ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 344 เขาไม่ได้ทำผิดต่อคุณ
กู้จือหยั่นเพิ่งจะขับรถมาจอดในลานจอดรถของบริษัทตระกูลเฉิน ยังไม่ทันจะขึ้นไปก็เห็นเฉินถิงเซียวและสือเย่เดินมาทางลานจอดรถด้วยท่าทางรีบร้อน
ทั้งสองคนมีสีหน้าจริงจัง
กู้จือหยั่นเดาว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วแน่นอน
กู้จือหยั่นปิดประตูรถ เดินไปทางพวกเขา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
ในใจเขากำลังคาดเดาว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเรื่องของมู่น่อนน่อนหรือไม่
เฉินถิงเซียวเห็นกู้จือหยั่นก็ไม่พูดอะไร แต่เดินตรงไปที่รถของเขา
สือเย่ที่เดินอยู่ด้านหลังก็อธิบายให้กู้จือหยั่นฟัง “คุณหญิงน้อยถูกคุณชายเจียจับไปแล้วครับ”
กู้จือหยั่นยื่นมือไปขยี้เส้นผมตัวเอง “พูดชื่อมา!”
คุณชายคนนี้ คุณหญิงคนนั้นของตระกูลเฉิน บางครั้งกู้จือหยั่นก็ฟังแล้วรู้สึกรำคาญ
สือเย่ตะลึงค้างไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยใหม่อีกครั้ง “ซือเฉิงหยู้จับตัวมู่น่อนน่อนไปแล้วครับ!”
“อะไรกัน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ไม่ทราบครับ” สือเย่เอ่ยจบแล้วก็หันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว แต่กลับพบว่าเฉินถิงเซียวขับรถออกไปแล้ว
สือเย่เห็นสถานการณ์แล้วก็จะขับรถตัวเองตามไป
กู้จือหยั่นลากเขามาที่รถของตัวเอง “พวกเราไปด้วยกัน”
สุดท้าย รถของเฉินถิงเซียวขับเร็วเกินไป กู้จือหยั่นจึงตามเขาไม่ทัน
ตอนที่เขาตามออกไปนั้นมีเงารถของเฉินถิงเซียวเสียที่ไหนกัน?
……
มู่น่อนน่อนถูกซือเฉิงหยู้พาตัวมาที่คลังสินค้าที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้แห่งหนึ่งในเขตชานเมือง ด้านในมีคนของซือเฉิงหยู้อยู่มาก
คลังสินค้าเก่าโทรมมาก มีแม้กระทั่งสินค้าที่มีตราสินค้าที่หลายปีก่อนถึงจะมี เป็นสิ่งที่มีในตอนที่เธอยังเด็กมากๆประเภทนั้น
มู่น่อนน่อนยังคงถูกมัดเอาไว้
ซือเฉิงหยู้เห็นเธอมองไปรอบด้านแล้วก็ก้าวเข้ามาเอ่ยว่า “คลังสินค้าแห่งนี้ผมตกแต่งด้วยความประณีต”
ในคราแรกมู่น่อนน่อนไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของซือเฉิงหยู้ แต่ก็รู้ว่าซือเฉิงหยู้มีเจตนาไม่ดีอย่างแน่นอน
ซือเฉิงหยู้ดูเหมือนว่าจะพอใจในตัวผู้ฟังอย่างมู่น่อนน่อน จึงโบกมือให้กับคนที่อยู่ด้านหลัง
ต่อมาก็มีบอดี้การ์ดนำเก้าอี้สองตัวเข้ามา หนึ่งในนั้นวางเอาไว้หลังซือเฉิงหยู้ อีกตัวหนึ่งวางไว้หลังมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนถูกบอดี้การ์ดกดให้นั่งลงบนเก้าอี้ และถูกมัดเอาไว้กับเก้าอี้
ซือเฉิงหยู้ไม่ได้นั่งลง
เขาลุกขึ้นเดินไปในคลังสินค้ารอบหนึ่ง ตอนที่หันหน้ามา แววตาของเขาก็มีประกายความบ้าคลั่ง “ผมรวบรวมเอกสารคดีลักพาตัวในปีนั้นมามากมาย ถึงจะสามารถตกแต่งสภาพคลังสินค้าให้เหมือนกับในปีที่เกิดเรื่องได้ นี่สิ้นเปลืองแรงผมไปไม่น้อย อีกครู่หนึ่งตอนที่ถิงเซียวมาถึงที่นี่ จะต้องรู้สึกตื้นตันใจมากแน่ๆ?”
นัยน์ตามู่น่อนน่อนมีประกายความสงสัยพาดผ่านไปในชั่วพริบตา หลังจากนั้นเธอก็เบิกตากว้าง เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา “คุณตกแต่งคืนสภาพคลังสินค้าให้เหมือนกับตอนที่เฉินถิงเซียวและมารดาของเขาถูกลักพาตัวมาในปีนั้น?”
หางเสียงเธอสั่นเล็กน้อยอย่างไม่อาจสังเกตได้
“ใช่แล้ว อย่าดูถูกสถานที่เก่าโทรมแห่งนี้ ผมต้องจ่ายเงินไปไม่น้อยเลย! แต่ว่าโชคดีที่ผมพอใจในผลลัพธ์” ซือเฉิงหยู้เดินมาถึงด้านหน้ามู่น่อนน่อน รอยยิ้มบนใบหน้านั้นเจิดจ้ามาก
มู่น่อนน่อนส่ายหน้าติดๆกัน “ทำไมคุณถึงต้องทำแบบนี้ด้วย แม้ว่าคุณกับเฉินถิงเซียวจะเป็นพี่น้องที่มีบิดาคนเดียวกันแต่ต่างมารดากัน คนที่ผิดก็คือเฉินชิงเฟิง ไม่ใช่เฉินถิงเซียว! เขาไม่ได้ผิดต่อคุณ”
คดีลักพาตัวในปีนั้นตามติดเฉินถิงเซียวมาตลอด
หลายปีมานี้เขาตามหาคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังคดีลักพาตัวมาโดยตลอด มารดาของเขา เป็นอุปสรรคเลวร้ายชั่วชีวิตเขา
การที่ซือเฉิงหยู้ตกแต่งคืนสภาพคลังสินค้าแห่งนี้ให้เหมือนกับสถานที่เกิดคดีในปีนั้น ก็เพราะอยากจะกระตุ้นเฉินถิงเซียว
ถ้าหากว่าเป้าหมายของซือเฉิงหยู้มีเพียงแค่อยากจะกระตุ้นเฉินถิงเซียว เห็นเฉินถิงเซียวทุกข์ทรมาน เช่นนั้นเขาก็ประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“อ่อ? กระทั่งคุณก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ ดูท่าถิงเซียวจะเล่าทุกเรื่องให้คุณฟังจริงๆ” ซือเฉิงหยู้หันหน้าไป สายตาโหดเหี้ยม แต่น้ำเสียงนั้นราวกับเด็กที่ตื่นเต้นเมื่อพบเจอเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นคุณลองพูดมาสิว่าคุณแม่ของผมคือใครกัน?”
ซือเฉิงหยู้ที่อยู่เบื้องหน้ามู่น่อนน่อนนั้นดูแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง
เขาเหมือนกับเป็นบ้าไปแล้ว
เมื่อเห็นมู่น่อนน่อนรีรอไม่พูดจา ซือเฉิงหยู้ก็ยกริมฝีปากยิ้ม “หือ? ดูท่าเฉินถิงเซียวจะรู้สึกอับอายมาก ดังนั้นจึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคุณ”
ในที่สุดซือเฉิงหยู้ก็เดินมานั่งลงตรงข้ามกับมู่น่อนน่อน แววตาประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ผมเป็นคนบอกคุณแล้วกัน คุณแม่ของผม เธอก็คือเฉินเหลียน”
สองคำสุดท้าย ซือเฉิงหยู้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบามาก
แต่เมื่อดังขึ้นในหูของมู่น่อนน่อน กลับรู้สึกว่าน่าตกตะลึงมาก
นัยน์ตาของมู่น่อนน่อนหดตัว สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “คุณพูดว่าอะไรนะ”
“ผมบอกว่า คุณแม่ผู้ให้กำเนิดผมมีชื่อว่าเฉินเหลียน คุณรู้จักเฉินเหลียนไหม” ซือเฉิงหยู้โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย เขยิบเข้ามาใกล้ด้านหน้ามู่น่อนน่อน “ป้าของเฉินถิงเซียว แม่ของเสี่ยวฉิน น้องสาวแท้ๆของ…เฉินชิงเฟิง”
สมองของมู่น่อนน่อนดังวิ้งๆ ในสมองขาวโพลนเป็นเวลานาน ซือเฉิงหยู้ที่อยู่ด้านหน้ากำลังพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอค้นพบว่าตัวเองไม่ได้ยินอะไรแล้ว
เฉินเหลียนกับเฉินชิงเฟิง…
นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน!
“จะต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรแน่นอน…” ผ่านไปเนิ่นนานกว่ามู่น่อนน่อนจะหาเสียงตัวเองเจอ จึงเอ่ยพึมพำออกมา
ซือเฉิงหยู้หัวเราะ คล้ายกับว่าเพลิดเพลินเมื่อเห็นสีหน้าไม่อยากจะเชื่อและท่าทางตื่นตระหนกของมู่น่อนน่อนเป็นอย่างมาก
ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็เอ่ยยิ้มๆว่า “อย่างนั้นความเข้าใจผิดนี้ก็ใหญ่หลวงมากแล้ว ใหญ่หลวงเสียจนทำให้พวกเขาร่วมมือกันวางแผนสร้างความสะเทือนให้กับคนทั้งเมือง จนกระทั่งวันนี้ก็ยังเป็นคดีความ ลัก พา ตัว ที่ยังไม่ถูกผู้คนลืมเลือน!”
ซือเฉิงหยู้เอ่ยพูดเน้นเสียงออกมาทีละคำในเรื่องคดีความ
มู่น่อนน่อนขบริมฝีปากแน่น “ที่คุณจับตัวฉันมาในวันนี้ก็แค่อยากจะบอกฉันเรื่องนี้?”
เธอยังรู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อ
เธอไม่สามารถเชื่อได้ว่า คดีลักพาตัวที่เฉินถิงเซียวกับคุณแม่ของเขาประสบพบเจอในครั้งนั้น จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องความลับที่บิดเบี้ยวและน่าอับอาย…
ถ้าหากว่าสิ่งที่ซือเฉิงหยู้พูดมาเป็นความจริง
นำเรื่องของเฉินเหลียนกับเฉินชิงเฟิงมาสรุปอย่างเป็นเหตุเป็นผล รวมถึงความเป็นไปได้ว่ามารดาของเฉินถิงเซียวจะสังเกตเห็นถึงเรื่องของพวกเขาสองพี่น้อง ดังนั้นถึงได้ถูกสองพี่น้องร่วมมือกันทำร้ายจนตาย
“ยากที่จะยอมรับมันสินะ? รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ?” ซือเฉิงหยู้เอ่ยจบแล้วก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆ! ตั้งแต่เล็กผมก็รู้แล้วว่าระหว่างพวกเขาสองคนมีพิรุธ! ไม่ว่าอะไรผมก็รู้หมด ฮ่าๆๆ…”
ตอนที่เขายังเล็กก็เคยเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันในสภาพที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย แต่เขาไม่กล้าพูดอะไร ไม่กล้าบอกคนอื่น
จนกระทั่งปีที่แล้ว เขาพบว่ากรุ๊ปเลือดของตัวเองเหมือนกับเฉินชิงเฟิง เขาจึงไปทำการเปรียบเทียบ DNA…
โชคชะตามอบการถือกำเนิดที่ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าน่าอับอายให้แก่เขา
เสียงหัวเราะของซือเฉิงหยู้บ้าคลั่ง เห็นได้ชัดว่าเขาแตกสลายไปนานแล้ว
แรกเริ่มสุด มู่น่อนน่อนชอบที่เขาเป็นนักแสดงที่ตั้งใจต่อหน้าที่การงานในการแสดงบทบาทผ่านหน้าจอให้ทุกคนได้ดู
ในภายหลังเมื่อได้ทำความรู้จักกับซือเฉิงหยู้คนนี้อย่างจริงจังแล้ว เธอก็เริ่มรู้สึกว่าซือเฉิงหยู้คนนี้แสดงออกมาได้สมบูรณ์แบบมากเกินไป
ยิ่งสมบูรณ์แบบอย่างหาจับตัวได้ยาก ก็ยิ่งประหลาดจนยากจะคาดเดา
ประโยคนี้ใช้กับซือเฉิงหยู้แล้วเหมาะสมมาก
วันนี้มู่น่อนน่อนได้รับข่าวสารมากเกินไป สมองจึงยุ่งเหยิงอยู่บ้าง
เธอมองใบหน้าที่บ้าคลั่งของซือเฉิงหยู้ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเอ่ยถึงเรื่องลูกสาวของเธอ หัวใจก็ถูกห้อยต่องแต่งในทันที