ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 323 ให้น้ำหนักกับความรู้สึกมากเกินไป
ปล่อยให้เฉินถิงเซียวโกรธจนใกล้จะปะทุควันออกหูอยู่แล้ว เฉินถิงเซียวก็ยังคงแสดงท่าทางตามสบายสงบ “แต่ว่าตอนนี้ผมไม่รู้สึกว่าบริษัทเฉิงซื่อมีประโยชน์กับผมเลย”
เฉินชิงเฟิงส่งเสียงงึมงำอย่างเย็นชาใส่ “ที่แกใช้แกกินอยู่ทุกอย่าง และชื่อเสียงของแก สิ่งไหนที่ไม่ใช่ตระกูลเฉินหยิบยื่นให้แกกัน!”
“ผมไม่อยากได้พวกนี้ แม้ว่าจะไม่มีตระกูลเฉิน ผมก็คือเฉินถิงเซียวคนเดิม ส่วนคุณล่ะ? ไม่มีตระกูลเฉิน คุณเป็นใครกันแน่?” คำพูดของเฉินถิงเซียวพูดตรงจี้ใจดำ ราวกับต้องการแหกหน้าของเฉินชิงเฟิง
“แกคิดว่าปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม?” เฉินชิงเฟิงพูดจบ ก็แสยะยิ้มกลับเล็กน้อย “แกลองลงมือกับบริษัทเฉินซื่อดูไหมล่ะ”
บรรยากาศในห้องอาหารเปลี่ยนเป็นความตึงเครียดขึ้นมาทันที
ทั้งสองคนสบตากัน ผ่านไปสักพัก จนเฉินถิงเซียวพูดประโยคหนึ่งออกมาจากไรฟันด้วยอารมณ์โมโห “ลูกสาวผมอยู่ที่ไหน?”
“ลูกสาวแกอยู่ที่ไหนฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน? เธอถูกแกซ่อนเอาไว้ไม่ใช่เหรอ?” อาการแสยะยิ้มเฉินชิงเฟิงปรากฏอยู่บนใบหน้า ทว่ารอยยิ้มเช่นนั้นไม่แสดงความหมายเป็นนัยที่อยู่ซ่อนลึกอยู่ในดวงตา
มือที่วางอยู่ใต้โต๊ะของเฉินถิงเซียวกำหมัดเอาไว้แน่น หัวคิ้วพลันปรากฏกลิ่นอายของการดูหมิ่นเล็กน้อยออกมา
ในความทรงจำของเฉินชิงเฟิงนั้น เฉินถิงเซียวในวัยเด็กความจริงแล้วมีแต่คนชอบ แต่หลังจากที่มารดาเสียชีวิตไปแล้ว สองคนพ่อลูกก็ยิ่งห่างเหินกันขึ้นเรื่อย ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายปีนี้ ออร่าบนตัวของเฉินถิงเซียวยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลูกชายแท้ๆ ของตนเอง เวลาส่วนใหญ่เขากลับมองเขาไม่ออกแถมยากแก่การคาดเดาใจได้
ด้วยเหตุปัจจัยเช่นนี้ บางครั้งเฉินชิงเฟิงก็เริ่มกลัวเฉินถิงเซียวเล็กน้อย
แต่ว่าข้อบกพร่องถึงขั้นที่ทำให้เอาชีวิตของเฉินถิงเซียวได้ นั่นก็คือการให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากเกินไป
เขาแค่จับจุดข้อบกพร่องของเฉินถิงเซียวเรื่องนี้เอาไว้ได้ งั้นก็สามารถควบคุมเฉินถิงเซียวให้อยู่ในกำมือได้แล้ว
เฉินชิงเฟิงถึงมาถึงเรื่องนี้ ความรู้สึกที่แสดงออกมาทางสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นลึกซึ้งทันที “หลานสาวของฉันต้องเป็นเจ้าตัวเล็กที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู มีเวลา ก็พากลับมาที่บ้านเก่าให้ฉันดูหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นสายเลือดของตระกูลเฉิน ความบาดหมางระหว่างเรา ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลย”
พูดจบ เขาก็จ้องมองเฉินถิงเซียวอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและจากไป
คนรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกห้องอาหาร เมื่อเห็นเฉินชิงเฟิงที่เดินออกมาแล้ว ก็เรียกเพื่อแสดงความเคารพ “คุณเฉิน”
วินาที่ต่อมา ในห้องอาหารก็เกิดเสียงจานชามของกระทบกับพื้นจะมีเสียงแตกละเอียดดังลั่นอยู่สักพัก
เสียงนั้นดังลั่นจนแสบแก้วหู
คนรับใช้เดินเข้ามาอย่างตื่นตระหนกทันที ก็เห็นว่าเฉินถิงเซียวก้มหน้าอยู่ พลางงอตัวลง และมือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นอยู่บนโต๊ะอาหาร อีกทั้งรัศมีความรุนแรงแผ่ออกมาบนตัว
บนพื้นมีเศษอาหารเลอะเทอะไปทั่ว มีทั้งอาหารที่ยังกินไม่หมดรวมถึงเศษจานชามที่แตกละเอียด มองแวบเดียวก็รู้ว่าเฉินถิงเซียวนั้นกวาดทุกอย่างลงมาอยู่ที่พื้น
คนรับใช้เดินนำหน้าขึ้นมาอย่างระแวดระวัง และไม่กล้ามาจะถามอะไรมาก “คุณชายเฉินคะ เดี๋ยวฉันขอจัดการเก็บกวาดที่นี่สักหน่อยค่ะ…”
เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจเธอเลยด้วยซ้ำ
คนรับใช้มองออกว่าเฉินถิงเซียวไม่มีกระจิตกระใจที่จะสนใจเธอเลยด้วยซ้ำ จึงตัดสินใจเองในการเรียกคนรับใช้อีกสองคนที่เข้ามาทำความสะอาดในห้องอาหารทันที
เฉินถิงเซียวก้มศีรษะลง นัยน์ตาแสดงอาการกระหายเลือดและโหดเหี้ยม
คำพูดของเฉินชิงเฟิงที่เพิ่งพูดออกมานั้น ดูผิวเผินแม้ว่าจะปฏิเสธว่าเขาได้ให้คนไปลักพาตัวเฉินมู่ไป ทว่าประโยคสุดท้ายนั่นก็เป็นชัดเจนแล้วว่ามันเป็นการข่มขู่เขาอยู่
คำพูดคำจาของเฉินชิงเฟิงก็เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ถ้าพวกเขาสองคนอยู่รอดปลอดภัยโดยไม่มีอันตรายใดๆ เฉินมู่ก็จะไม่เป็นไรด้วย
ในทางกลับกัน เขาจะปฏิบัติตัวอย่างไรกับเฉินมู่ เรื่องนี้ก็ยากที่จะพูดได้
ท่าทางเด็ดขาดมั่นใจว่าสามารถเอาอยู่ได้ นั่นก็เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนที่สุดแล้ว
ว่าเฉินมู่ถูกเฉินชิงเฟิงให้คนมาลักพาตัวไป จุดประสงค์ของเขาก็คือต้องการใช้เฉินมู่มาข่มขู่เฉินถิงเซียว
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉินชิงเฟิงจะเหินห่างเย็นชาใส่กันมากก็ตาม แต่ก็ไม่เคยยุ่มย่ามเรื่องของอีกฝ่าย
เขากลับไม่คิดเลยว่า เฉินชิงเฟิงจะสนใจในตัวของเฉินมู่ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
เฉินชิงเฟิงสามารถลงมือทำเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เฉินถิงเซียวก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมในเรื่องที่ซ่อนเร้นที่เกิดขึ้นกับมารดาในเวลานั้น
ส่วนเรื่องคุณท่านเฉินเอง ก็ต้องมีอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอน
แต่พอเรื่องที่มันเกินขึ้นตามกันมา
เฉินถิงเซียวรู้สึกว่า คำว่า “สุดวิสัย” มีความเป็นไปได้มากกว่ามีต้นตอมาจากคดีลักพาตัวในปีนั้นอย่างแน่นอน
……
ซึ่งไม่รู้ว่าซือเฉิงหยู้กับเฉินเจียฉินไปเกลี้ยกล่อมเฉินเหลียนให้เปลี่ยนใจยังไง คืนนั้น เฉินเหลียนตัดสินใจว่าจะเดินทางกลับไปยังเมืองหู้หยางกับพวกเขาในเช้าวันรุ่งขึ้น
แต่ว่า เฉินถิงเซียวไม่สนใจสาเหตุในนั้นเลย
เขากับสือเย่ขึ้นเครื่องบินกลางดึกในคืนวันนั้น และเดินทางล่วงหน้ากลับมาเมืองหู้หยางทันที
เฉินถิงเซียวกลับมาถึงเมืองหู้หยาง ก็มุ่งหน้าไปหามู่น่อนน่อนทันที
ทว่า เขาไปยังที่พักของมู่น่อนน่อนแต่กลับว่างเปล่า
มู่น่อนน่อนไม่อยู่บ้าน เขาได้แต่โทรศัพท์ไปหาเธอ
เมื่อมีการกดรับสาย เขาก็ถามทันที “อยู่ที่ไหน?”
ระยะนี้มู่น่อนน่อนค่อนข้างยุ่งมาก เวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ที่กองถ่ายละคร บ้างก็ไปเที่ยวดูลาดเลากองถ่ายอื่นกับฉินสุ่ยซาน
ตอนที่เฉินถิงเซียวโทรศัพท์มาหาเธอนั้น เธอกับฉินสุ่ยซานเพิ่งกลับจากการไปดูลาดเลาของกองถ่ายอื่นมาและเพิ่งจะกลับมาถึงกองถ่าย 《เมืองพัง》
มู่น่อนนอนได้ยินในสิ่งที่เขาพูด พลันถามกลับอย่างตกใจ “คุณกลับมาแล้วเหรอ!”
น้ำเสียงของเธอนั้นแม้เพียงอาการยินดีเล็กน้อยก็ไม่สามารถเล็ดลอดไปจากหูของเฉินถิงเซียวได้ อาการคิ้วผูกโบเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง พลันมีอาการยิ้มปรากฏออกมาเล็กน้อย “อยู่ที่ไหนเหรอ เดี๋ยวผมไปหาคุณ”
มู่น่อนน่อนสำรวจบริเวณโดยรอบ จากนั้นก็วิ่งไปยังมุมตึกเพื่อพูดต่อ “ฉันอยู่ที่กองถ่าย เดี๋ยวฉันกลับไปหาคุณแล้วกันนะ”
เฉินถิงเซียวเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ในสตูดิโอ ซิตี้มีสายตาสอดส่องมากมาย การที่เฉิงถิงเซียวมามันดูไม่สะดวกเลย
แต่เฉินถิงเซียวก็มองผ่านข้อเสนอของเธอไปอย่างดื้อๆ พลันตัดสินใจเองทันที “รอผมนะ”
“คุณจะมาที่นี่มันไม่…. ฮัลโหล?” มู่น่อนน่อนพลันยกโทรศัพท์ประจันหน้า เลยรู้ว่าเฉินถิงเซียววางสายไปแล้ว
อีกด้านหน้า เฉินถิงเซียวกดวางสายแล้ว ก็ออกคำสั่งกับสือเย่ทันที “ไปสตูดิโอ ซิตี้”
สือเย่กลับรถเปลี่ยนทางทันที พลันบึ่งรถมุ่งหน้าไปยังสตูดิโอ ซิตี้
……
เมื่อมาถึงสตูดิโอ ซิตี้ เฉินถิงเซียวก็ให้สือเย่กลับไปก่อน
เพราะว่ามู่น่อนน่อนน่าจะขับรถมาเอง ตอนกลับไปเขาก็จะอาศัยนั่งรถของมู่น่อนน่อนไปได้ก็ได้แล้ว
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามู่น่อนน่อนอยู่ที่ไหน รู้แค่ว่ารอเธออยู่แถวๆ ทางเข้าของสตูดิโอ ซิตี้เท่านั้นเอง
เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ข้างทางบนฟุตบาท พลันกดส่งข้อความให้กับมู่น่อนน่อน “ผมถึงแล้ว อยู่ตรงประตูทางเข้า”
เมื่อมู่น่อนน่อนได้รับข้อความแล้ว ก็วิ่งออกมาทันที
ฉินสุ่ยซานเห็นภาพแล้ว ถึงกับถามเธอทันที “น่อนน่อน วันนี้แกกลับเร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?”
มู่น่อนน่อนทั้งวิ่งออกไปด้านนอก และหันศีรษะกลับมาพูดกับเธอ “มีธุระนิดหน่อย ขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะ”
“ได้ งั้นแกไปเถอะ”
“บายล่ะ”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนออกมาแล้ว ก็มองสำรวจโดยรอบ ก็ไม่เห็นเฉินถิงเซียว
จู่ ๆ ก็มีผู้ชายที่ใส่เสื้อสเวตเตอร์สีเขียวแขนสั้นมุ่งหน้ามาทางเธอ
ชายหนุ่มใส่หมวกแก๊ปสีดำ ตรงปีกหมวดนั้นต่ำจนปิดบังใบหน้าเอาไว้มาก ท่อนล่างใส่กางเกงลำลองสีดำ การแต่งการของทั้งตัวดูเหมือนว่าสบายสุดๆ เลย
แม้ว่าจะมองหน้าไม่ชัด แต่ก็สัมผัสได้ถึงรัศมีอันเฉียบคมที่แผ่ออกมาจากร่างกายของชายคนนั้นได้
มันช่างคุ้นๆ อยู่เล็กน้อย….
จนเมื่อผู้ชายคนนั้นเดินมาอยู่ตรงด้านหน้าของเธอ มู่น่อนน่อนถึงไม่กล้าจะเชื่อกับสายตาตนเองถึงกลับเบิกตาโตใส่ “เฉิน…เฉิน…”
เธอตกใจอยู่นานถึงขั้นเรียกชื่อเขาไม่ออก
เฉินถิงเซียวดึงหมวดขึ้น พลางเลิกคิ้วให้เธอ น้ำเสียงดูรังเกียจอย่างไม่มีอาการปิดบัง “ผมไปต่างประเทศแค่ 7-8 วันเอง คุณก็พูดติดอ่างไปแล้วเหรอเนี่ย?”