ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 394 เธอยังคงเป็นแม่ของลูกผม
ไม่เพียงแค่นั้น คนที่ตกใจเมื่อรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่เช่นกันอย่างเสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่น ก็แสดงถึงน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหวังดี
แต่น้ำเสียงของผู้หญิงคนนี้ในตอนนี้ ไม่ได้ต่างกันกับน้ำเสียงของมู่หวั่นขีเลย
ไม่ว่าจะเป็นมู่หวั่นขีหรือผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ มู่น่อนน่อนก็สามารถรู้ถึงความในห้องน้ำเสียงที่ได้ยินคือ ” คนควรตายไปตั้งนานแล้ว ”
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนหล่อนจะเกลียดเธอมาก
มู่น่อนน่อนจำไม่ได้ว่ามันเป็นใคร ไปเห็นว่าหล่อนกับเฉินถิงเซียวดูมีความคล้ายกันอยู่บ้าง แลดูมีอำนาจบาตรใหญ่ ก็พอจะเดาได้ว่าเธอก็คือสมาชิกในตระกูลเฉินเช่นเดียวกัน
มู่น่อนน่อนพยักหน้าน้อยๆ พูดออกมาด้วยท่าทีไม่เย่อหยิ่งแต่ก็ไม่เป็นมิตร ” คุณเฉิน ”
เฉินจิ่งหยุ้นอีกนิดคงถูกเสียงที่เธอใช้เรียกว่า ” คุณเฉิน ” ทำเอาหล่อนแทบหยุดหายใจ
ในใจความหล่อน มู่น่อนน่อนก็คือคนที่ตายไปแล้ว ไม่ว่าตอนนี้จะยังอยู่ดีมีสุขยังไง ก็ยังโดนเฉินถิงเซียวตามหากลับมาจนได้
เธอทั้งตกใจ ทั้งโกรธ แล้วก็กลัวเป็นอย่างมาก
” ถิงเซียว เป็นพี่ชายของนาย ในตัวของเรามีเลือดที่เป็นเชื้อสายเดียวกัน ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ฉันก็ทำเพื่อนาย และเพื่อตระกูลเฉินของเรา ”
เรื่องเกิดมาจนถึงตอนนี้ เฉินจิ่งหยุ้นไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดแล้ว
หล่อนแค่หวังว่า ในใจของเฉินถิงเซียวน่าจะยังสำคัญอยู่บ้าง
แต่ใบหน้าของเฉินถิงเซียวไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของรอยยิ้ม แต่ก็ไม่ดูโกรธอะไรมากมาย เขายกมือขึ้นมาเล็กน้อย เป็นเชิงบอกให้คนใช้พาเฉินมู่ออกไป
ก่อนหน้านี้เฉินมู่ก็เอาแต่จดจ่ออยู่กับของเล่น เด็กน้อยจึงจะเพิ่งสังเกตเห็นว่ามู่น่อนน่อนมาถึงแล้ว
เมื่อเห็นมู่น่อนน่อน ดวงตาของเฉินมู่ที่กลมโตและดำขลับราวกับเมล็ดองุ่นก็เปล่งประกายออกมา ก็กระโดดขึ้นยืนเตรียมที่จะไปหามู่น่อนน่อน
” อามู่! ”
คนใช้ทำหน้าลำบากใจก่อนจะมองไปที่เฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนพูดกับเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ” ตอนนี้ฉันมีธุระที่ต้องทำ หนูไปเล่นกับคุณน้าคนอื่นก่อนนะ เดี๋ยวน้าอยู่ตรงนี้สักพักจะไปหา ดีไหมจ๊ะ? ”
เฉินมู่ได้ยินดังนั้นก็ทำหน้ายู่ เห็นได้ถึงความไม่สบอารมณ์ แต่เด็กน้อยก็พูดขึ้นว่า ” ก็ได้ค่ะ ”
เด็กน้อยที่พูดจารู้เรื่องเลยเชื่อฟัง มักจะทำให้ผู้คนรู้สึกเอ็นดูเสมอ
เมื่อเฉินมู่ถูกอุ้มออกไป บรรยากาศภายในห้องโถงก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมกว่าเดิม
สือเย่ส่งผลตรวจDNAทั้งสองฉบับให้กับเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวทิ้งมันลงตรงหน้าเฉินจิ่งหยุ้น ” พี่สาวแท้ๆ ของผม ไหนลองอธิบายสิ ว่าทำไมคุณถึงบอกผมมาตลอดว่าซูเหมียนเป็นแม่แท้ๆ ของมู่มู่
ถึงเฉินจิ่งหยุ้นจะรู้มาก่อนแล้วว่า ครั้งนี้เฉินถิงเซียวเอาจริงเอาจัง แต่ก็ไม่นึกเลยว่าเขาจะพูดออกมาตรงๆ แบบนี้ แล้วยังพูดต่อหน้ามู่น่อนน่อนอีก
เฉินจิ่งหยุ้นกำมือทั้งสองข้างแน่น สีหน้าดูแทบไม่ได้มากกว่าเดิม แล้วน้ำเสียงก็ดูตื่นตนขณะพูด” ตอนนั้นฉัน…..คิดว่ามู่น่อนน่อน…. ตายไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เด็กจะอยู่โดยไม่มีแม่ แต่นายก็ต้องการภรรยานี่ ทุกสิ่งทุกอย่างฉันทำเพื่อนายทั้งนั้น นายต้องเชื่อใจฉันนะ ”
ในตอนเริ่มแรก มันพูดออกมาได้อย่างยากลำบาก แต่ยิ่งพูดออกคำพูดก็ฟังดูไหลลื่นมากขึ้น
เฉินจิ่งหยุ้นเริ่มแรกยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น แต่หลังๆ พอยิ่งพูดมาก็ยิ่งดูเด็ดเดี่ยวและมั่นคง
เมื่อเทียบกับความตื่นเต้นเฉินจิ่งหยุ้นแล้ว เฉินถิงเซียวดูเย็นชากว่ามาก
เขามองเฉินจิ่งหยุ้นด้วยสายตาที่เย็นชา ใบหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากมายเช่นเดิม แต่มุมปากได้แสยะขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนกำลังยิ้มเยาะ ” ผมจำได้ ก่อนหน้านี้ผมเคยถามคุณว่าได้โกหกผมหรือเปล่า ตอนนั้นไม่เห็นว่าคุณจะพูดออกมาแบบนี้เลยนี่? ”
ใบหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นดูแข็งทื่อ
หล่อนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเฉินถิงเซียว ” ก็ตอนนั้นเลยสงสัยฉันไปแล้ว? ตอนนี้นายก็เจอตัวมู่น่อนน่อนแล้วไม่ใช่เหรอ? หรือว่าที่ผ่านมานายไม่เคยเชื่อฉันเลยสักครั้ง? ”
” ถ้าผมไม่เคยเชื่อคุณ ผมก็คงไม่โดนคนหลอกปั่นหัวขนาดนี้มาสามปีหรอก? ”
ในที่สุดใบหน้าของเฉินถิงเซียวก็ผุดอารมณ์ขึ้นมาอย่างชัดเจน ดวงตาดำขลับอดไม่ได้ที่จะเผยแววตาความผิดหวังออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ” ผมไม่รู้ว่าเมื่อก่อนผมกับคุณเรามีความสนิทสนมกันยังไง แต่ผมเคยให้โอกาสคุณแล้ว เฉินจิ่งหยุ้น ”
เขาแค่เกิดช้ากว่าเฉินจิ่งหยุ้นสองนาที ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือตอนนี้ เขาไม่เคยเรียกเฉินจิ่งหยุ้นว่าพี่เลยสักครั้ง ”
เฉินจิ่งหยุ้นรู้สึกเหมือนโดนคนสูบพลังไปจนหมด หล่อนยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่พูดอะไรออกมาซักประโยค
หล่อนรู้สึกว่าตัวเองคงรู้จักเฉินถิงเซียวไม่มากพอ
แต่หล่อนพอจะฟังคำพูดที่เด็ดเดี่ยวของเฉินถิงเซียวออก
หล่อนจำเรื่องในตอนเด็กดีได้ดี นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้หล่อนกับเฉินถิงเซียวมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างเปราะบาง
แต่ว่าหล่อนก็พยายามที่จะซ่อมแซมความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับเฉินถิงเซียวแล้ว
หล่อนแค่รู้สึกว่า ควรจะหาภรรยาที่เหมาะสมกว่านี้ให้กับเฉินถิงเซียวสักคน หล่อนผิดตรงไหน?
ไม่ หล่อนไม่ผิดเลยสักนิด
เป็นเพราะเฉินถิงเซียวโง่และดึงดันต่างหาก!
เฉินจิ่งหยุ้นใส่หัว พูดออกมาพร้อมความไม่พึงใจ” ถิงเซียว นายโดนผีสิงหรือไง! ”
หล่อนดีดตัวขึ้นมายืน แล้วชี้นิ้วไปทางมู่น่อนน่อนก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัด ” ผู้หญิงคนนี้มันดีตรงไหน? หล่อนไม่เหมาะสมกับนายด้วยซ้ำ!สามปีก่อนนายก็เป็นแบบนี้ สามปีต่อมานายความจำเสื่อมไปแล้วทำไมยังเป็นอย่างนั้นอยู่ นาย….. ”
สายตาของเฉินถิงเซียวดูหมดน้ำอดน้ำทน จนแทบไม่อยากจะชายตามองหล่อนเสียด้วยซ้ำ
สือเย่ส่งสายตาให้กับบอดี้การ์ด ก็มีคนมาพาตัวเฉินจิ่งหยุ้นออกไป
บริษัทเฉินซื่อคือกิจการของตระกูล คนที่มีอำนาจในการควบคุมก็จะมีอำนาจในการสั่ง
ตอนนี้ผู้มีอำนาจการบริหารสูงสุดในบริษัทเฉินซื่อก็คือเฉินถิงเซียว แน่นอนว่าสถานะในตระกูลเฉินเขาก็ต้องมีอำนาจมากที่สุด ถึงแม้สถานะของเฉินจิ่งหยุ้นจะต่ำกว่าเขาเล็กน้อย แต่หล่อนก็ไม่ใช่ผู้สืบทอดอยู่ดี
พูดง่ายๆ คือ เฉินจิ่งหยุ้นจำเป็นจะต้องฟังความเห็นของเฉินถิงเซียว แต่เพียงแค่ว่าหลายปีมานี้เฉินถิงเซียวไม่ได้ใส่ใจอะไรก็เท่านั้นเอง
หลังจากที่เฉินจิ่งหยุ้นออกไป ภายในห้องโถงก็เหลือแค่เฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนสามคนเท่านั้น
เฉินถิงเซียวชายตามองไปยังลี่จิ่วเชียน ดวงตาดำขลับดูเคร่งขรึม ” คุณลี่ เรื่องที่ภรรยาของผมกลายเป็นคู่หมั้นของคุณ คุณควรจะอธิบายหน่อยไม่ใช่หรือไง? ”
ลี่จิ่วเชียนฉีกยิ้ม ทำทีทะเล้น ” ภรรยาของคุณ? พี่สาวที่ฉลาดหลักแหลมของคุณทำการใหญ่จนเต็มที่ แล้วเธอไม่ได้จดทะเบียนหย่าแทนคุณหรือยังไง? ”
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่น่อนน่อนก็รับรู้ได้ว่าบรรยากาศและอุณหภูมิภายในห้องเย็นลงไปหลายองศา
เธอยกมือขึ้นมาลูบแขนตัวเอง พอเงยหน้าไปก็ปะทะเข้ากับใบหน้าที่อึมครึมของเฉินถิงเซียว จึงทำได้แค่ก้มหน้างุดๆ
เธอรู้สึกได้ว่าลี่จิ่วเชียนกำลังยั่วโมโหเฉินถิงเซียว แต่เฉินถิงเซียวดันโมโหขึ้นมาจริงๆ
” หย่าแล้วมันจะทำไม? เธอก็ยังคงเป็นแม่ของลูกผม ” เฉินถิงเซียวหรี่ตาเล็กน้อย ” คุณลี่ผู้ฉวยโอกาส ยังหาเหตุผลมาพูดได้เต็มปากเต็มคำ น้อยครั้งที่ผมจะเจอคนแบบนี้ ”
” คุณเฉนช่างอารมณ์ขันเสียจริง ผมเองก็เพิ่งเคยเห็นคนที่ถูกพี่สาวแท้ๆ หลอกจนสภาพน่าสมเพชแบบนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน เรื่องแบบนี้ก็ไม่เห็นว่ามีมาบ่อยๆ นะครับ “น้ำเสียงที่ลี่จิ่วเชียนพูดมีความขบขันปนอยู่ เหมือนกำลังคุยหยอกเล่นอยู่กับเพื่อนอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งสองต่างพูดจากฟาดฟันกัน ให้ในโถงใหญ่บรรยากาศเปลี่ยนไปเป็นความตึงเครียด
เฉินถิงเซียวยิ้มเย็น ” ถ้างั้นจะให้ทำยังไง ต้องเป็นคนไร้ญาติขาดมิตรอย่างคุณลี่สินะ ถึงจะไม่โดนหลอกง่ายๆ ”
” เหอะ ”
เสียงหัวเราะของลี่จิ่วเชียนในครั้งนี้ คือเสียงที่เค้นส่งมาจากลำคอ ฟังออกมาแล้วดูเหมือนเขาจะโกรธจนแทบทนไม่ไหว
มู่น่อนน่อนหันไปมองเขา ก็เห็นว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปจนแทบดูไม่ได้
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เป็นเสียง” ครืด ” ขึ้นมาขณะที่ลุกขึ้น จากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับมู่น่อนน่อนว่า ” คุณคุยกับเขาไปแล้วกัน ผมขอไปเดินสูดอากาศสักหน่อย ”
ถึงแม้เขาจะพยายามกดอารมณ์ความโกรธของตัวเองแล้ว แต่รอยยับบนหน้าที่แสดงถึงอารมณ์ของเขามันฟ้องอย่างชัดเจน