ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 348 คนเหล่านี้ปล้นชิงทรัพย์
มู่น่อนน่อนและเฉินถิงเซียวหันหน้าไปมองกู้จือหยั่น
กู้จือหยั่นเดินไปนั่งอีกด้านหนึ่งของเตียงผู้ป่วย พลางเอ่ยว่า “ตอนนั้นสถานการณ์ชุลมุนวุ่นวาย สือเย่ตามเฉินถิงเซียวมาส่งเธอที่โรงพยาบาล ฉันนำคนตามซือเฉิงหยู้ไป แต่ว่าตามไม่ทัน”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
เธอดันตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่ง เฉินถิงเซียวยื่นมือมาประคองเธอ
หลังจากที่ฤทธิ์ยาชาผ่านไป ความเจ็บปวดบริเวณบาดแผลก็เห็นได้ชัดอย่างผิดปกติ
แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะประคองเธอด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงสะเทือนถึงบาดแผลของมู่น่อนน่อน เจ็บมาก หน้าผากเธอมีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นมา แต่ความรู้สึกบนใบหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
เธอไม่สามารถแสดงอาการเจ็บปวดออกมาได้ แบบนั้นจะทำให้เฉินถิงเซียวเจ็บปวดมากกว่าเธอ
แต่เฉินถิงเถียวที่อยู่ต่อหน้ามู่น่อนน่อนนั้นเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบ
เขาหลุบตาลง หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อเย็นๆบนหน้าผากให้มู่น่อนน่อนด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
หลังจากมู่น่อนน่อนนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็เอ่ยถามว่า “จำเป็นต้องหาซือเฉิงหยู้ให้พบ ลูกไม่ได้อยู่ในมือของเฉินชิงเฟิงนานแล้ว แต่ถูกซือเฉิงหยู้นำตัวไป ตอนนี้ซือเฉิงหยู้ไม่มีสติในการพูดคุย ไม่สามารถอาศัยความคิดของคนปกติคนหนึ่งมาสันนิษฐานความคิดของเขาได้…เขาเพียงแค่ต้องการให้ทุกคนตกนรกไปกับเขา…”
มู่น่อนน่อนเอ่ยถึงตรงนี้ก็เอ่ยต่อไปไม่ไหวแล้ว หน่วยตารื้นไปด้วยหยาดน้ำตา
ถ้าหากว่าเด็กอยู่ในมือของเฉินชิงเฟิง เฉินชิงเฟิงเพียงแค่ต้องการควบคุมเฉินถิงเซียว จะไม่ทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อเด็ก
แต่ซือเฉิงหยู้นั้นไม่เหมือนกัน อะไรเขาก็ไม่ต้องการ เพียงแต่ต้องการให้ทุกคนทุกข์ทรมานไปกับเขา
เขาสามารถกระทำสิ่งใดต่อเด็กก็ได้ตามสภาพจิตใจ
ลำคอมู่น่อนน่อนราวกับถูกใยฝ้ายขวางเอาไว้ เจ็บปวดอย่างผิดปกติ กระทั่งหายใจก็ยังลำบาก
บรรยากาศภายในห้องลดลงถึงจุดเยือกแข็ง ใครก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้น
เฉินถิงเซียวสีหน้าเศร้าหมอง หมุนตัวไปรินน้ำให้มู่น่อนน่อนแก้วหนึ่ง ยื่นไปที่ข้างปากเธอด้วยความระมัดระวัง ป้อนให้เธอดื่มลงไป
เขาป้อนน้ำให้มู่น่อนน่อนแล้ว ก็หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดมุมปากให้เธอ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ผมมีวิธีที่จะหาซือเฉิงหยู้ให้พบ เรื่องนี้ยกให้ผม คุณพักผ่อนรักษาตัวให้ดี ก่อนที่บาดแผลคุณจะหาย ผมจะต้องพาลูกกลับมาได้แน่นอน”
มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วก็มองไปทางเฉินถิงเซียวอย่างตกตะลึง
เฉินถิงเซียวจับมือเธอเอาไว้ พลางเอ่ยว่า “เชื่อผม”
…
บาดแผลของมู่น่อนน่อนสมานตัวได้ดีมาก สี่วันหลังจากนั้นก็ออกจากโรงพยาบาล
เมื่อออกจากโรงพยาบาล มู่น่อนน่อนก็พบว่ารถขับตรงไปยังบ้านเก่าตระกูลเฉิน
หลายวันมานี้เธอไม่ค่อยได้ถามเรื่องคดีความของมารดาเฉินถิงเซียวในปีนั้น เธอไม่รู้ว่าจะเอ่ยอย่างไร เฉินถิงเซียวก็ไม่พูดถึง
ตอนนี้เฉินถิงเซียวพาเธอกลับมายังคฤหาสน์ คิดว่าจะเริ่มจัดการเรื่องนี้แล้ว
เมื่อลงจากรถ มู่น่อนน่อนก็เห็นสือเย่ที่หน้าประตูคฤหาสน์
สือเย่นำบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ที่ประตู เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ก็เอ่ยด้วยความเคารพ “คุณชาย คุณหญิงน้อย”
บาดแผลของมู่น่อนน่อนยังไม่ได้ตัดด้าย เธอเดินช้ามาก
ตอนที่ใกล้จะถึงห้อง ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “มีข่าวคราวของซือเฉิงหยู้ไหมคะ”
เฉินถิงเซียวโค้งตัวจุมพิตลงบนหน้าผากเธอแผ่วเบา น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก “คุณไปพักผ่อนก่อน ผมจะไปจัดการธุระเล็กน้อย กลางคืนค่อยบอกคุณ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “อืม”
เฉินถิงเซียวประคองมู่น่อนน่อนให้เอนตัวลงนอนแล้วก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาหาหมายเลขโทรศัพท์ของซือเฉิงหยู้ ส่งข้อความไปว่า “อยากรู้ที่อยู่ของชิงหนิงไหม”
หน้าจอโทรศัพท์มือถือแสดงผลว่าส่งข้อความสำเร็จแล้ว หว่างคิ้วเฉินถิงเซียวก็ปรากฏกลิ่นอายโหดเหี้ยมออกมา
ไม่รู้ว่าสือเย่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร
เฉินถิงเซียวเอ่ยถามว่า “พวกเขาล่ะ?”
สือเย่รู้ว่าเขาถามถึงเฉินชิงเฟิงและเฉินเหลียน
เขาพยักหน้าเล็กน้อย “เพิ่งจะส่งลงไปยังห้องใต้ดินครับ”
เฉินถิงเซียวยิ้มเย็น ก้าวเท้าลงไปยังห้องใต้ดิน
ห้องใต้ดินของบ้านเก่าตระกูลเฉินไม่มืดสลัวและอับชื้นเลยแม้แต่น้อย กลับตกแต่งอย่างมีรสนิยม เอาไว้ใช้เก็บวางสิ่งของเก่าๆบางอย่าง
สือเย่ก้าวนำไปเปิดประตูห้องใต้ดินแทนเขา บอดี้การ์ดพากันโค้งตัวแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย”
เฉินชิงเฟิงและเฉินเหลียนนั่งอยู่กลางห้อง โดยมีบอดี้การ์ดคุมตัวเอาไว้
หลายวันมานี้มู่น่อนน่อนพักอยู่ที่โรงพยาบาล เฉินถิงเซียวก็เฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลตลอด ไม่ได้กลับมาที่คฤหาสน์ ส่วนเฉินชิงเฟิงและเฉินเหลียนก็ถูกขังเอาไว้ตลอด
ครึ่งชีวิตก่อนหน้านี้ของเฉินชิงเฟิงก็ถือว่าราบรื่น เมื่อถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองมีความผิด ถูกเฉินถิงเซียวขังเอาไว้นานขนาดนี้ โทสะในใจก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเขาเห็นเฉินถิงเซียว ก็เอ่ยเสียงดังว่า “เฉินถิงเซียว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ฉันก็เป็นพ่อแท้ๆของแก! มีลูกชายที่ไหนที่ปฏิบัติต่อพ่อตัวเองแบบนี้บ้าง?”
เฉินถิงเซียวทำราวกับว่าไม่ได้ยิน ยกมือขึ้นเล็กน้อย ขณะออกคำสั่งว่า “ออกไปให้หมด”
แม้ว่าสือเย่จะไม่วางใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังนำบอดี้การ์ดออกไปจากห้องใต้ดิน
ไม่กี่วันมานี้ที่เฉินชิงเฟิงถูกขัง ความอดทนก็หมดลงไปแล้ว บุคลิกสง่างามและความน่าเกรงขามทั้งหมดที่มีอยู่ในยามปกติล้วนหายไป “ฉันพูดกับแก แกได้ยินไหม!”
เฉินถิงเซียวนั่งลงในฝั่งตรงข้ามกับพวกเขา น้ำเสียงฟังไม่ออกถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ราวกับว่าเป็นเพียงแค่การพูดคุยสบายๆอย่างไรอย่างนั้น “พูดเรื่องราวในปีนั้นมาเถอะ”
ท่าทางแบบนี้ของเขากลับทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเดิม
เฉินชิงเฟิงรู้ว่านี่คือความสงบก่อนที่พายุฝนจะมาเยือน เขาหวาดกลัวขึ้นมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่นิ่ง “เรื่องในปีนั้น…ก็ไม่สามารถโทษฉันทั้งหมดได้…ฉันเพียงแค่ให้คนพวกนั้นลักพาตัวจิ่งชูไปข่มขู่เล็กน้อย หลังจากนั้นก็ให้ปล่อยไป ใครจะไปรู้ว่าคนพวกนั้นมีใจคิดไม่ซื่อ สุดท้ายก็ทำเรื่องแบบนั้นออกมา…”
ทุกคำพูดทุกประโยคของเฉินชิงเฟิงล้วนเป็นการแก้ตัวให้กับตัวเอง
เฉินชิงเซียวยังคงรักษาท่าทางการนั่งเดิมเอาไว้ กระทั่งนัยน์ตาก็ไม่กระพริบเลยแม้แต่น้อย ราวกับรูปปั้นที่สงบนิ่งไร้สุ้มเสียง
“จริงๆนะ ถิงเซียวแกต้องเชื่อฉัน ฉันจะใจร้ายขนาดนั้นได้อย่างไร? ไม่ว่าจะพูดอย่างไรฉันกับจิ่งชูก็เป็นสามีภรรยากันมาหลายสิบปี ฉันจะทำได้…”
เฉินชิงเฟิงเห็นว่าเฉินถิงเซียวไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ก็ปลอบตัวเองอย่างคิดว่าเฉินถิงเซียวอาจจะฟังคำพูดของเขาเข้าหูแล้ว จึงคิดจะแก้ตัวให้ตัวเองต่อ
แต่ในตอนนั้นเองที่ เฉินถิงเซียวหัวเราะเสียงต่ำออกมา “คุณใช้ชีวิตโดยไม่รู้จักละอายใจมาหลายปีขนาดนี้ ตอนนี้คิดอยากจะแก้ตัวให้ตัวเองขึ้นมาแล้ว?”
“ถิงเซียว…”
เฉินถิงเซียวไม่มองเขาแม้แต่น้อย แต่เบนสายตาไปยังเฉินเหลียน “ถึงตาคุณแล้ว”
ตั้งแต่ที่เฉินถิงเซียวปรากฏตัวขึ้นนั้น น้ำตาของเฉินเหลียนก็รินไหลไม่หยุด
“ฉันเดาได้ตั้งนานแล้วว่าจะต้องมีวันนี้…” เฉินเหลียนเอ่ยประโยคนี้จบก็กุมหน้าร้องไห้เงียบๆด้วยความเจ็บปวด
เฉินถิงเซียวมองเธอด้วยสีหน้าเฉยชา “พูดจาดีๆไม่เป็นหรือ”
เฉินเหลียนหยุดร้องไห้ ปาดน้ำตาและเอ่ยพูดใหม่ว่า “ในตอนนั้น พวกเราเพียงแค่คิดอยากจะส่งจิ่งชูให้จากไปเท่านั้น ครั้งนี้เดิมก็คิดจะลักพาตัวเธอแค่คนเดียว แต่คิดไม่ถึงว่าไม่ว่าพวกเขาจะทุบตีและด่าว่าอย่างไร หลานก็ไม่ยอมปล่อยมือ พวกเขาจึงต้องลักพาตัวหลานไปด้วย…หลังจากนั้นคนพวกนั้นก็ปล้นชิงทรัพย์…”
เฉินถิงเซียวฟังถึงตรงนี้แล้ว ก็ลุกขึ้นยืนตวาดเสียงดังอย่างมีโทสะว่า “หุบปาก!”
เฉินเหลียนถูกเขาทำให้ตกใจจนเงียบเสียงทันที
เฉินถิงเซียวเดินตรงไปหยุดอยู่หน้าเฉินชิงเฟิง ชกหมัดหนึ่งใส่อย่างรุนแรงจนเขาล้มลงไปกองกับพื้น หลังจากนั้นก็ยื่นมือไปกระชากปกคอเสื้อเขาขึ้นมา…