ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 319 อยากมองคุณให้นานกว่านี้หน่อย
ตอนที่สือเย่ออกไปเพื่อจองตั๋วเครื่องบินให้กับเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวก็เหลือบมองไปทางห้องครัว จากนั้นเขาก็โทรไปหากู้จือหยั่น
“ถ้าไม่ใช่เพราะจะเลี้ยงข้าวฉัน ก็ไม่ต้องพูดอะไร” ครั้งก่อนกู้จือหยั่นได้บังเอิญเจอกับเฉินถิงเซียวที่โรงแรมจีนติ่งก็เท่านั้นเอง
เฉินถิงเซียวกลับไปดูแลบริษัทเฉินซื่อต่อ และก็ให้เขาดูแลโรงแรมจีนติ่งและบริษัทเสิ้งติ่งอยู่คนเดียว
เรื่องที่จะโยนทั้งหมดให้เขาดูแลนั้นเขาก็ไม่ว่าอะไร แต่ยังไงเขาก็มีหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทด้วย
เฉินถิงเซียวใช้งานเขาได้ถนัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนถ้ามีเวลาพวกเขาก็จะไปทานข้าวด้วยกันหรือไปดื่มด้วยกัน แต่ตอนนี้ ถ้าเขาไม่มีธุระอะไรก็ไม่มีทางติดต่อเขามาแน่นอน
กู้จือหยั่นพยายามตัดขาดความสัมพันธ์กับเฉินถิงเซียวมานับครั้งไม่ถ้วน
เฉินถิงเซียวไม่สนใจสิ่งที่กู้จือหยั่นพูดด้วยซ้ำ เมื่อก่อนกู้จือหยั่นมักจะข่มขู่เขาว่าจะไปโดนตึก
เฉินถิงเซียวพูดกับตัวเองว่า “คืนนี้ฉันจะบินไปที่เมืองM โดยเร็วที่สุดน่าจะใช้เวลาประมาณ3-4วันถึงจะกลับมา ฉันไม่ได้อยู่ในเมืองหู้หยาง ยังไงก็ช่วยฉันดูแลมู่น่อนน่อนด้วย”
กู้จือหยั่นเป็นคนเก่งแต่ปาก แต่เขาไม่กล้าวางสายของเฉินถิงเซียวอยู่ดี
เขาถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “นายไปเมืองMทำไม ไปทำงานเหรอ?”
เฉินถิงเซียวพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “มีธุระน่ะ นายช่วยฉันดูแลมู่น่อนน่อนก็พอแล้ว”
“ได้ได้ได้!” กู้จือหยั่นกลับมาถามอีกรอบ “มีอะไรร้ายแรงนักหนา ทำไมต้องให้ฉันดูแลน่อนน่อนแทนนายด้วย มีเรื่องอะไรที่ไม่ได้บอกฉันใช่ไหม?”
กู้จือหยั่นไม่ใช่คนนอก เขามีมิตรภาพที่ลึกซึ้งกับเฉินถิงเซียว ดังนั้นเฉินถิงเซียวก็ไม่อ้อมค้อมอะไร เขาบอกสิ่งที่สำคัญที่สุดกับเขา “ซือเฉิงหยู้กับฉันเป็นพี่น้องแท้ๆ ที่มีพ่อเดียวกัน”
“หือ?” ท่าทีของกู้จือหยั่นดูตื่นเต้นมาก “อะไรกันเนี่ย? ไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหม? ซือเฉิงหยู้เป็นลูกชายของป้านายนี่? เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนาย แล้วเสี่ยวฉินล่ะ?”
กู้จือหยั่นมีความคิดที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
เฉินถิงเซียวเพิกเฉยต่อคำถามของเขาโดยตรง น้ำเสียงของเขาเบาลงเล็กน้อย “ยังไงก็ต้องรบกวนนายด้วยนะ”
“ไปเถอะ ไปเถอะ ไม่ต้องทำท่าเกรงใจขนาดนั้น ฉันรู้สึกกลัว อีกอย่างนะ ต่อให้นายไม่บอกกับฉัน แค่ที่น่อนน่อนสนิทกับเสี่ยวเสิ่นของฉัน แน่นอนว่ายังไงฉันต้องดูแลเธออยู่แล้ว…”
“อืม”
เฉินถิงเซียววางสาย สายตาของเขาเหลือบไปมองรายงานระบุผลตรวจDNAที่วางอยู่บนโต๊ะอีกครั้ง เขามองไปที่นั่นอยู่นานแสนนาน เขาวางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ก่อนจะลุกขึ้นและไปที่ห้องครัว
ในครัว มู่น่อนน่อนกำลังหั่นพริกหยวกอยู่พอดี
เฉินถิงเซียวเป็นคนชอบทานรสจัด ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่ค่อยได้ทำอาหารให้บ่อยนัก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีโอกาสได้ทำอาหารให้เขา ดังนั้นเธอจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ถูกปากเขา
ฝีเท้าของเฉินถิงเซียวเบามาก เขาพิงประตูและมองดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่ามู่น่อนน่อนหั่นพริกหยวกเสร็จแล้ว เขาก็เดินไปหยิบจานก่อนจะยื่นให้กับเธอ
มู่น่อนน่อนกำลังจะหันหลังไปหยิบจานมา เธอก็เห็นว่ามีคนกำลังยื่นจานให้เธอ
เธอหยิบจานแล้วหันไปมองเฉินถิงเซียว “คุณเข้ามาทำไม?”
“หิวแล้ว” เฉินถิงเซียวพูดเบาๆ
แต่สายตาของเขาจับจ้องไปที่รูปร่างของมู่น่อนน่อน
“หิวแล้ว จะมองมาที่ฉันทำไม ไปที่โต๊ะอาหารสิ ใกล้จะเสร็จแล้ว” มู่น่อนน่อนพูดในขณะที่ใช้ศอกดันเขาไปด้วย เธอต้องการผลักเขาออกไปข้างนอก
เฉินถิงเซียวไม่ขยับ เขาเอื้อมมือไปกดไหล่เธอไว้ แล้วพูดอย่างราบเรียบว่า “ผมอยากมองคุณให้นานกว่านี้หน่อย”
มู่น่อนน่อนชะงักไป จู่ๆ ชายคนนี้ก็พูดอย่างตรงไปตรงมา มันทำให้เธอรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวยังไม่ไปไหน มันทำให้มู่น่อนน่อนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“คุณพาสือเย่ไปที่เมืองMด้วยสิ เขาทำงานกับคุณมาหลายปีแล้ว เขาจัดการทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
และที่ต่างประเทศก็คงจะไม่ต่างจากเมืองหู้หยาง…” อันที่จริงตอนที่อยู่ในห้องรับแขก เธอก็อยากจะพูดเรื่องพวกนี้
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ และแอบแฝงไปด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “คุณกำลังดูถูกฉัน หรือสือเย่กันแน่?”
มู่น่อนน่อนไม่อยากจะพูดคุยกับผู้ชายที่เย่อหยิ่งและมั่นใจคนนี้อีกแล้ว
ตั๋วเครื่องบินที่สือเย่จองให้เฉินถิงเซียวเป็นตอนกลางคืนคือ 6 โมงเย็น
เฉินถิงเซียวเดินทางไปสนามบินตอน 4 โมงเย็น
เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย มู่น่อนน่อนเลยไม่ได้ไปส่งเขา
หลังจากเฉินถิงเซียวจากไป มู่น่อนน่อนก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในกองละครกับในบ้าน
ถ้าเธอมีเวลาเธอก็จะไปที่กองละคร นอกจากนั้นเธอก็จะเอาเวลามาวิจัยเกี่ยวกับบทละครเรื่องใหม่
……
ตอนที่เฉินถิงเซียวไปถึงเมืองM ก็เป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว
ตอนที่เขาไปที่บ้านของเฉินเหลียนพร้อมสัมภาระ เฉินเหลียนกำลังมองดูช่างฝีมือที่กำลังซ่อมแซมสวนของบ้านที่เพิ่งจ้างใหม่อยู่
เฉินถิงเซียวเดินเข้าไปพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง เขาก็ตะโกนเรียกด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “คุณป้าครับ”
เมื่อเฉินเหลียนได้ยินเสียง ตอนที่เธอหันไปมองเฉินถิงเซียว เธอก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะได้สติกลับมา “ถิงเซียว? ทำไมจู่ๆ ถึงมาที่นี่ล่ะ?”
แม้ว่าเธอจะพยายามแสดงท่าทีให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว แต่เฉินถิงเซียวก็ยังคงรับรู้ได้ว่าเธอนั้นรู้สึกตื่นตระหนก
เฉินเหลียนและแม่ของเขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตั้งแต่เด็ก และทั้งสองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
คนสองคนที่สามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ คงต้องมีอะไรที่เหมือนกัน
แม้ว่าเขาจะรู้มาจากปากของมู่เจิ้งซิวว่า เคยเห็นเฉินเหลียนในตอนที่เกิดเหตุการณ์ลักพาตัว เฉินถิงเซียวรู้สึกไม่ชอบเฉินเหลียนเพียงเล็กน้อย แต่เขาไม่คิดว่าเฉินเหลียนจะทำอะไรแบบนั้น
เฉินเหลียนเป็นเด็กดีมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเธอก็เป็นที่รักของคุณท่านเฉิน เธอเป็นคนไม่ได้คิดอะไรมาก ดังนั้นไม่น่าจะทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นได้ลงคอ
นอกจากนี้ ก็ยังไม่มีแรงจูงใจอะไรด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเธอจะไม่มีแรงจูงใจให้ทำ แต่เธอก็น่าจะรู้อะไรบางอย่าง
เฉินถิงเซียววางกระเป๋าในมือของเขา จากนั้นเขาก็รีบเดินไปหาเฉินเหลียน ดวงตากลมลึกคู่หนึ่งเปล่งประกายไปด้วยแสงสว่าง เหมือนเขาต้องการรู้ทุกอย่างจากเฉินเหลียน “คุณป้าคิดว่า ที่ผมมาหาคุณป้าที่นี่ เพราะเรื่องอะไร?”
หลังจากที่แม่ของเขาเสียชีวิต เฉินถิงเซียวก็มาอาศัยอยู่กับเฉินเหลียนตั้งแต่นั้นมา แต่เฉินเหลียนก็ไม่ได้มองว่าเขาเป็นเด็กคนหนึ่ง
ไม่มีเด็ก 10 กว่าขวบคนไหน ที่มีความคิดที่ลึกซึ้งแบบเฉินถิงเซียว
ตั้งแต่นั้นมา เฉินเหลียนรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจเด็กคนนี้เลย
สีหน้าของเฉินเหลียนแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง แล้วเธอก็พูดว่า “ถ้าแกไม่พูด ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าแกมาหาฉันเพราะเรื่องอะไร แกมาจากเมืองหู้หยางใช่ไหม? นั่งเครื่องบินมานานขนาดนั้น คงจะเหนื่อยแย่เลย ไปพักผ่อนก่อนเถอะ ห้องของแกฉันเก็บไว้เสมอ”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็หันกลับไปและบอกคนใช้ว่า “ช่วยถิงเซียวยกสัมภาระขึ้นไป และพาเขาไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน”
ทันใดนั้น ก็มีคนใช้คนหนึ่งเดินเข้าไปช่วยเฉินถิงเซียวถือสัมภาระทันที “คุณชาย เชิญทางนี้”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองเฉินเหลียนด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง ก่อนที่เขาจะหันหลังและเดินตามคนรับใช้เข้าไปในห้อง
คนใช้พาเฉินถิงเซียวไปที่ห้องก่อนจะออกไป เฉินถิงเซียวปิดประตู เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อเตรียมโทรหามู่น่อนน่อน เมื่อเขามองดูเวลา เขาพบว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว
เวลาที่เมืองMและในประเทศแตกต่างกัน ในประเทศตอนนี้จะเป็นเวลาช่วงกลางคืนแล้ว ซึ่งเวลานี้มู่น่อนน่อนน่าจะหลับไปแล้ว
เฉินถิงเซียวก็เลยไม่ได้โทรหามู่น่อนน่อน แต่เขาส่งข้อความไปว่า “ถึงแล้ว”
หลังจากส่งข้อความ เขาก็วางโทรศัพท์ลง จากนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นแจ้งเตือนเขาว่ามีข้อความใหม่
เป็นข้อความของมู่น่อนน่อนที่ตอบกลับมาว่า “คุณเพิ่งถึงเหรอ? ทานข้าวหรือยัง? ได้เจอคุณป้าของคุณไหม? คุณจะพูดกับเธอยังไง?”