าดูจากมุมมองคนนอก เธอก็น่าสงสารมากจริงๆแหละ….
……
……
เฉินถิงเซียวอยู่ในบริษัททั้งวัน
หลังจากเลิกงาน กู้จือหยั่นก็วิ่งเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีตื่นเต้น “ไปดื่มกันเถอะ!”
พอเฉินถิงเซียวมาที่บริษัท งานของเขาก็เบาลงไปเยอะ อารมณ์ดีก็เลยอยากจะออกไปเที่ยวเล่นสะหน่อย
“ไม่ไป” เฉินถิงเซียวปฏิเสธโดยที่ไม่เงยหน้าด้วยซ้ำ
กู้จือหยั่นกลอกตา “แกจะกลับบ้านเร็วขนาดนี้เพื่อ? ไม่มีอะไรก็อยู่แต่ในบ้าน ขนาดเลิกงานก็รีบกลับบ้าน กิจกรรมอะไรก็ไม่เข้าร่วมสักอย่าง ตอนนี้แกช่างเหมือนคนแก่ไปเรื่อยๆแล้วนะ”
คำพูดลอยๆของเฉินถิงเซียว ทำให้กู้จือหยั่นรู้สึกเกลียดมาก
“คนมีเมียก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น”
กู้จือหยั่นหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ”
ตอนนั้นเอง ฟู้ถิงซีก็เข้ามาพอดี
เขาไม่รู้เลยว่ากู้จือหยั่นพึ่งโดนเฉินถิงเซียวโจมตีมาเมื่อกี้นี้ เขาถามว่า “ไปได้ยัง?”
“ปะ” กู้จือหยั่นพูดจบก็เดินออกไปข้างนอก
ฟู้ถิงซีมองหน้าเฉินถิงเซียว “แกไม่ไปหรอ?”
กู้จือหยั่นตอบแทนเฉินถิงเซียวด้วยสีหน้าเย็นชา “คนมีเมียแล้วเขาไม่ไปค้างคืนข้างนอกกันหรอก”
ตามที่กู้จือหยั่นคาดการณ์ไว้ ฟู้ถิงซีมีสีหน้าที่ตกใจมาก
“ไปกันเถอะ พวกเราไปดื่มกันสองคนก็พอแล้ว ใครใช้ให้เราไม่มีเมียกันล่ะ?” กู้จือหยั่นยกมือขึ้นมาตบบ่าฟู้ถิงซี แล้วก็ลากแขนเขาออกไป
ฟู้ถิงซีขมวดคิ้วแน่น แล้วก็สะบัดมือของกู้จือหยั่น หลังจากนั้นก็หันหน้ากลับมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเห็นใจ “มีเมียแล้วยังไง ก็แค่เอาไว้ดูเฉยๆไม่ใช่หรอ”
เฉินถิงเซียวยิ้มอย่างเยือกเย็น “อย่าคิดว่าจะไปกินข้าวที่บ้านฉันอีกนะ”
ฟู้ถิงซีแข็งทื่อ ทันใดนั้นคำพูดของเขาก็เปลี่ยนไป “อิจฉาพวกคนที่มีเมียจริงๆ”
กู้จือหยั่นอดไม่ได้ที่จะเตะเท้าของฟู้ถิงซีทีหนึ่ง!
ทำไมพวกเขาไม่ดีขึ้นบ้าง? ทำไมพวกเขาต้องแพ้ให้เฉินถิงเซียวทุกครั้ง?
ฟู้ถิงซีเหมือนจะไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ ได้แต่ชักเท้าหลบ
กู้จือหยั่นลากเขาออกไปข้างนอก “อย่ามาทำให้ตัวเองขายขี้หน้าตรงนี้เลย”
หลังจากพูดจบ ก็หันหน้ากลับมาพูดกับเฉินถิงเซียว “พวกเราไปก่อนนะ”
เฉินถิงเซียวอารมณ์ดี สามารถได้ยินความสุขออกมาจากเสียงที่ทุ้มต่ำของเขา “พวกแกไปเถอะ คิดตังค์ในบัญชีฉันนะ”
แต่ว่า หลังจากเฉินถิงเซียวขับรถกลับบ้าน เห็นวิลล่าที่เงียบสนิท อารมณ์ที่ดีๆอยู่นั้นก็หายไป
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหามู่น่อนน่อน แต่ว่าไม่มีคนรับสาย
เขาโทรไปอีกสองรอบ ก็ไม่มีคนรับสาย
จงใจไม่รับสาย หรือว่าเกิดอะไรขึ้นนะ?
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ตรงห้องโถงที่ว่างเปล่าอยู่พักนึง บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะถามเขาออกมา “คุณชาย เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ?”
สีหน้าของคุณชายดูจริงจังมาก คิดว่าน่าจะต้องเกิดเหตุการณ์อะไรที่ร้ายแรงขึ้นแน่ๆ
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาหยิบเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป พอเดินถึงประตูก็เหมือนพึ่งนึกอะไรขึ้นได้ ก็เลยหันหน้ากลับมาสั่งงาน “ถ้าเกิดว่าคุณหญิงกลับมาแล้ว โทรหาฉันด้วยนะ”
“……”เรื่องใหญ่ของเขาคือเรื่องที่คุณหญิงไม่กลับบ้านงั้นหรอ?
……
มู่น่อนน่อนในตอนนั้นเอง ถูกคนลากมาเดินเล่นที่ห้าง
หลังจากเลิกงาน เธอก็อยากจะตรงกลับบ้านเลย
แต่ว่า เพื่อนร่วมงานที่กินข้าวกลางวันกับเธอเมื่อตอนเช้า น่าจะรู้สึกว่าการที่เธอต้องอยู่คนเดียวในวิลล่าที่กว้างใหญ่นั้นมันน่าสงสารมาก ก็เลยจำเป็นต้องลากเธอออกมาเดินเล่น
ที่จริงเธอคิดว่าตัวเองไม่ได้น่าสงสารเลยสักนิด ถึงแม้ว่าต้องกลับบ้านที่ว่างเปล่า แต่ว่ามันก็เป็นวิลล่าที่หรูหรา ยังดีกว่าบ้านเช่าขนาดเล็กๆที่เธอเคยอยู่หลายพันหลายหมื่นเท่า
แต่ว่า ไม่ควรปฏิเสธความมีน้ำใจของเพื่อนร่วมงาน เธอก็เลยจำเป็นต้องมาเดินเล่นด้วย