ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 332 ตราบใดที่คุณไม่เป็นไร ผมก็ไม่เป็นไร
เฉินถิงเซียวเอาแก้วน้ำในมือยัดใส่มือของมู่น่อนน่อน “พวกเขาไม่จำเป็นต้องมั่นใจว่าคุณได้ยินความลับของพวกเขาจริงหรือไม่ ตราบใดที่รู้สึกว่ามีคนคุกคามพวกเขา พวกเขาก็จะทำทุกทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย”
มือของมู่น่อนน่อนเย็นมาก
เฉินถิงเซียวเอามือของเธอมากุมไว้ “กลัวเหรอ”
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่จู่ๆ ก็ถามด้วยเสียงที่สะอื้นเล็กน้อยว่า “จะเกิดเรื่องกับเฉินมู่หรือเปล่า”
พวกเฉินชิงเฟิงทำทุกทางเพื่อบรรลุเป้าหมายแบบนี้ มู่น่อนน่อนไม่กล้าคาดหวังให้พวกเขามีความสงสารต่อเด็ก
เฉินถิงเซียวรีบบอกเธออย่างเฉียบขาดว่า “ไม่หรอก พวกเขาต้องการให้ผมถวายชีวิตเพื่อตระกูลเฉิน จึงจะไม่มีทางลงมือกับเฉินมู่”
เมื่อมู่น่อนน่อนได้ยิน สีหน้าก็ดีขึ้นเล็กน้อย ก้มหน้าลงไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
เฉินถิงเซียวเองก็ไม่พูด แค่จับมือเธอไว้เงียบๆ
ผ่านไปสักพักหนึ่ง มู่น่อนน่อนถึงได้ส่งเสียงออกมาว่า “ฉันไม่เข้าใจเลย พวกเขาต้องการซ่อนอะไรกันแน่ ถึงได้ทำเรี่องมากมายขนาดนี้!”
เฉินถิงเซียวถามเธอว่า “ยังจำเรื่องก่อนที่คุณปู่จะเกิดเรื่องได้ไหม ที่ให้คุณช่วยมาบอกแทนเขาว่าให้ผมไปหาเขาน่ะ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “จำได้”
“ตอนนั้นคุณปู่บอกว่า ตราบใดที่หลังปีใหม่ผมไปอาศัยอยู่ที่บ้านเก่า เขาจะบอกผมทุกอย่างที่ผมอยากรู้” แววตาของเฉินถิงเซียวเปลี่ยนเป็นรุนแรงผิดปกติ “รวมถึงความจริงเกี่ยวกับคดีลักพาตัวเมื่อปีนั้นด้วย”
ตลอดมาเฉินถิงเซียวไม่เคยบอกมู่น่อนน่อนเรื่องนี้
สาเหตุหลักเป็นเพราะ เขาไม่อยากให้มู่น่อนน่อนรู้เรื่องของตระกูลเฉินมากเกินไป มันจะเป็นการทำร้ายเธอ
สมองของมู่น่อนน่อนประมวลผลอย่างรวดเร็ว
“เพราะฉะนั้น พวกคุณพ่อของคุณคือกำลังปกปิดความจริงในเรื่องตอนนั้นเหรอ พยายามฆ่าปิดปากทุกคนที่อาจจะรู้ความจริงงั้นเหรอ”
เมื่อมู่น่อนน่อนพูดถึงตรงนี้ก็นิ่งไป คิ้วสวยขมวดมุ่น “พวกเขาคิดว่าฉันแอบได้ยินที่พวกเขาคุยกัน คุณปู่ต้องการบอกความจริงกับคุณ ฉะนั้นฉันกับคุณปู่จึงล้วนแต่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้”
เฉินถิงเซียวตอบเธอด้วยความเงียบ
ความเงียบเท่ากับการยืนยัน
ผ่านไปนาน กว่ามู่น่อนน่อนจะพูดออกมาเงียบๆ ว่า “วันปีใหม่ฉันเห็นคุณป้าคุณกับคุณพ่อคุณเข้าห้องไปด้วยกัน ถ้าพวกเขาต้องการซ่อนความจริงเกี่ยวกับคดีลักพาตัวในปีนั้น นี่ไม่ใช่ว่าสามารถอธิบายได้หรอกเหรอว่าพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกัน คุณป้าของคุณก็มีส่วนร่วมในคดีตอนนั้นด้วย?”
เฉินถิงเซียวเหมือนจะเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขายกมือขึ้นกดๆ ตรงระหว่างคิ้ว และหลับตาลงเอนตัวพิงโซฟา น้ำเสียงกดต่ำและเย็นชา “คุณปู่ของคุณเคยบอกว่า ได้เห็นป้าของผมในที่เกิดเหตุ”
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก “ยังมีเรื่องอีกเท่าไรกันแน่ที่คุณปิดบังฉัน”
แต่เธอก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาใส่ใจเรื่องนี้
“เพราะคุณปู่ของฉันเห็นคุณป้าของคุณ เพราะงั้นถึงได้ถูกคุณพ่อของคุณพาไปอยู่ ‘บ้านพักคนชรา’ ที่ต่างประเทศ แบบนี้ทุกอย่างก็ลงล็อก”
มู่น่อนน่อนเสนอว่า “หรือไม่งั้นเอาแบบนี้ เราไปหาคุณปู่ฉันเพื่อถามในเรื่องนี้กัน”
ทว่า เฉินถิงเซียวปฏิเสธข้อเสนอของเธอ “ไม่ต้องหรอก”
“แต่…”
มู่น่อนน่อนยังอยากพูดอะไรอีก แต่เฉินถิงเซียวขัดจังหวะคำพูดของเธอเสียก่อน “เวลานี้มันดึกแล้ว เตรียมเข้านอนเถอะ”
มู่น่อนน่อนมองออกว่าเฉินถิงเซียวไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก จึงไม่พูดแล้ว
เพราะถึงอย่างไรสมัยก่อนเฉินถิงเซียวก็เป็นคนที่ค่อนข้างสนิทกับเฉินเหลียน และแม่ของเฉินถิงเซียวยังเป็นเพื่อนสนิทของเฉินเหลียนด้วย ถ้าคดีลักพาตัวในตอนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเฉินเหลียนจริง งั้น…
แต่ทำไมพวกเขาต้องทำแบบนั้นกับเฉินถิงเซียวและแม่ของเขาล่ะ
จะว่าไปแล้วสำหรับแม่ของเฉินถิงเซียวนั้น คนหนึ่งคือสามีใกล้ชิดของเธอ อีกคนคือเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ
สองคนนี้จะร่วมมือกันทำร้ายเธอจริงเหรอ
เฉินถิงเซียวลุกขึ้น เห็นมู่น่อนน่อนยังคงนั่งอยู่บนโซฟา เขาจึงเอื้อมมือไปดึงเธอขึ้น เป็นการกระทำที่ไม่อ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย
มู่น่อนน่อนร้องตกใจ เฉินถิงเซียวยื่นมือไปแนบริมฝีปากของเธอ ส่งสัญญาณไม่ให้เธอพูด
สีหน้าของเขาจริงจังและเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยมี “มู่น่อนน่อน เรื่องนี้คุณไม่ต้องยุ่งอีก ห้ามไปหาคุณปู่ และห้ามไปถามข้อมูลจากทางอื่น และยิ่งไปหาเฉินเหลียนหรือเฉินชิงเฟิงไม่ได้ทั้งนั้น”
มู่น่อนน่อนแน่นอนว่าไม่เห็นด้วย
แต่สีหน้าของเฉินถิงเซียวน่าหวาดหวั่นเกินไป มู่น่อนน่อนอดกลั้นไว้อยู่นาน ก่อนจะได้แค่เค้นออกมาหนึ่งประโยค
“คุณไม่มีเหตุผลเลย”
เฉินถิงเซียวพูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบว่า “งั้นตอนนี้ผมจะให้เหตุผลกับคุณ ตราบใดที่คุณไม่เป็นอะไร ผมก็ไม่เป็นอะไร ถ้าคุณเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เช่นนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตของผมด้วย”
ในน้ำเสียงของเขาไม่มีความแปรปรวนเป็นพิเศษ แต่ทุกถ้อยคำผ่านเข้าหูของเธออย่างชัดเจน ตีเข้าที่แก้วหูของเธอ ทำให้เธอไม่ตอบสนองเป็นเวลานาน
เฉินถิงเซียวเห็นว่าผ่านไปนานแล้วเธอก็ไม่ตอบสนอง จึงเลิกคิ้วถามว่า “ได้ยินที่ผมพูดชัดไหม”
มู่น่อนน่อนสีหน้าเลื่อนลอยเล็กน้อย หยั่งเชิงถามว่า “ได้ยินชัดแล้ว แต่ไม่เข้าใจความหมาย คุณอยากพูดอีกรอบไหม”
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยินก็หรี่ตามองเล็กน้อย “คุณอยากฟังอีกเหรอ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า
เฉินถิงเซียวกระตุกยิ้ม มู่น่อนน่อนคิดว่าเขายังจะพูดอีกรอบจริงๆ จึงเงี่ยหูฟังอีกรอบ
ผลที่ได้ วินาทีต่อมา เฉินถิงเซียวอุ้มเธอขึ้น ตรงไปยังห้องน้ำ
มู่น่อนน่อนโวยวายอยู่ในอ้อมแขนของเขา “คุณบอกว่าจะพูดอีกรอบไม่ใช่เหรอ”
“ผมไม่เคยบอก” เฉินถิงเซียวตอบด้วยน้ำเสียงบางเบา
มู่น่อนน่อนทุบหน้าอกเขาสองครั้งด้วยความไม่พอใจ “แล้วทำไมคุณถึงถามฉันว่าอยากฟังเหรอ”
“แค่ถามเอง”
“……….”
…….
เพราะเมื่อคืนคุยกับเฉินถิงเซียวนานเกินไป เข้าวันรุ่งขึ้นขณะที่เฉินถิงเซียวไปบริษัท มู่น่อนน่อนจึงยังไม่ตื่น
กระทั่งเมื่อเธอตื่น ก็สายจนตะวันโด่งแล้ว
เธอแผ่หลาบนเตียงสักพัก
ความลับที่เฉินชิงเฟิงกับเฉินเหลียนต้องการปกปิดมาโดยตลอด คือความจริงเกี่ยวกับคดีลักพาตัวของเฉินถิงเซียวกับแม่ของเขา
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดสักพัก ทันใดนั้นก็เกิดความคิดบางอย่างแวบเข้ามา ตอนนี้เฉินถิงเซียวไม่ควรสืบแค่วิธีการวางแผนลักพาตัว ที่เฉินถิงเซียวต้องสืบควรเป็นที่ว่าเหตุใดพวกเขาถึงวางแผนลักพาตัว เพราะอะไรต้องลงมือกับเขาและแม่ของเขา
ความจริงที่พวกเขาต้องการปกปิดอาจไม่ใช่แค่การลักพาตัว แต่เป็นเหตุผลที่พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันวางแผนลักพาตัวต่างหาก
มู่น่อนน่อนคิดมาถึงตรงนี้ ก็รีบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวรับสายเร็วมาก “ตื่นแล้วเหรอ”
มู่น่อนน่อนรีบพูดอย่างร้อนใจว่า “เฉินถิงเซียว ฉันเพิ่งคิดทบทวนดูอีกครั้ง ฉันคิดว่าตอนนี้ที่สำคัญกว่าก็คือ หาสาเหตุที่พวกเขาวางแผนลักพาตัวในตอนนั้น พวกเขาเป็นคนที่ใกล้ชิดกับคุณและแม่ของคุณ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเปลี่ยนเป็นใจคอโหดเหี้ยมได้ แน่นอนว่าต้องปกปิดความลับอะไรไว้ ฉันสงสัยว่าที่พวกเขาทำกับคุณปู่ จะเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่ทำกับคุณและคุณแม่ของคุณ!”
เมื่อเฉินถิงเซียวได้ยินคำพูดของมู่น่อนน่อน ก็ไม่มีเสียงไปเป็นเวลานาน
จนมู่น่อนน่อนต้องเรียกเขา “เฉินถิงเซียว คุณฟังที่ฉันพูดอยู่รึเปล่า”
“ฟังอยู่” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวกดต่ำเล็กน้อย
เขาไม่ได้เป็นคนที่แสดงอารมณ์ แต่คนที่รู้จักเขาสามารถดูออกว่าการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ในน้ำเสียงของเขาได้