ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 170 ดูแล้วยิ่งน่าสงสัย
บทที่ 170 ดูแล้วยิ่งน่าสงสัย
เข้าใจเรื่องพวกนี้ดีแล้ว สีหน้าบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนก็ยิ่งเย็นชา
บรรดาผู้เฒ่าพวกนั้นพูดกับมู่น่อนน่อน มู่น่อนน่อนก็ตอบรับอย่างสั้นๆง่ายๆ ไม่ได้กระตือรือร้น
ยิ่งคนที่อายุมาก บางครั้งก็ยิ่งเห็นแก่หน้าตา มีหลายคนในนั้นเห็นมู่น่อนน่อนแบบนี้ ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ
อาหารมื้อนี้กินกันอย่างไม่มีความสุขนัก
หลังจากแยกย้ายกันจากการรับประทานอาหารแล้ว มู่น่อนน่อนและมู่เจิ้งซิวกลับโรงแรมพร้อมกัน
ระหว่างทางกลับทั้งสองต่างก็ไม่พูดจากัน รอจนกระทั่งทั้งสองถึงโรงแรมแล้ว ตอนขึ้นลิฟต์มู่เจิ้งซิวจู่ๆก็พูดขึ้นว่า “น่อนน่อน หลานอย่าคิดว่าปู่ใช้หลานเป็นเครื่องมือนะ ตอนนี้ที่ทำทั้งหมดก็เพื่อตระกูลมู่”
ประโยคนี้ของมู่เจิ้งซิว อยู่บนจุดสูงสุดของศีลธรรมอันดีอย่างสมบูรณ์
เพื่อตระกูลมู่
——พี่สาวของเธอสมควรจะได้สิ่งที่ดีกว่า
——อย่าลืมว่าเธอก็เป็นคนตระกูลมู่
——ฉันทำเพื่อตระกูลมู่
ตอนที่ทุกคนใช้เธอเป็นเครื่องมือ ต่างก็มีเหตุผลของพวกเขาเอง
แล้วเธอล่ะ
เธอสมควรจะถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ ถูกพวกเขากำหนดชะตาชีวิตเหรอ
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองเขา สีหน้าที่อยู่บนใบหน้าขาวนวลนั้นเย็นยะเยือก ภายใต้แสงไฟนีออนที่สาดส่องในลิฟต์ ก็ยิ่งทำให้เห็นถึงความเย็นชา
เธอมองมู่เจิ้งซิวนิ่งๆ “แต่การบาดเจ็บทั้งที่ฉันได้รับตั้งแต่เด็กจนโต ล้วนมาจากฝีมือคนตระกูลมู่ทุกคน”
มู่เจิ้งซิวได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เกร็งขึ้นมาทันที สีหน้าเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา
ก็เหมือนกับที่เฉินถิงเซียวพูดมู่เจิ้งซิวเป็นคนฉลาด และไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปคุยกับเขา
ผ่านไปพักใหญ่ มู่เจิ้งซิวก็พูดว่า “เมื่อก่อนคือพ่อกับพี่สาวของหลานเลอะเลือน ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว”
ติ๊ง——
ถึงชั้นที่กดเอาไว้แล้ว ลิฟต์เปิดออก
มู่น่อนน่อนเดินออกไปก่อน “มู่หวั่นขีหาคนมาทำร้ายฉัน นั้นก็แค่เลอะเลือนเหรอคะ”
พูดจบ เธอเตรียมจะเดินไป ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ หันหน้าไปมองมู่เจิ้งซิว พูดอย่างแผ่วเบาว่า “คุณปู่ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่สงสัยมาตลอด”
มู่เจิ้งซิวขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าบูดบึ้ง อาจจะเป็นผลจากคำพูดที่เธอพูดก่อนหน้านี้ สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“ตอนนั้น ทำไมตระกูลมู่ถึงเห็นด้วยที่จะให้มู่หวั่นขีหมั้นหมายกับเฉินถิงเซียว ต่อให้เฉินถิงเซียวจะหน้าเสียโฉมจริงทั้งยังเป็นเป็นผู้ชายที่ไร้มนุษยธรรม,ก็ยังหาสามารถหาผู้หญิงที่ดีกว่ามู่หวั่นขีมาเป็นคุณหญิงน้อยได้”
ความสามารถเล็กน้อยเหล่านั้นของมู่น่อนน่อน อาจจะทำให้มู่ลี่เหยียนไขว้เขวได้ แต่เมื่ออยู่ตรงหน้ามู่เจิ้งซิว ความสามารถพวกนั้นก็ไม่มีความจำเป็นเลย
ในเมื่อมู่เจิ้งซิวสามารถไปสืบเรื่องที่เธอให้นักข่าวเข้าไปแอบถ่ายในโรงงานมาได้อย่างง่ายดาย เรื่องอื่นแน่นอนว่าก็ไม่ยากเกินความสามารถเขา
สู้ถามตรงๆไปเลยเสียดีกว่า
แสงคมกริบสว่างวาบในดวงตาของมู่เจิ้งซิว จากนั้นก็พูดด้วยเสียงเยือกว่า “นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับปู่ หลานเป็นคุณหญิงน้อยของตระกูลเฉินของตนเองให้ดีก็พอแล้ว ไม่ว่าหลานจะเกลียดพ่อและพี่สาวของหลานมากแค่ไหน พวกเขาก็ล้วนเป็นญาติของหลาน เลือดเนื้อในตัวของหลานก็เป็นของตระกูลมู่”
คำพูดแบบนี้มู่น่อนน่อนไม่ใช่ว่าได้ยินเป็นครั้งแรก
เธอเองก็ไม่ได้คาดหวังมู่เจิ้งซิวตอบคำถามของเธอ แต่วิธีการพูดแบบนี้ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา
ทันใดนั้น เธอก็พูดอย่างเยือกเย็นว่า “หัวใจคือผู้สร้างเลือด คุณทำให้ใจของฉันเปลี่ยนเป็นของตระกูลมู่ได้มั้ยล่ะคะ”
สีหน้าของมู่เจิ้งซิวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากการมองเห็นด้วยตาเปล่า มู่น่อนน่อนยิ้มพลางเดินจากไป
มู่เจิ้งซิวและเฉินถิงเซียวมีความคล้ายคลึงกันเล็กน้อย คือเป็นคนที่ชินกับการควบคุมคนอื่น
แต่ว่ามู่เจิ้งซิวแสดงออกให้เห็นภายนอกด้วยการควบคุมแบบนี้ แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่แสดงออกอะไร แต่กลับทรงพลังอย่างยิ่ง
……
ช่วงหลายวันนี้ร่วมรับประทานอาหารเป็นเพื่อนมู่เจิ้งซิว มู่น่อนน่อนเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
มู่เจิ้งซิวคาดว่าจะกลับวันมะรืนนี้ มู่น่อนน่อนไม่อยากจะอยู่ต่อแม้แต่วันเดียว พรุ่งนี้ก็อยากจะกลับไปทันทีเลย
เธอเปิดกระเป๋าเดินทางเตรียมเก็บของ ก็ได้รับสายของเฉินถิงเซียว
“เพิ่งกลับถึงโรงแรมเหรอ”
“อืม” มู่น่อนน่อนนั่งลงข้างเตียง เรื่องหลายวันนี้ สุดท้ายแล้วก็ส่งผลกระทบกับเธออยู่บ้าง
ทางด้านเฉินถิงเซียวนั้นเงียบอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเขาถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
อาจจะสัมผัสได้ว่ามู่น่อนน่อนมีอารมณ์ที่ผิดปกติ เสียงพูดของเขาเบาลงมากอย่างไม่รู้ตัว
ในใจมู่น่อนน่อนรู้สึกอบอุ่น พูดว่า “ไม่มีอะไร ก็แค่อยากกลับบ้านแล้ว”
“พรุ่งนี้ก็จะกลับแล้วเหรอ”
“อืม พรุ่งนี้”
“ผมไปรับคุณนะ”
หลังจากพูดคุยกับเฉินถิงเซียวอีกพักหนึ่ง มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองดีขึ้นมาก รีบจัดเก็บข้าวของ แล้วก็นอนหลับเลย
เช้าวันต่อมา เธอไม่ได้สนใจมู่เจิ้งซิว ออกจากโรงแรมก็ตรงไปที่สนามบินเลย
เธอรู้สึกเหนื่อยล้ากับคนและเรื่องของตระกูลมู่เหล่านั้นจริงๆ
นั่งอยู่บนเครื่องบิน มู่น่อนน่อนส่งข้อความให้เฉินถิงเซียวแล้วจึงปิดเครื่อง
คิดว่าอีกสองชั่วโมงให้หลังจะได้พบกับเฉินถิงเซียว ก้นบึ้งของหัวใจเธอก็ลิงโลด
ตอนลงจากเครื่องบิน เธอออกจากสนามบิน เปิดเครื่องก็พบว่าเฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบข้อความของเธอ แต่กลับมีสายที่ไม่ได้รับจากเสิ่นเหลียงหลายสาย
“น่อนน่อนเหรอ”
มีคนเรียกเธอที่ด้านหลัง
มู่น่อนน่อนคิดว่าตนเองฟังผิดเลยไม่ได้สนใจ จนกระทั่งมีคนมาแตะเบาๆที่ไหล่เธอ เธอหันมา ก็มองเห็นซือเฉิงหยู้
มู่น่อนน่อนตกใจเล็กน้อย “พี่ใหญ่”
เมื่อก่อนเรื่องที่งานเลี้ยงหลังจากทำความเข้าใจกันแล้ว มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้กล่าวโทษซือเฉิงหยู้แล้ว
ซือเฉิงหยู้สวมเสื้อโค้ทตัวยาวสีอ่อน ด้านในเป็นเสื้อไหมพรมคอเต่าสีขาว ผมไม่ได้จัดแต่งให้เรียบร้อย ลู่ตกลงมา ดูแล้วมีความอบอุ่นและเป็นกันเอง
สายตาของเขามองมาที่บนกระเป๋าเดินทางข้างมือของมู่น่อนน่อน “คุณจะไปไหน”
“ฉันเพิ่งกลับมาจากทำงานที่เมือง” มู่น่อนน่อนเพิ่งจะพบว่าข้างกายซือเฉิงหยู้ไม่มีผู้ช่วยและผู้จัดการส่วนตัว และก็ไม่มีกระเป๋าเดินทาง “คุณล่ะ”
“ผมไปบันทึกรายการที่นอกเมืองเพิ่งกลับมา ซื้อตัวเครื่องบินไม่ได้ชั่วคราว พวกเขานั่งไฟล์ทถัดไปกลับมา” ซือเฉิงหยู้มองไปรอบๆ “ถิงเซียวไม่ได้มารับคุณเหรอ”
“เขาอาจจะยังมาไม่ถึง ฉันต้องโทรถามเขาหน่อย”
เวลานี้เอง เสียงเตือนของข้อความจากโทรศัพท์มือถือของมู่น่อนน่อนก็ดังขึ้นมา
คือข้อความที่เฉินถิงเซียวส่งมา “มีธุระกะทันหัน ผมให้สือเย่ไปรับคุณนะ”
สีหน้าท่าทางมู่น่อนน่อนชะงักไปเล็กน้อย ส่งข้อความกลับให้เฉินถิงเซียวว่า“อืม”
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เล็กน้อยของเธดอไม่ได้หลุดรอดสายตาของซือเฉิงหยู้ “รออีกเดี๋ยวกลับไปรถต้องติดแล้ว ถ้าเฉินถิงเซียวยังไม่มา ผมขับรถไปส่งคุณก่อนได้นะ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “อย่างนั้นรบกวนพี่แล้วนะคะ”
ซือเฉิงหยู้หยิบหน้ากากอนามัยออกมาสวมใส่ ยื่นมือไปเอากระเป๋าเดินทางของมู่น่อนน่อนมา “ตามผมมา”
มู่น่อนน่อนอยากจะบอกว่าเธอถือเองก็ได้ แต่ว่าซือเฉิงหยู้เดินไปไกลมากแล้ว เธอได้แต่เดินตามไป
สัมผัสได้ว่าเด็กผู้หญิงที่เดินผ่านไปต่างก็มองไปทางซือเฉิงหยู้ เธอจึงคิดขึ้นมาได้ว่าซือเฉิงหยู้เป็นคนมีชื่อเสียง ถ้าหากถูกใครจำได้……
ดังนั้น เธอจึงชะลอฝีเท้าลง ตั้งใจทิ้งระยะห่างจากซือเฉิงหยู้ช่วงหนึ่ง
ซือเฉิงหยู้เอากระเป๋าเดินทางของมู่น่อนน่อนขึ้นบนรถ หันไปมองมู่น่อนน่อนวิ่งมาทางนี้ท่าทางลับๆล่อๆ ก็หลุดหัวเราะออกมา “คุณท่าทางลับๆล่อๆแบบนี้ ดูแล้วยิ่งน่าสงสัย”