ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 412 มีความรู้สึกต่อเธอ
เฉินถิงเซียวหรี่ตาลงไปเล็กน้อย ในดวงตาได้เผยรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจออกมา “ความหมายโดยผิวเผินของคำนี้ฟังไม่เข้าใจ?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมามากขึ้นกว่าเดิม มีความรู้สึกที่ทั้งหมดกำลังอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
เธอเชิดคางขึ้นมาเล็กน้อย การยอมจำนนนั้นที่อยู่ในน้ำเสียงได้หายไปตั้งนานแล้วเหมือนกัน
เธอมองเฉินถิงเซียวไปนิ่งๆ น้ำเสียงเย็นชาออกมาเล็กน้อย “อะไรที่เรียกว่าคบคนโน้นคนนี้ไปทั่ว?”
“อย่างเช่น ลี่จิ่วเชียน” ความเร็วในการพูดของเฉินถิงเซียวได้ผ่อนช้าลงไปเล็กน้อย แต่ฟังไปแล้วกลับอันตรายยิ่งขึ้น
มู่น่อนน่อนโกรธมากแต่กลับยิ้มออกมา พลางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยออกมา “แล้วซูเหมียนล่ะ? ซูเหมียนจะเป็นอะไรอีก?”
“ดังนั้นคุณก็เลยยอมรับแล้ว?”
“ยอมรับอะไร?”
“ลี่จิ่วเชียน”
คำพูดที่ทั้งสองคนพูดมาได้อ้อมไปอ้อมมา แล้วก็อ้อมไปที่ตัวของลี่จิ่วเชียนอีกที
“เฉินถิงเซียว พวกเราทั้งสองคนตอนนี้นอกจากความสัมพันธ์ที่เป็นพ่อแม่ของมู่มู่แล้ว ระหว่างพวกเราก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ถูกกฎหมายยอมรับ” มู่น่อนน่อนพยายามพูดคุยกับเฉินถิงเซียวด้วยเหตุผล “ตอนนี้ฉันอยู่ด้วยกันกับพวกคุณ บางเรื่องไม่ต้องให้คุณพูด ฉันก็รู้อยู่แล้ว แต่คุณ…”
เฉินถิงเซียวดูเหมือนว่าจะไม่มีความคิดที่จะพูดคุยอะไรกับเธอให้มากมายอีก จึงตัดคำพูดของเธอไปโดยทันที “เข้าใจแล้วก็ดี”
“คุณช่วยให้ฉันพูดให้จบก่อนได้มั้ย?” มู่น่อนน่อนดิ้นออกมาด้วยความหงุดหงิดอยู่แป๊บนึง แล้วก็ได้สลัดออกมาได้อย่างง่ายดาย
ใบหน้าของเธอได้เงยหน้ามองไปยังเฉินถิงเซียวด้วยความประหลาดใจ
มือทั้งสองข้างของเฉินถิงเซียวเก็บเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง พิงเข้ากับขอบโต๊ะหนังสือไปด้วยท่าทางที่ดูเนือยๆ พลางเอ่ยออกมานิ่งๆว่า “ผมจะฟังก็แต่คำพูดที่มีประโยชน์เท่านั้น อย่างนี้แล้วมันก็จะประหยัดเวลาของทั้งสองฝ่ายด้วย”
มู่น่อนน่อนย้อนถามกลับออกไป “เวลาของคุณคือเวลา แล้วของฉันมันไม่ใช่?”
“ถ้าคุณคิดว่าเวลาของตัวเองมันมีค่ามาก ตอนนี้คุณก็ควรจะกลับไปนอนได้แล้ว” เฉินถิงเซียวเอี้ยวหน้าไปมองเธอ สีหน้าไม่แยแสมองไปแล้วกลับดูมีสีหน้าที่ไม่มีความผิดปรากฏออกมาอีกด้วย
เฉินถิงเซียวนี่ไม่มีเหตุผลสักนิดนึงเลย
ในทางตรงกันข้ามกันมู่น่อนน่อนก็ดันหาคำที่จะมาหักล้างออกไปไม่ได้เสียอย่างนั้น
หางตาชำเลืองไปเห็นกาแฟที่ตนเพิ่งจะวางลงไปบนโต๊ะทำงานเมื่อกี้นี้ แล้วเธอก็มองไปทางเฉินถิงเซียว พลางยื่นมือไปยกกาแฟแก้วนั้นขึ้นมา แล้วกระดกดื่มไปจนหมดในรวดเดียว
กาแฟขมนิดหน่อย ยังไม่ทันได้เพิ่มนมเพิ่มน้ำตาลลงไป ขมจนภายในลำคอของเธอมันมีรสฝาดไปหมด
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปากข่มกลั้นรสชาติขมฝาดนั้นเอาไว้ เอาแก้วกาแฟที่ว่างเปล่าวางลงบนโต๊ะหนังสือไปเสียงดัง “ปัง” แล้วมองไปทางเฉินถิงเซียวอย่างท้าทาย “ฉันไปนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์”
เฉินถิงเซียวมองเธอเดินออกไปด้วยสีหน้าที่มืดครึ้ม แล้วถึงจะก้มลงมองแก้วกาแฟที่ว่างเปล่าใบนั้น เขายื่นนิ้วมือออกไป นิ้วมือแตะเบาๆไปบนที่จับของแก้วกาแฟไปสองที มุมปากก็ได้แสยะยิ้มออกมาทันที
เมื่อกี้ เธอโกรธแล้ว?
แต่ว่าวิธีการแก้แค้นของเธอมันช่างเบามากจริงๆเลย เขาไม่มีแม้แต่ความรู้สึกที่โดนแก้แค้นมาเลยสักนิดเดียว นึกไม่ถึงเลยว่าจะน่าสนใจอยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนกลับมาที่ห้องด้วยอารมณ์โกรธที่ปะทุออกมา
เธอปิดประตูลง ผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด แล้วไปที่ข้างๆเตียงเพื่อไปดูเฉินมู่ก่อนสักหน่อย
พบว่าเฉินมู่นอนหลับสนิทอยู่เหมือนเดิม เธอจึงลุกขึ้นเข้าห้องอาบน้ำไป
ยืนอยู่ที่หน้าอ่างล้างมือ เธอยื่นมือออกไปแตะที่มุมปากของตัวเองไปเบาๆ ตรงนั้นเหมือนราวกับว่าจะยังมีความร้อนของจูบเมื่อกี้นี้หลงเหลืออยู่
คิดไม่ตกเลยว่าเฉินถิงเซียวกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ และคิดจะทำอะไรอีกกัน
แต่ท่าทางที่หยิ่งทะนงของเขา ก็ชวนให้เกลียดพอแล้ว
มู่น่อนน่อนออกจากห้องอาบน้ำมา แต่ก็ไม่ได้นอนลงไปบนเตียงโดยทันที
เธอหยิบโทรศัพท์ไปขลุกอยู่ที่ในโซฟา ส่งวีแชทไปหาเสิ่นเหลียง “เธอแน่ใจนะว่าเมื่อก่อนฉันรักกับเฉินถิงเซียวจริงๆใช่มั้ย?”
เสิ่นเหลียงก็คงกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่พอดี เพียงไม่นานเธอก็ได้ตอบกลับมา “แน่ใจสิ”
มู่น่อนน่อนเหมือนกับว่าในที่สุดก็เจอช่องทางระบายอารมณ์ออกไปแล้วก็ไม่ปาน จากนั้นก็เริ่มบ่นกับเสิ่นเหลียงออกไป “แต่ว่าตอนนี้ฉันคิดว่าเขาน่าเกลียดมากเลย หยิ่งจนเหมือนกับพระราชา การพูดจาแทบจะสามารถทำให้คนอื่นเขาโมโหได้เลย…”
เสิ่นเหลียงเห็นเธอคุยออกมายาวเหยียดอย่างนั้นแล้ว ก็ได้ตอบกลับไปประโยคนึง “ยกตัวอย่างมาสักตัวอย่างนึง”
“นึกไม่ถึงว่าเขาจะให้ฉันอย่าออกไปคบคนโน้นคนนี้ก่อนที่เขาจะฟื้นความทรงจำกลับมา ฉันเหมือนกับเป็นคนนอกลู่นอกทางอย่างนั้นเหรอ? ฉันสามารถเข้าใจแรงจูงใจของคำพูดนี้ที่เขาพูดออกมาได้อยู่หรอก แต่ว่าเขาพูดมาอย่างนี้มันก็เกินไปหน่อยหรือเปล่า…”
เสิ่นเหลียงเอาคำพูดท่อนนี้ของมู่น่อนน่อนคิดวิเคราะห์ไปสองรอบซ้ำไปซ้ำมา แล้วเอ่ยออกไปอย่างคิดพิจารณาไปซ้ำๆ “ตอนนี้ฉันมีความรู้สึกเหมือนถูกป้อนอาหารหมามาให้ชามหนึ่งขึ้นมา”
มู่น่อนน่อน “…”
“บอสใหญ่เขาเห็นได้ชัดเลยว่ามีความรู้สึกต่อเธอ แต่ว่านะ เขายังไม่ได้ฟื้นความทรงจำกลับมาอย่างสมบูรณ์…พูดอย่างนี้มันก็ดูซับซ้อนอยู่บ้าง มันก็เหมือนกับสัญชาตญาณของสัตว์อย่างหนึ่ง ที่จะประกาศผูกขาดอำนาจการปกครองต่อข้าวของและอาณาเขตของตัวเองก่อน…”
เสิ่นเหลียงพูดจบ ก็ถามเธอออกไป “ฉันพูดมาอย่างนี้ เธอสามารถเข้าใจได้หรือเปล่า?”
“มีความรู้สึกต่อฉัน ก็ไม่ควรจะอ่อนโยนกันสักหน่อยเหรอ?”
“วิธีการแสดงออกของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน” เสิ่นเหลียงถามเธอออกไปต่ออย่างใจเย็น “แล้วความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาล่ะ? ไม่มีความรู้สึกสักนิดเลยเหรอ?”
มู่น่อนน่อนเงียบลง
ผ่านไปหลายวิ เธอได้ส่งไปให้เสิ่นเหลียงประโยคนึง “ฝันดี”
เสิ่นเหลียงตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “เธอยังไม่ตอบคำถามของฉันเลยนะ?”
มู่น่อนน่อนเพียงแค่ตอบมาประโยคเดียวว่า “ฉันนอนแล้ว”
จากนั้น ก็ได้ทิ้งโทรศัพท์ไปที่ข้างๆ
เธอนอนลงไปบนเตียงอย่างเบามือเบาเท้า แล้วก็ห่มผ้าห่มให้เฉินมู่ไปอย่างระวัง ลืมตานอนไม่หลับ
มีความรู้สึกต่อเฉินถิงเซียวงั้นเหรอ?
คนเรามีความรักมันมีความเกี่ยวข้องกับความทรงจำ
ถึงแม้ว่าจะไม่มีความทรงจำ แต่มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวอยู่ด้วยกันตลอดทั้งวันทั้งคืน บอกว่าไม่มีความรู้สึกอะไรเลยสักนิดเดียว มันก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน
บางครั้งก็มีอาการใจเต้นรัวขึ้นมาในชั่วพริบตาด้วยเหมือนกัน
แต่อาการใจสั่นจำพวกนี้มันเป็นความรู้สึกที่ไม่แท้จริง และยังไม่มีความรู้สึกปลอดภัยด้วยอีก
ไม่มีความทรงจำมาเป็นที่พึ่งเพื่อให้คงอยู่ได้ ความรู้สึกและอาการใจเต้นรัวพวกนั้นจู่ๆก็ได้เกิดขึ้นมาพร้อมกัน ก็เหมือนกับตึกสูงที่ไม่มีรากตึก พอทิ่มลงไปทีนึงก็ได้พังทลายลงไปทันที
ไม่พวกเขาทั้งสองคนต่างก็ฟื้นความทรงจำกลับมาทั้งคู่
ก็กลับไปรักกันใหม่อีกครั้ง
……
ตอนเช้าตรู่ เฉินถิงเซียวเพิ่งจะมาถึงประตูทางเข้าบริษัท กู้จือหยั่นไม่รู้ว่าโผล่หัวมาจากที่ตรงไหน
กู้จือหยั่นสวมเสื้อสเวตเตอร์สีฟ้าตัวหนึ่ง ด้านในมีเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวหนึ่งอยู่ มองดูแล้วเหมือนกับหนุ่มน้อยวัยยี่สิบต้นๆคนหนึ่ง
เขาขวางอยู่ที่ข้างหน้าเฉินถิงเซียว ยิ้มพลางเอ่ยออกมาว่า “ถิงเซียว อรุณสวัสดิ์นะ”
เฉินถิงเซียวหลุบตาลง “มีธุระ?”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าฉันไม่มีธุระ จะมาหานายไปทำไมกัน?” ตอนที่กู้จือหยั่นพูดออกมา สายตาวนเวียนอยู่ที่บนร่างของเขาอยู่ตลอดไม่ถอนออกไปไหน ในดวงตาแสดงการสืบหาความจริงออกมาอย่างไม่มีปิดบังเลยแม้แต่น้อย
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว ก็ได้กวาดตามองเขาไปนิ่งๆ แล้วพูดออกมาสองคำ “ตามมา”
กู้จือหยั่นนิ่งอึ้งอยู่ตรงที่เดิม แต่เพียงไม่นานก็ได้สติกลับมาแล้วเดินตามเข้าไป
เขาตามเฉินถิงเซียวตรงไปที่ห้องทำงานผู้บริหาร
แต่ว่าตอนที่ออกมาจากลิฟต์ ก็ได้เจอกับเฉินจิ่งหยุ้น
กู้จือหยั่นยิ้มอย่างมีนัยยะออกมา “คุณหนูเฉิน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เฉินจิ่งหยุ้นเห็นกู้จือหยั่น สีหน้าก็เปลี่ยนไป
เธอไม่ได้สนใจกู้จือหยั่น แต่กลับหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่จะมองเธอเลย มุ่งตรงผ่านข้างๆร่างของเธอไป เดินไปยังห้องทำงาน
กู้จือหยั่นเดินตามอยู่ข้างหลังของเฉินถิงเซียว ยังไม่ลืมที่จะหันหน้าไปเลิกคิ้วเพื่อเป็นเชิงอวดเบ่งออกมาให้กับเฉินจิ่งหยุ้น
เฉินจิ่งหยุ้นโกรธจนสั่นไปหมด มือทั้งสองข้างกำแน่น สีหน้าดูย่ำแย่สุดๆ
ในตอนนี้โทรศัพท์ของเธอก็ได้ดังขึ้นมา
เฉินจิ่งหยุ้นรับสายมา เอ่ยพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ย่ำแย่สุดๆออกไปคำนึง “ว่ามา”
ไม่รู้ว่าคนที่อยู่อีกด้านนึงพูดอะไรมา เฉินจิ่งหยุ้นจึงได้หัวเราะเสียงเย็นออกมา “ฉันเข้าใจแล้ว”