ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 359 ว่างเปล่าจนทำให้เธอรู้สึกกลัว
ที่ลี่จิ่วเชียนบอกว่าตัวเองเป็นคู่หมั้นของมู่น่อนน่อนนั้น เพียงแค่ต้องการจะลองทดสอบดูเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่ามู่น่อนน่อนจะถามเขากลับว่าจริงเหรอ
ในฐานะการเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้พื้นฐานทั่วไป เขาสงสัยว่ามู่น่อนน่อนอาจจะ——ความจำเสื่อม!
ใบหน้าของลี่จิ่วเชียนไม่มีท่าทีผ่อนคลาย มีเพียงใบหน้าที่เคร่งขรึม:“คุณหมอครับ รบกวนช่วยทำการตรวจเธอทั้งหมดอย่างละเอียดด้วยนะครับ”
ในห้องผู้ป่วย แพทย์ได้เห็นปฏิกิริยาการตอบสนองของมู่น่อนน่อนเมื่อสักครู่ สีหน้าจึงตึงเครียดขึ้นมาทันใด
ไม่นานแพทย์ก็ได้ตรวจร่างกายของมู่น่อนน่อนทันที จากนั้นเรียกลี่จิ่วเชียนเข้าไปในห้องทำงาน
“คุณลี่ครับ คุณมู่คู่หมั้นของคุณ ตอนนี้นอกจากร่างกายอ่อนแอแล้วก็ไม่มีปัญหาอย่างอื่น แต่เนื่องจากอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก จึงส่งผลให้เกิดการสูญเสียความทรงจำ……”
ลี่จิ่วเชียนนั่งฟังคำพูดของแพทย์อย่างเงียบๆจนจบ เมื่อกล่าวขอบคุณแล้วก็กลับไปที่ห้องผู้ป่วย
มู่น่อนน่อนที่กำลังนอนพิงอยู่บนหัวเตียง จับรีโมททีวีทำการเปลี่ยนช่อง พยาบาลที่เปลี่ยนยาให้เธออยู่ข้างๆได้กล่าวเบาๆว่าอิจฉาเธอที่มีคู่หมั้นที่ไม่ทอดทิ้งเธอ
พยาบาลได้เปลี่ยนยาให้กับมู่น่อนน่อนเสร็จ เมื่อหันมาก็เห็นลี่จิ่วเชียนยืนอยู่ที่ริมประตู ใบหน้าจึงแดงก่ำแล้วเอ่ยขึ้น:“คุณลี่”
คุณลี่คนนี้ไม่เพียงแต่มีหน้าตาที่หล่อเหลา นิสัยยังดีอีก อีกทั้งยังรักจริงขนาดนี้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะทุกคนต่างซาบซึ้งใน “ความรัก” ที่เขามีต่อมู่น่อนน่อน ก็คงจะมีพยาบาลไม่น้อยที่ตามจีบเขาแล้ว
หลังจากที่พยาบาลออกไป ลี่จิ่วเชียนก็เดินมานั่งที่ข้างเตียง จากนั้นจ้องมู่น่อนน่อนอย่างเงียบๆ
มู่น่อนน่อนนอนอยู่บนเตียงมาสามปี ดูซูบผอมจนเหลือเพียงหนังติดกระดูก ใบหน้าที่ป่วยจนขาวซีดแลดูเหมือนไม่มีเลือดฝาด
ปฏิกิริยาการตอบสนองของมู่น่อนน่อนค่อนข้างช้า รู้สึกเหมือนว่าลี่จิ่วเชียนกำลังมองเธอ เธอจึงค่อยๆหันหน้าไปมองลี่จิ่วเชียน
เธอมองใบหน้าแววตาของลี่จิ่วเชียน แล้วรู้สึกแปลกหน้าไม่คุ้นเคย
มู่น่อนน่อนเอ่ยปากถามเขาขึ้นอย่างระมัดระวัง:“พวกเธอบอกว่าคุณชื่อลี่จิ่วเชียนเหรอ”
เหล่าพยาบาลเมื่อสักครู่เป็นคนบอกเธอ ว่าเธอนอนอยู่บนเตียงมาสามปีแล้ว และก็เป็นชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าที่ชื่อลี่จิ่วเชียนนั้นที่คอยเฝ้าดูเธอมาโดยตลอด ไม่ทอดทิ้งไม่เหินห่าง
แต่ลี่จิ่วเชียนกลับบอกว่าเขาคือคู่หมั้นของเธอ
แต่ว่าเธอกลับจำไม่ได้สักนิดเดียว
อย่าว่าแต่จำไม่ได้ที่ตัวเองมีคู่หมั้นชื่อลี่จิ่วเชียนเลย แม้แต่ชื่อของเธอเอง เธอก็ยังจำไม่ได้
เธอสูญเสียความจำทั้งหมดและอดีตที่ผ่านไป
ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า ว่างเปล่าจนทำให้เธอรู้สึกกลัว
“อืม” ลี่จิ่วเชียนตอบกลับอย่างเงียบๆ แล้วก็จ้องมองเธอด้วยสายตาเชิงสำรวจ และก็ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
นิ้วมือของมู่น่อนน่อนที่วางอยู่ข้างตัวได้กำผ้าปูที่นอนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว:“พวกเธอยังบอกอีกว่า คุณเป็น……คู่หมั้นของฉัน……”
ลี่จิ่วเชียนพยักหน้า:“ใช่”
ผ่านไปไม่กี่วินาที มู่น่อนน่อนส่ายหน้าด้วยความสับสน แล้วก็ตอบกลับไป:“ไม่ใช่”
ถ้าหากว่าลี่จิ่วเชียนเป็นคู่หมั้นของเธอจริง ๆ แต่ทำไมหัวใจของเธอถึงไม่รู้สึกสนิทคุ้นเคยกับเขาสักนิดเดียว
ความรู้สึกอาจสามารถหายไปกับความทรงจำได้ แต่ว่าทำไมความคุ้นเคยแม้แต่สักนิดเดียวก็ไม่มี
และเขานั้นขึ้นชื่อว่าคนที่สนิทที่สุดเลยเชียวนะ
ลี่จิ่วเชียนแววตาประกายความตื่นเต้น :“คุณคิดว่าผมกำลังโกหกคุณเหรอ”
“คุณ……” มู่น่อนน่อนนึกถึงคำพูดของพยาบาล จึงส่ายหน้ารัวๆ แล้วกล่าวอย่างลังเล: “เปล่า พวกเราอาจจะ……ความสัมพันธ์เมื่อก่อนคงไม่ได้ลึกซึ้งมั้ง……ไม่อย่างนั้น ฉัน……”
ในเมื่อลี่จิ่วเชียนสามารถเฝ้าเธอมาถึงสามปีในขณะที่เธอป่วยหนัก ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือว่าเป็นคนที่มีความรักมีน้ำใจ เธอเชื่อว่าเขาไม่ได้โกหกเธอ
เธอที่ไม่รู้สึกคุ้นเคยสนิทกับเขาสักนิดเดียว อาจเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ค่อยดี
“ใช่ ความสัมพันธ์ของพวกเราเมื่อก่อนไม่ค่อยดี แต่ว่านั่นมันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว พวกเราสามารถทำความรู้จักกันใหม่ เริ่มต้นกันใหม่ได้” ลี่จิ่วเชียนยื่นมือมาหาเธอพร้อมแววตาอมยิ้ม: “สวัสดีครับ ผมลี่จิ่วเชียนครับ”
รอยยิ้มของเขาจริงใจและมีเสน่ห์ ทำให้มู่น่อนน่อนวินาทีนี้เชื่อเขาอย่างสนิทใจแล้วจริง ๆ :“สวัสดีค่ะ ฉัน……”
ลี่จิ่วเชียนเปล่งเสียงเตือนเธอ:“มู่น่อนน่อน”
“สวัสดีค่ะ ฉันมู่น่อนน่อนค่ะ” มู่น่อนน่อนเสริมประโยคด้านหลังให้สมบูรณ์ ดวงตาที่ยิ้มแย้มประหนึ่งดวงดาวที่พร่างพราวสดใส
ลี่จิ่วเชียนกุมมือที่ผอมแห้งหนังหุ้มกระดูกของเธอ แล้วเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเธออ่อนแอและผอมโซมากจนดูไม่เหลือ “ความงาม” ผอมจนดูเป็นผู้หญิงน่ากลัว แต่ในเวลานี้เธอกลับน่ามองเป็นพิเศษ
……
มู่น่อนน่อนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาอีกครึ่งเดือน หลังจากที่สามารถทานอาหารบางอย่างได้เป็นปกติแล้ว ลี่จิ่วเชียนถึงได้รับตัวเธอออกจากโรงพยาบาล
เป็นช่วงเวลาเดือนกันยายน
อากาศช่วงฤดูใบไม้ผลิเริ่มเย็นลงแล้ว
มู่น่อนน่อนสวมชุดสเวตเตอร์สีเทากับเสื้อเชิ้ตสีขาวข้างใน ผมนุ่มตรงยาวประบ่า เธอดูอ่อนหวานและอ่อนโยน
เธอนั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ รถที่ขับแล่นอยู่มีลมพัดโชยเข้ามา เธอหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก
มีกลิ่นอายอากาศที่คุ้นเคย ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกมีความสุข
ใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มหันมามองลี่จิ่วเชียนจากนั้นกล่าว:“ลี่จิ่วเชียน ฉันต้องเติบโตมาจากเมืองนี้อย่างแน่นอน ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับอากาศที่นี่มาก”
“เหรอครับ” ลี่จิ่วเชียนหันหน้ามา แล้วสายตาก็หยุดอยู่บนใบหน้าเธอสองวินาที จากนั้นก็หันหน้าไป
ยามนี้ รถยนต์กำลังจะขับผ่านสี่แยกไฟแดง
ลี่จิ่วเชียนหยุดรถรอสัญญาณไฟจราจร
มู่น่อนน่อนหันหน้ามองไปทางนอกหน้าต่างรถ
ข้างๆของพวกเขาเป็นรถยนต์สุดหรูสีดำคันหนึ่ง กระจกรถด้านหลังในเวลานี้ได้ลดระดับลง
เสียงจอแจของเด็กน้อยลอยดังออกมา:“เฉิน……! ฉันไม่เล่นกับเธอแล้ว! ฮึ……”
อาจเป็นเพราะอายุที่ยังเล็ก น้ำเสียงที่พูดเร็วของเธอ ทำให้ได้ยินไม่ชัดเจนว่าเธอพูดอะไร
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเด็กน้อยที่อายุสามสี่ขวบกำลังปีนอยู่ที่ข้างหน้าต่างรถโดยที่มือถือลูกโป่งไว้ กำลังทำหน้างอนและต้องการที่จะปีนออกมาจากนอกหน้าต่างรถ
ผมเด็กน้อยดกดำดูแล้วคงอ่อนนุ่มน่าดู ผมหน้าม้าก็ตรงเรียบ คู่ดวงตาดำโต ทำปากมุ่ยที่ดูแล้วช่างน่ารักมาก ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเอ็นดู
เมื่อเห็นเธอจะปีนออกด้านนอก ในใจมู่น่อนน่อนก็เกิดอาการลนลาน
เวลานี้ มีมือใหญ่ที่เห็นข้อนิ้วอย่างชัดเจนเอื้อมมาจากด้านหลังของเด็กน้อย แล้วจับเข้าที่ท้องของเธอ จากนั้นอุ้มเธอลงไปเบาๆ
ทันใดนั้นเด็กน้อยกลับยื่นมือที่นุ่มนิ่มราวกับเต้าหู้ออกมา แล้วชี้มาทางมู่น่อนน่อน:“พี่สาวคนสวย……”
ผู้ชายที่อุ้มเธอไว้ได้เงยหน้ามองมาทางมู่น่อนน่อนแวบหนึ่ง:“เฉินมู่ ในสายตาของหนูที่บอกว่าสวยทำให้พ่อสงสัยว่าหนูเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อหรือเปล่า”
นั่นเป็นผู้ชายที่รูปงามมาก โครงหน้าเพอร์เฟค โดยเฉพาะคู่ดวงตาที่ดำขลับดุจหมึกคู่นั้น และใบหน้าที่ลุ่มลึกและเฉียบคม แค่เพียงชำเลือง ก็ทำให้คนรู้สึกตัวสั่นสะท้าน
มู่น่อนน่อนเกิดอาการตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว และก็รีบดึงสายตากลับ
แต่ว่าหัวใจของเธอกลับบีบรัดและเกร็งขึ้นในเวลานี้
เธอเอื้อมมือมาทาบที่ทรวงอก ใบหน้าซีดเผือด
ไฟเขียวสว่างขึ้น ลี่จิ่วเชียนเร่งเครื่องรถ และสังเกตเห็นความผิดปกติของมู่น่อนน่อน:“เป็นอะไรเหรอ”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า:“เปล่า”