ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 387 คนที่ซับซ้อนมากที่สุด
เสิ่นเสี่ยวยี่ลูบข้อมือของตัวเอง “ไม่ชินกับคำเรียกที่พวกเธอเรียกกันเลยจริงๆ เดี๋ยวก็เรียกคุณมู่ เดี๋ยวก็เรียกคุณเฉิน……”
เธอส่ายหน้า:“ขนาดละครยังไม่กล้าแสดงแบบนี้เลย”
มู่น่อนน่อนหัวเราะและพูดว่า “มันก็ไม่ได้มีอะไรซะหน่อย ตอนนี้ฉันกับคุณเฉินไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันจากคนแปลกหน้าเลยด้วยซ้ำ”
เสิ่นเหลียงนึกถึงสิ่งที่มู่น่อนน่อนพูดเมื่อกี้นี้ว่าเฉินถิงเซียวฉลาดมาก
“เฉินถิงเซียวฉลาดที่ไหนกัน ฉลาดจนไม่เหมือนคนแล้ว……”เสิ่นเหลียไม่อยากจะพูดเรื่องของเฉินถิงเซียวกับเธออีกต่อไปแล้ว ก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุย “ฉันมีรูปเมื่อก่อน เดี๋ยวกลับไปจะส่งให้เธอดู ดูสิว่าเธอจะนึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาได้หรือเปล่า”
“ได้สิ”มู่น่อนน่อนพยักหน้า “ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณอะไรกัน พวกเรารู้จักกันมาหลายปีขนาดนี้!”เสิ่นเหลียงเขย่ากุญแจรถในมือ “ไม่ให้ฉันไปส่งจริงๆ เหรอ?”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก รีบกลับไปเถอะ”
มู่น่อนน่อนไม่ให้เสิ่นเหลียงไปส่งเธอ เสิ่นเหลียงก็เลยต้องกลับก่อน
พอรถของเสิ่นเหลียงขับออกไป มู่น่อนน่อนถึงได้เรียกรถของตัวเอง
เดิมทีเธออยากจะกลับบ้านเลย แต่ว่าระหว่างทางนั้นรถติด คนขับรถขับไปได้ครึ่งทางก็เลยเปลี่ยนไปใช้ถนนอีกเส้นทางหนึ่ง ต้องผ่านห้องบำบัดทางจิตของด้วย
มู่น่อนน่อนก็เลยลงจากรถที่หน้า ห้องบำบัดทางจิต
เธอเข้าไป พนักงานต้อนรับก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยปากถามว่า “สวัสดีค่ะ ได้จองไว้หรือเปล่าคะ?”
“เปล่าค่ะ ฉันมาหาคน” พอมู่น่อนน่อนพูดจบ ก็มองเข้าไปด้านใน
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่ห้องบำบัดของลี่จิ่วเชียน การตกแต่งนั้นดูอบอุ่นมาก ตกแต่งเป็นสไตล์เดียวกับที่บ้าน ดูใหม่มาก
พนักงานต้อนรับอึ้งไป แล้วก็ถามอย่างมีมารยาท “ไม่ทราบว่าคุณมาหาใครเหรอคะ?”
มู่น่อนน่อนเอ่ยปากตอบ “ลี่จิ่วเชียน”
แววตาของพนักงานต้อนรับเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาอดไม่ได้ที่จะเคราะห์มู่น่อนน่อน “คุณมาหาคุณหมอลี่? รบกวนสอบถามว่าคุณชื่ออะไรคะ?”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะเต็มไปด้วยความสุภาพและเกรงใจ แต่ว่าน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยการสำรวจ
ก่อนหน้านี้มู่น่อนน่อนเคยได้ยินลี่จิ่วเชียนพูดว่า ห้องที่ปรึกษาของเขานั้นเล็กมาก ถ้าเกิดว่าเธอไม่มีอะไรทำก็มาหาเขาได้
แต่ว่าดูตอนนี้แล้ว ลี่จิ่วเชียนน่าจะค่อนข้างยุ่ง จะมาหาเขาเพื่อรักษาก็ต้องนัดล่วงหน้า
“ถ้าเกิดว่าเขายุ่งอยู่ก็ช่างเถอะค่ะ ยังไงก็ไม่ได้มีเรื่องด่วนอยู่แล้ว”เธอก็แค่ผ่านมาก็เลยมาเยี่ยม ในเมื่อลี่จิ่วเชียนกำลังยุ่งอยู่ เธอก็คงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว
พนักงานต้อนรับได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไร
ตอนนี้เอง ด้านในก็มีเสียงฝีเท้า ควบคู่ไปกับเสียงสนทนากันดังออกมา
มู่น่อนน่อนหันหน้าไป ก็เห็นว่าลี่จิ่วเชียนกำลังเดินออกมากับคนอีก 2 คน
ถัดจากเขาคือหญิงวัยกลางคน และถัดจากหญิงวัยกลางคนคือเด็กชายวัยรุ่น
อาจเป็นพ่อแม่พาลูกไปพบจิตแพทย์
ลี่จิ่วเชียนเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นมู่น่อนน่อน เห็นได้ชัดว่าเขาอึ้งไป หลังจากพูดกับผู้ปกครองอยู่สองประโยค แล้วก็สั่งให้ผู้ช่วยส่งเธอกลับ เขาก็เดินเข้ามาหามู่น่อนน่อน
ลี่จิ่วเชียนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ และถามด้วยความเอาใจใส่ “ทำไมจู่ๆ ถึงมาหาฉันล่ะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
พนักงานต้อนรับเห็นท่าทางใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของลี่จิ่วเชียน เธอก็ซื่อบื้อไปเลยในทันที
หมอที่ยังหนุ่มและมีอนาคตไกลอย่างคุณหมอลี่ ไม่ได้โสดอย่างนั้นเหรอ?
ยังไม่ทันรอให้มู่น่อนน่อนได้พูดอะไร ลี่จิ่วเชียนก็ยื่นมือไปโอบไหล่ของเธอ “พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
มู่น่อนน่อนไม่ค่อยคุ้นชินที่เขาเป็นแบบนี้ พอเข้าไปในห้องทำงานของเขา เธอก็ถอยออกมา เอาแขนของเขาออกจากไหล่ของตัวเอง
ลี่จิ่วเชียนเองก็ไม่ได้ถือสา แล้วก็เทน้ำให้เธอดื่ม
“ขอบคุณนะ” มู่น่อนน่อนรับน้ำมา “ที่จริงแล้วฉัน……ก็แค่ผ่านมา ก็เลยแวะมาเยี่ยมเท่านั้นเอง”
ลี่จิ่วเชียนถามอย่างไม่ได้ตั้งใจ “แล้วไปไหนมา?”
“ไปกินข้าวกับเพื่อนมา” ประโยคนี้จริงครึ่งไม่จริงครึ่ง
ตอนนี้มู่น่อนน่อนไม่ได้มีเพื่อนอะไร ลี่จิ่วเชียนก็คาดเดาได้ในทันที “กับคุณเสิ่นเหรอ?”
มู่น่อนน่อนพยักหน้า “อืม”
เธอยื่นมือไปจับแก้วน้ำ เอานิ้วชี้วนไปรอบๆ เห็นได้ชัดว่าท่าทางเธอเหมือนมีอะไรอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดออกมา
ลี่จิ่วเชียนสังเกตเธอเงียบๆ มู่น่อนน่อนเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เธอเชื่อใจ จะโกหกไม่เป็น ปิดบังอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไม่ได้
ลี่จิ่วเชียนนั่งลงตรงข้ามเธอ แล้วก็ถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ “แค่กินข้าวกันเหรอ? ไม่ไปช้อปปิ้งเหรอ? ครั้งนี้ไม่ได้เจอปาปารัสซี่อีกแล้วใช่ไหม?”
เรื่องที่เขาที่แล้วมู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงไปเดินเล่นกันแล้วเจอปาปารัสซี่นั้น มู่น่อนน่อนเคยเล่าให้เขาฟังอยู่
มู่น่อนน่อนไตร่ตรองแล้วก็พูดว่า “จิ่วเชียน นาย…… ก่อนหน้านี้เคยรู้จักกับคุณเฉินหรือเปล่า?”
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนชะงักไป แล้วก็ถามว่า “ใครพูดอะไรกับเธองั้นเหรอ?”
เขาถามออกมาอย่างตรงไปตรงมา ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าพูดอะไรไม่ถูก
เขาดูใจกว้างมาก
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าการที่ตัวเองสงสัยในตัวเขา เธอดูเป็นคนร้ายขึ้นมาเลย
ลี่จิ่วเชียนเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร ก็พูดอย่างจริงจังมาก “คุณเสิ่นเล่าอะไรให้เธอฟังใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนเม้มปาก “เธอพูดอะไรกับฉันบางเรื่องจริงๆ ”
ลี่จิ่วเชียนเหมือนกับว่าได้คาดไว้อยู่แล้ว เขาเองก็ไม่ถามว่าเรื่องอะไร ได้แต่ถามว่า “แล้วเชื่อเธอไหม?”
“ฉันรู้สึกว่าเธอไม่เหมือนกับว่ากำลังโกหกฉันอยู่”มู่น่อนน่อนเชื่อเสิ่นเหลียง
“ก็แค่นั้นไง”ลี่จิ่วเชียนยิ้ม “ในเมื่อเธอรู้สึกว่าเชื่อได้ ถ้าอย่างนั้นคุณเสิ่นก็ต้องเป็นคนที่เชื่อถือได้สิ”
คำพูดของลี่จิ่วเชียน ทำให้มู่น่อนน่อนสับสนมากขึ้นไปอีก
เธอรู้สึกว่า การคบค้าสมาคมระหว่างเธอกับลี่จิ่วเชียน มันไม่เหมือนคู่หมั้นกันเลย แต่ว่ามันกลับเหมือนเพื่อนที่ไว้ใจได้มากกว่า
การใช้ชีวิตร่วมกันก็ไม่ต่างจากการแบ่งปันเพื่อนร่วมห้อง การใช้ชีวิตประจำวันก็ไม่มีตรงไหนที่คลุมเครือเลย
มู่น่อนน่อนลังเล แล้วก็ถามคำถามที่อยู่ในใจออกมา “พวกเราเป็นคู่หมั้นกันจริงๆ เหรอ?”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็ดูจางลงมาก แต่ว่าน้ำเสียงกลับดูขี้เล่นผิดปกติ “เธอรู้สึกว่าพวกเราเหมือนคู่หมั้นกันไหมล่ะ?”
มู่น่อนน่อนส่ายหน้า “ไม่เหมือน”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินดังนั้น ทันใดนั้นก็ยิ้มขึ้นมา
หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้น แล้วก็ถามมู่น่อนน่อน “เดี๋ยวจะกลับด้วยกัน หรือว่าจะกลับตอนนี้? ถ้าเกิดว่าจะกลับตอนนี้ เดี๋ยวฉันจะเรียกรถให้”
เขาเปลี่ยนเรื่องอย่างง่ายดายและหยาบกระด้างแบบนี้ มู่น่อนน่อนก็ต้องมองออกอย่างแน่นอน
เธอรู้สึกว่าคำถามของเขาเมื่อกี้นี้ ต้องมีบางอย่างอยู่ในคำพูดอย่างแน่นอน
ลี่จิ่วเชียนคือคนที่เธอเจอเป็นคนแรกหลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมา
สำหรับเธอในตอนนี้แล้ว ลี่จิ่วเชียนน่าจะเป็นคนที่เธอสนิทสนมมากที่สุด
แต่ว่า ตอนนี้เธอกลับรู้สึกยังไม่ชัดเจนว่า ลี่จิ่วเชียนกลับเป็นคนที่ซับซ้อนมากที่สุด
ลี่จิ่วเชียนตบไหล่ของเธอเบาๆ แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ปลอบโยน “ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ”
มู่น่อนน่อนเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ได้แค่พยักหน้าและพูดว่า “เดี๋ยวตอนเย็นค่อยกลับพร้อมน้อยแล้วกัน”
ยังไงตอนนี้เธอรีบกลับไปก็ไม่มีอะไรให้ทำ
ลี่จิ่วเชียนก็โทรเรียบคนมาเสิร์ฟชายามบ่ายให้เธอ แล้วก็ยกห้องพักผ่อนข้างๆ ให้เธอ
ตลอดทั้งช่วงบ่าย ลี่จิ่วเชียนก็มีคนไข้ตลอด
มู่น่อนน่อนได้ยินแค่เสียงสนทนาที่แผ่วเบา แต่ว่าได้ยินไม่ชัดเจนว่าพ่อเขาพูดอะไรกัน
แต่ว่า เธอก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก ยังไงมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น
####บทที่388 มีก็ได้ไม่มีก็ได้
จนถึงเวลาหกโมงเย็น ลี่จิ่วเชียน ถึงได้หยุดทำงาน
เขาเก็บของไปด้วย แล้วก็ถามมู่น่อนน่อนไปด้วย “วันนี้ไม่ต้องกลับไปทำกับข้าวที่บ้านแล้ว อยากกินอะไรล่ะ?”
“อะไรก็ได้”มู่น่อนน่อนไม่ค่อยสนใจ ในใจกังวลแต่แค่เรื่องตัวDNA
ลี่จิ่วเชียนพยักหน้า:“โอเค”
ก่อนออกเดินทาง ผู้ช่วยของลี่จิ่วเชียนก็ได้ช่วยเช็กกำหนดการต่อไปของเขา
มู่น่อนน่อนถึงได้รู้ว่า ลี่จิ่วเชียนนั้นยุ่งแค่ไหน ไม่แปลกเลยว่าทำไมวันปกติถึงได้ทำงานเลิกค่ำขนาดนั้น
ทั้งสองคนมาถึงรถ มู่น่อนน่อนก็เอ่ยปากถามเขา “นายยุ่งขนาดนี้ทุกวันเลยเหรอ? ”
“วันนี้เลิกงานตรงเวลา ไม่ถือว่ายุ่ง”ลี่จิ่วเชียนสตาร์ทรถไปด้วย พร้อมกับพูดกับเธอไปด้วย
มู่น่อนน่อนหันหน้ามา แล้วก็มองห้องบำบัดของลี่จิ่วเชียนผ่านทางหน้าต่างรถ
บ้านเดี่ยวสามชั้น ตั้งอยู่ในความสงบเงียบท่ามกลางบรรยากาศที่วุ่นวาย ขนาดค่อนข้างเล็ก แต่ก็มีคนมาหาหมอมากมาย
แต่ว่าบ้านหลังนี้ มันน่าจะแพงมากเลย
ลี่จิ่วเชียนนี่รวยจริงๆ
เธอนึกถึงเมื่อตอนกลางวัน ที่ได้เจอผู้หญิงที่ชื่อมู่หวั่นขีที่โรงแรมจีนติ่ง
หลังจากนั้นก็ได้เจอพวกเฉินถิงเซียว เธอก็เลยไม่ได้มีโอกาสถามเสิ่นเหลียงเกี่ยวกับเรื่องของมู่หวั่นขี
มู่หวั่นขีกับเสิ่นเหลียงเป็นศิลปินเหมือนกัน ต้องหาเจออะไรบางอย่างในอินเทอร์เน็ตอย่างแน่นอน
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วก็พิมพ์คำว่า “มู่หวั่นขี” เข้าไปในเบราว์เซอร์
ข่าวและข้อมูลจำนวนมากก็โผล่ขึ้นมา
“มู่หวั่นขีใจกล้า ใส่เสื้อผ้าซีทรู……”
“……รูปภาพจากกองถ่ายละครเรื่องใหม่ของมู่หวั่นขีหลุดออกมา”
“ทำไมมู่หวั่นขียังไม่ออกจากวงการบันเทิง”
“มู่หวั่นขียังมีความหวังจะได้แสดงเป็นตัวละครหญิงที่แสดงเป็นเด็กสาวที่ก๋ากั่นและปราดเปรียว……”
“……”
สื่อบางแห่งยกย่องมู่หวั่นขี แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นการตลาดแบบทีม เพราะต้นฉบับเหล่านี้ส่วนใหญ่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกัน
แต่ความคิดเห็นของชาวเน็ตเกือบทั้งหมดเหยียบย่ำเธอและด่าเธอ
ถึงอย่างนั้นมู่หวั่นขีก็ยังอยู่ได้ดีในวงการบันเทิง
มู่น่อนน่อนเจอWeiboของมู่หวั่นขี ดูจำนวนแฟนคลับของเธอมากกว่าสิบล้าน Weibo โพสต์แต่ละรายการมีมากกว่าหมื่นความคิดเห็นและหลายหมื่นไลค์
นี่มันก็หมายความว่า ถึงแม้ว่าชื่อเสียงของมู่หวั่นขีจะถูกทำร้ายแค่ไหน แต่ว่าความนิยมของเธอก็ยังสูงมาก
เธออ่านข้อมูลส่วนตัวของมู่หวั่นขี การบรรยายสรุปครอบครัวระบุเพียงสั้นๆ ว่าครอบครัวเปิดบริษัท
ที่บ้านเปิดบริษัทของตัวเองอย่างนั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนไม่ได้รู้สึกว่า เธอโตมาในครอบครัวที่มีฐานะดี
แต่ว่าสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ ก็สามารถจินตนาการถึงสถานการณ์ของตัวเองที่บ้านได้
หลังจากฟื้นขึ้นมาจากการนอนเป็นผักอยู่สามปี รอบข้างไม่มีญาติเลย มีเพียงแค่ลี่จิ่วเชียนเท่านั้น
แค่นี้มันก็อธิบายได้ว่า ตัวตนของเธอในตระกูลมู่นั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้
มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็หันไปมองลี่จิ่วเชียนที่อยู่ด้านข้าง อดไม่ได้ที่จะแอบค้นหาชื่อของเขาในอินเทอร์เน็ต
ทันทีที่ผลการค้นหาออกมา มู่น่อนน่อนโดนดึงดูดโดยโพสต์ชื่อ “นักจิตวิทยาที่หล่อที่สุดที่คุณเคยเห็นหล่อแค่ไหนกัน? ”
“ไม่พูดเยอะ มาดูภาพข้างบนกัน ไม่ได้ป่วยอะไร แต่พอเจอจิตแพทย์หล่อๆ แบบนี้ ฉันอยากจะเป็นไข้ใจจริงๆ เลย! ”
ภาพต่อมาที่อยู่ด้านล่าง ไม่ได้ชัดเจนมากนัก แต่ว่าใบหน้าที่โดดเด่นของเขาก็สามารถทำให้รู้ได้เลยว่าเขาก็คือลี่จิ่วเชียน
มู่น่อนน่อนไม่ได้อ่านกระทู้หลักจนจบ แล้วก็เลื่อนไปด้านล่างเพื่อดูคอมเมนท์
คอมเมนท์ด้านล่างต่างพากันชื่นชมลี่จิ่วเชียน
“รีบส่งที่อยู่มาให้ฉันเร็ว ฉันจะไปหาหมอ”
“ปีหน้าจะสอบเข้ามหาลัยแล้ว ความกดดันค่อนข้างสูงมาก ขอที่อยู่โรงพยาบาลหน่อย”
“ฉันเองก็อยากได้……”
“จิตแพทย์คนนี้ ไม่ได้แค่หน้าตาดี แถมยังจบปริญญาเอกด้านจิตวิทยามาด้วย! แถมยังได้ยินว่าเขาโสดอีก!”
มู่น่อนน่อนเห็นคอมเมนท์นี้ ก็กลับมาที่กระทู้ ก็เห็นข้อมูลเสริมด้านหลัง
“จบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่มีชื่อเสียง มีชื่อเสียงมากในด้านจิตวิทยาทั้งในและต่างประเทศ……ทั้งหล่อทั้งเก่ง……”
มู่น่อนน่อนหันไปมองลี่จิ่วเชียนด้วยความประหลาดใจ
และในตอนนี้ ลี่จิ่วเชียนก็พึ่งจอดรถสนิท
“ถึงแล้ว”
เขาหันหน้ามา แล้วก็เห็นว่ามู่น่อนน่อนกำลังจ้องหน้าตัวเองด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ
ลี่จิ่วเชียนก็มองเธอ “เป็นอะไรไป? ”
พอเขาพูดจบ สายตาก็มองไปที่โทรศัพท์ของมู่น่อนน่อน หลังจากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา สีหน้าดูทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ฉันเคยถามผู้ช่วยอยู่ ว่าทำไมช่วงนี้ถึงมีเด็กมาที่คลินิกเยอะ ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง”
มู่น่อนน่อนยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าเขาอย่างใจกว้าง “พวกเธอกำลังชมนายอยู่นะ”
ลี่จิ่วเชียนแค่หัวเราะออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ทั้งสองคนลงมาจากรถ พึ่งจะก้าวเข้าไปในร้านอาหารได้ก้าวเดียว ก็มีรถสีดำคันหนึ่งค่อยๆ ขับเข้ามาอย่างช้าๆ
รถสีดำคันนั้นจอดลงด้านข้างรถของลี่จิ่วเชียน
กระจกลดค่อยๆ ลดลง มู่หวั่นขีก็ยื่นหน้าที่แต่งหน้าหนาเข้มออกมา
สามปีหลังจากที่ซือเฉิงหยู้เสียชีวิตไป เธอใช้ชีวิตอย่างเมามายในช่วงหกเดือนแรก เธออยากจะไปอยู่เป็นเพื่อนซือเฉิงหยู้นับครั้งไม่ถ้วน
สิ่งที่ยังสนับสนุนให้เธอมีชีวิตอยู่นั้น ก็คือความเชื่อที่จะล้างแค้นให้กับซือเฉิงหยู้
เธอนึกว่ายัยชั้นต่ำมู่น่อนน่อนนั้นตายไปตั้งนานแล้ว
แต่ใครจะไปรู้ว่า มู่น่อนน่อนนั้นจะโชคลาภชีวิตยิ่งใหญ่ กลับไม่ตายซะอีก
สามปีที่ผ่านมา เธอพยายามคิดหาวิธีแก้แค้นเฉินถิงเซียว แต่ว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้เข้าใกล้เฉินถิงเซียวยังไม่มีเลย
ในเมื่อมู่น่อนน่อนยังคงมีชีวิตอยู่ ก็คงต้องลงมือกับมู่น่อนน่อนแล้วล่ะ
มู่หวั่นขีคิดแบบนี้ แล้วริมฝีปากก็มีรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอทำงานอย่างหนักหน่วงในการถ่ายทำ สภาพร่างกายของเธอแย่ลงเรื่อยๆ และผิวของเธอก็ไม่ค่อยดีขึ้นมากนัก
ทุกวันฉันต้องพัฟแป้งหนามากเพื่อปกปิดใบหน้าที่แห้งและไร้เลือดฝาดของเธอ
พอแต่งหน้าหนาเกินไป เวลายิ้มก็จะดูหน้าตาน่าเกลียดเล็กน้อย
มู่หวั่นขีเงยหน้าขึ้นมองดูกล้องที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นเท่าไหร่นัก ก็พบว่าตรงนี้มันเป็นจุดอับพอดี กล้องวงจรปิดไม่สามารถถ่ายถึงได้
แต่ว่าเธอก็ยังคงรอบคอบมาก สวมหมวกและเสื้อคลุม แล้วก็ลงจากรถมาพร้อมกับคีมและกรรไกร เดินไปยังรถของลี่จิ่วเชียน
……
ในร้านอาหาร
มู่น่อนน่อนพึ่งจะสั่งอาหารเสร็จ ก็ได้รับรูปภาพที่เสิ่นเหลียงส่งมาให้
รูปภาพที่เสิ่นเหลียงส่งมาให้นั้น ก็คือรูปภาพตอนที่พวกเธอสองคนอยู่ด้วยกันเมื่อก่อน
เธอในรูปภาพนั้น ดูอ่อนวัยกว่าตอนนี้มาก แถมสีหน้าก็ยังดูดีกว่าตอนนี้อีกด้วย
“ดูอะไรอยู่เหรอ?”ลี่จิ่วเชียนเงยหน้าขึ้นมองเธอ
มู่น่อนน่อนยื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าเขา “เสี่ยวเหลียงส่งรูปมาให้ฉัน”
ลี่จิ่วเชียนรับไปดู แล้วก็เปิดรูปถัดไป ก็เห็นรูปภาพที่มู่น่อนน่อนเคยแต่งหน้าให้ดูอัปลักษณ์ แววตาของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที พร้อมกับพูดว่า “ดูเหมือนว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอมีสีสันมากเลยนะ”
“หมายความว่ายังไง? ”มู่น่อนน่อนรับโทรศัพท์กลับมาดู พอเห็นรูปภาพนั้น ก็ตกใจเป็นอย่างมาก
อย่าว่าแต่มู่น่อนน่อนในตอนนี้เลย ต่อให้เธอเป็นแค่คนที่ดูอยู่เฉยๆ ก็ตาม ก็คงจะสงสัยชีวิตในสมัยก่อนของตัวเองเหมือนกัน
มีพี่สาวต่างแม่ที่เกลียดตัวเองเข้ากระดูก คนในครอบครัวก็ไม่สนใจเธอเลยแม้แต่นิดเดียว แถมเมื่อก่อนยังจงใจแต่งหน้าเป็นตัวตลกอีก แถมประธานของบริษัทเฉินซื่อยังเป็นพ่อของลูกเธออีก……
เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นกับเธอจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?
มู่น่อนน่อนมองดูรูปภาพนั้น แล้วก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อมกับพึมพำว่า “จริงๆ ด้วย……มันดูมีสีสันอยู่นะ”