ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 338 เดินเลี่ยง
มู่น่อนน่อนสงสัยอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับไปหาฉินสุ่ยซาน
ขณะนี้กำลังเป็นเวลาอาหารเย็น ห้องอาหารจึงเต็มไปด้วยผู้คน
มู่น่อนน่อนกลับมาถึงโต๊ะแล้วนั่งลง หันหน้ากลับไปมองผ่านฝูงชนยังทิศทางของห้องอาหารวีไอพีที่เฉินถิงเซียวเข้าไป
ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวบอกว่าทานข้าวอยู่ข้างนอก เธอยังคิดว่าเขาอยู่กับกู้จือหยั่น ที่แท้ก็เพิ่งมา
แต่ถ้าเฉินถิงเซียวนัดทานข้าวกับกู้จือหยั่น แน่นอนว่ากู้จือหยั่นจะต้องมาถึงก่อนเวลา
ถ้าอย่างนั้น ที่เฉินถิงเซียวนัดคือใคร
ผ่านไปไม่นานนัก เมื่อคนคุ้นเคยคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องอาหาร สายตามู่น่อนน่อนมองตามเขา เห็นว่าสถานที่ที่เขาไปคือทิศทางของห้องอาหารวีไอพีที่เฉินถิงเซียวเพิ่งเข้าไป จึงอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าประหลาดใจ
พื้นที่ห้องโถงกับห้องอาหารนั้นแยกออกจากกัน บริเวณห้องอาหารวีไอพีจะเงียบกว่า
“เหมือนคุณจะค่อนข้างเหม่อตลอดเลยนะ คุณกำลังมองอะไรอยู่” ฉินสุ่ยซานที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอหันหน้ามองตามสายตาของเธอไป และได้เห็นว่าเฉินชิงเฟิงเข้าไปในห้องอาหารวีไอพีห้องหนึ่งพอดี
ฉินสุ่ยซานสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาฉับพลัน แต่ก็ยังกระซิบอย่างระมัดระวังมากว่า “นั่นมันเฉินชิงเฟิงไม่ใช่เหรอ พ่อสามีเก่าของคุณน่ะ!”
“ใช่ค่ะ” มู่น่อนน่อนส่งเสียงตอบ ความคิดล่องลอยไปไกลแล้ว
เฉินถิงเซียวนัดทานข้าวกับเฉินชิงเฟิงงั้นเหรอ
ทั้งสองคนในตอนนี้ความสัมพันธ์ไม่ลงรอยกันเหมือนน้ำกับไฟ ทำไมเวลานี้ถึงนัดออกมาทานข้าวกันตามลำพังได้
หรือว่า “ข่าวลือ” นั่นเฉินถิงเซียวให้คนปล่อยออกมาจริง ฉะนั้นเฉินชิงเฟิงจึงต้องมาเจรจากับเฉินถิงเซียว?
“คุณรู้ไหม ตอนนี้ฉันอยากแจ้งกับนักข่าวเป็นพิเศษเลย” ฉินสุ่ยซานพูดจบแล้วส่ายหน้า “ต่อให้ฉันแจ้งนักข่าวไป เป็นไปได้ว่าอาจจะไม่มีนักข่าวกล้ามาสัมภาษณ์พ่อสามีเก่าคุณหรอก”
“พ่อของสามีเก่าอะไร คุณอย่าพูดเหลวไหล” สาเหตุหลักเลยคือฟังแล้วค่อนข้างรู้สึกแปลกๆ
ฉินสุ่ยซานเงียบ มองไปยังมู่น่อนน่อนด้วยตาไม่กะพริบ
“อะไรล่ะ” มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง “ถ้าคุณชอบเรียกแบบนี้จริงๆ ก็ไม่มีปัญหา……”
ทันใดนั้นฉินสุ่ยซานก็พูดเนือยๆ ออกมาหนึ่งประโยค “บอกตามตรงนะ ที่จริงฉันไม่เชื่อว่าคุณกับเฉินถิงเซียวจะหย่ากันจริงๆ”
“ฮะ?” มู่น่อนน่อนกะพริบตาปริบๆ “จริงเหรอ ท่าทางคุณเหมือนรู้จักเฉินถิงเซียวดีเลยนะ…….”
“ความรู้สึก! ความรู้สึกน่ะเข้าใจไหม คนบางคนมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่เหมือนคนประเภทที่เป็นคนเลวมีเมียน้อย และเฉินถิงเซียวก็ดูจะเป็นคนประเภทที่ใจมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ฉันจึงสงสัยว่าพวกคุณไม่ได้หย่ากัน แต่เป็น……”
ฉินสุ่ยซานพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็นิ่งไป
มู่น่อนน่อนถูกฉินสุ่ยซานทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เลิกคิ้วถามว่า “แต่เป็นอะไร”
ฉินสุ่ยซานเพิ่มคำต่อไปนี้ทีละคำ “คุณทิ้งเขา!”
“แค่ก……” มู่น่อนน่อนสำลักน้ำที่ตัวเองเพิ่งดื่มเข้าปาก “คุณอย่าพูดครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ได้ไหม”
ฉินสุ่ยซานเบิกตากว้าง “คุณทิ้งเขาจริงเหรอ”
เธอแค่พูดเล่นเฉยๆ หรือว่าเธอเดาได้
“พรุ่งนี้คุณต้องขึ้นเครื่องบิน ทานเสร็จแล้วกลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย ถ้าจะนินทาอีกแบบนี้ ทำไมคุณไม่ไปเป็นปาปารัสซี่ซะเลยล่ะ……”
“ถ้าฉันเป็นปาปารัสซี่ จะจับตาดูคุณขุดคุ้ยข่าวคุณทุกวันเลย!”
“………”
ทั้งคู่เพิ่งทานข้าวเสร็จ ฉินสุ่ยซานก็ถูกผู้ช่วยของเธอโทรมาเรียกให้ไป
มู่น่อนน่อนสังเกตไปยังทิศทางของห้องอาหารวีไอพีที่เฉินถิงเซียวอยู่ตลอดเวลา และไม่เห็นเขาออกมาเลย
มู่น่อนน่อนลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะตัดสินใจเดินไปดู
“หนึ่ง สอง สาม……”
ก่อนหน้านี้ตอนที่มู่น่อนน่อนตามหลังเฉินถิงเซียวได้มีการนับไว้ด้วย มันคือห้องอาหารวีไอพีห้องที่หก
เธอยืนอยู่หน้าประตูห้องอาหารวีไอพี พิงชิดผนังข้างกรอบประตู กำลังจะแนบหูฟัง ก็เห็นบริกรเดินเข้ามา เธอจึงรีบหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาแกล้งทำเป็นคุยโทรศัพท์
เธอแกล้งโทรศัพท์ไปพลางสังเกตอีกทางด้วยว่ามีคนอื่นมาอีกหรือไม่
รอกระทั่งทางเดินไร้ผู้คน เมื่อเธอเก็บโทรศัพท์มือถือและกำลังจะแนบหูฟัง ก็ได้ยินเสียง “แอ๊ด” ประตูถูกคนจากด้านในเปิดออก
มู่น่อนน่อนตัวแข็งทื่อ ยังไม่ได้ดูให้ชัดเจนว่าคนที่มาเป็นใคร ก็รู้สึกถึงมือข้างหนึ่งกดลงบนไหล่ของตัวเอง จากนั้นเธอก็ถูกผลักไปข้างๆ
“ปัง” ประตูห้องพิเศษถูกปิด
เธอเอียงศีรษะและก็เห็นเฉินถิงเซียวจ้องตัวเองด้วยสีหน้าขุ่นมัว
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างกระอักกระอ่วน ต้องพูดอะไรบ้างๆ
เธอถามด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “คุณมีเรื่องอะไรเหรอ”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร จูงมือเธอไปยังลิฟต์อีกฝั่ง
เขาย่างสามขุมก้าวเดินอย่างรวดเร็ว มู่น่อนน่อนตามการก้าวเดินของเขาไม่ทันเลย จนแทบถูกเขาลากไป
สีหน้าของเฉินถิงเซียวไม่ดี ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายอันตราย ทำให้มู่น่อนน่อนไม่กล้าพูด
เฉินถิงเซียวพามู่น่อนน่อนตรงไปถึงยังห้องพักเอ็กซ์คลูซีฟของโรงแรมจีนติ่งแล้ว ถึงได้ปล่อยมือของเธอ
มู่น่อนน่อนนวดข้อมือตัวเองที่ถูกบีบจนเจ็บ เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเฉินถิงเซียวถามด้วยเสียงขุ่นว่า “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่”
มู่น่อนน่อนรีบพูด “ฉันมาทานข้าวกับฉินสุ่ยซาน”
เฉินถิงเซียวสีหน้าเย็นชา “ผมถามคุณหน่อย ทำไมมายืนหน้าประตูห้องอาหารวีไอพี คุณตั้งใจจะทำอะไร”
“ฉันเห็นคุณกับคุณพ่อของคุณเดินตามกันเข้าไปในห้องอาหารวีไอพี ก็เลย……”
คำว่าคุณพ่อของคุณที่มู่น่อนน่อนพูดทำให้เฉินถิงเซียวโกรธจัด เขาขัดจังหวะคำพูดของเธอด้วยสีหน้าดุร้าย น้ำเสียงเย็นชาไม่พอใจ “คุณพ่อของคุณ?”
มู่น่อนน่อนรีบเปลี่ยนคำพูด “เฉินชิงเฟิง……”
ตอนแรกที่เธอ “แต่งงาน” กับเฉินถิงเซียว เฉินชิงเฟิงเคยมาหาเธอครั้งเดียว
ในตอนนั้น เธอแค่รู้สึกว่าเฉินชิงเฟิงเป็นคนที่โลกส่วนตัวสูงมีระยะห่างกับคนอื่น ในฐานะเป็นพ่อคน เขาอาจจะมีปัญหาของตัวเอง
แต่ต่อมาจากเหตุการณ์ต่างๆ ในที่สุดก็ล้มล้างความคิดภายในใจของเธอโดยสมบูรณ์
ในแง่ของความเป็นญาติและความสัมพันธ์ใกล้ชิด มู่น่อนน่อนเป็นคนใจอ่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่อย่างนั้นคงไม่อดทนอยู่ในตระกูลมู่มานานหลายปี ถึงเพิ่งหมดใจโดยสิ้นเชิง
เกี่ยวกับเรื่องที่เฉินชิงเฟิงมีลูกนอกสมรส ในมุมของมู่น่อนน่อนนั้นมันเป็นบาปที่ให้อภัยไม่ได้ หากสมมุติว่าที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับต้นกำเนิดของซือเฉิงหยู้นั้นเป็นเรื่องจริง
เฉินถิงเซียวก้มหน้า เห็นมู่น่อนน่อนมองเขาเหมือนกลัวว่าเขาจะโกรธ ในแววตามีร่องรอยหมดหนทาง จึงน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย แต่การพูดนั้นรุนแรงมาก “ต่อไปถ้าพบเฉินชิงเฟิง ให้เดินเลี่ยงไปซะ”
“อือ” มู่น่อนน่อนตอบพอเป็นพิธี และถามว่า “คุณคุยอะไรกับเขาเหรอ”
“เรื่องส่วนตัวนิดหน่อย” เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็หันไปนั่งบนโซฟา
เขาลดสายตาลง ยกขาไขว่ห้าง ท่าทางเหมือนไม่อยากพูดอะไรอีก
ผู้ชายคนนี้ถ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่อยากบอกเธอ ก็จะแสดงท่าทีแบบนี้ออกมา เกี่ยวกับจุดนี้ มู่น่อนน่อนรู้จักเขาดี
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปนั่งลงข้างเขา “เรื่อง “ข่าวลือ” มันคืออะไรเหรอ คุณให้คนปล่อยออกไปใช่ไหม”
ในเมื่อเขาไม่อยากพูดอะไร เธอยังสามารถถามได้
“ไม่ใช่” แน่นอนว่าเขาไม่ได้ให้คนปล่อยข่าว เขาแค่อีเมล์ไปให้นักข่าวเท่านั้น