ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 418 คุณต้องการจะทำอะไร?
เฉินจิ่งหยุ้นในตอนนี้ก็ไม่มีความคิดที่จะพูดอ้อมค้อมออกไปเช่นกัน จึงพูดสิ่งที่ตัวเองรู้ออกไปทั้งหมด
“เมื่อตอนนั้นฉันเจอเขาที่เมืองM ผู้เชี่ยวชาญทางการสะกดจิตคนนั้นแซ่หลี่ เป็นชายที่พูดภาษาจีนได้คนหนึ่ง…” พูดถึงตรงนี้แล้ว เธอพบว่าเธอรู้ข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญการสะกดจิตคนนั้นน้อยมาก
สือเย่ถามเธอออกไปต่อว่า “ชื่ออะไร พักอยู่ที่ไหน แล้วก็อายุเท่าไหร่?”
“ไม่รู้” เฉินจิ่งหยุ้นไม่รู้เรื่องพวกนี้ ทำได้แค่เพียงส่ายหน้าออกมาไม่หยุด
“เมื่อตอนนั้นคุณหมอหลี่คนนั้นส่งคนมารับพวกเรา ฉันไม่รู้ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน เขาสวมแมสก์ มองไม่เห็นหน้า ไม่รู้อายุของเขาด้วยเหมือนกัน…”
สือเย่ได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะย่นคิ้วออกมา “คุณหนูเฉิน เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว คุณไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังอีกแล้ว ตรงจุดนี้ตัวคุณก็รู้ดี”
ความสัมพันธ์ของเฉินจิ่งหยุ้นกับเฉินถิงเซียวพัฒนากันมาถึงขั้นนี้ ขอเพียงแค่เฉินจิ่งหยุ้นมีสมองสักหน่อย ก็ไม่ควรจะมีอะไรมาปิดบังพวกเขาอีก
เฉินจิ่งหยุ้นได้ยินแล้ว ก็ร้อนรนขึ้นมาบ้างเช่นกัน “สิ่งที่ฉันพูดไปมันเป็นความจริงทั้งนั้น เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว ฉันยังมีเหตุผลอะไรไปหลอกลวงพวกนายอีก”
สือเย่หันหน้ามองไปทางเฉินถิงเซียว “คุณชาย คุณคิดว่า…”
เฉินถิงเซียวก้มลงมองไปทางเฉินจิ่งหยุ้น ในดวงตาของเฉินจิ่งหยุ้นได้เผยความหวาดกลัวออกมา อดไม่ได้ที่จะหดตัวไปข้างหลัง
ตอนนี้เธอกลัวเฉินถิงเซียวจริงๆ
เฉินถิงเซียวพูดออกไปด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ “เธอออกไปเถอะ ทางที่ดีก็อย่าให้ฉันเห็นหน้าเธออีก”
สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นได้เปลี่ยนมาซีดเผือดออกมาทันที แต่ก็รู้ว่าพูดมากไปมันก็ไร้ประโยชน์ จึงได้ลุกยืนขึ้นมาจากบนพื้น เดินโซเซออกไป
พอเธอเดินออกไป เฉินถิงเซียวได้เอ่ยสั่งออกไป “ไปสืบมา”
“ครับ” สือเย่ตอบรับออกมา แล้วเดินออกไป
ข้อมูลที่เฉินจิ่งหยุ้นให้มามันน้อยเกินไป ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตที่พูดภาษาจีนได้ที่มีแซ่หลี่คนหนึ่ง
ข้อมูลหนึ่งที่เรียบง่ายอย่างนี้ จะบอกว่าง่ายมันก็ง่าย จะบอกว่ายากมันก็ยาก
สามารถสะกดจิตให้คนอื่นปิดกั้นความทรงจำเอาไว้ได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีระดับความสามารถที่โดดเด่นเหนือใครในสาขาอาชีพนี้แน่ๆ
ผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครอย่างนี้ ในสาขาอาชีพนี้ มันจะต้องเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยแน่ๆ แต่เฉินถิงเซียวมีกำลังและมีอิทธิพลมาก สืบขึ้นมาแล้วมันก็ไม่นับว่ายากเช่นกัน
แต่พูดจากอีกมุมหนึ่งแล้ว เฉินจิ่งหยุ้นเองก็นับว่าเป็นคนที่ระมัดระวังเลยคนหนึ่ง หลังจากเรื่องนั้นเธอจะต้องสืบเรื่องผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้นมาแล้วเหมือนกัน แต่จากคำพูดของเธอสามารถคาดเดาได้ว่าเธอเองก็สืบหาข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้นไม่ได้ด้วยเหมือนกัน
……
มู่น่อนน่อนเนื่องจากสายนั้นที่สือเย่ได้โทรมาหาเธอ จึงจำต้องเตรียมมื้อเที่ยงเอาไว้ล่วงหน้าเอาไว้ก่อน
เฉินถิงเซียวตอนเที่ยงไม่กลับมากินข้าว เธอก็ทำอาหารตามรสชาติที่ถูกปากตนกับเฉินมู่เอาก็พอแล้ว
แต่เฉินถิงเซียวจะกลับมากินมื้อเที่ยง มู่น่อนน่อนจงต้องทำเมนูที่เขาชอบกินสักหน่อย
ตอนที่เธอทำอาหารเสร็จ เฉินถิงเซียวยังไม่กลับมา
ก่อนหน้านี้เธอถ่ายรูปให้กับเฉินมู่ไปหลายรูปเลย ในวิลล่ามันมีเครื่องปริ้นภาพถ่ายอยู่พอดี เธอจึงปริ้นออกมา
ถือโอกาสที่เฉินถิงเซียวยังไม่กลับมา เธอจึงหยิบภาพพวกนั้นออกมา วางลงไปบนพื้นพรม มองดูไปด้วยกันกับเฉินมู่
ภาพพวกนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเฉินมู่ อีกส่วนหนึ่งเป็นภาพคู่ของเฉินมู่กับมู่น่อนน่อน แล้วก็ยังมีภาพเดี่ยวของมู่น่อนน่อนอยู่ด้วยเหมือนกัน
ตอนที่เธอกับเฉินมู่ดูภาพกัน เฉินถิงเซียวก็กลับมา
เฉินมู่ตาดี เห็นเฉินถิงเซียวเข้ามา ก็กวักมือไปทางเขาราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย “เฉินชิงเซียว มาดู”
เฉินถิงเซียวชำเลืองมองเฉินมู่ไป เฉินมู่ยิ้มให้กับเธอไปอย่างประจบเอาใจ “อิอิ”
พูดจบ เธอจึงไต่ขึ้นมาจากบนพื้นพรมอย่างปราดเปรียว กระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของมู่น่อนน่อน แล้วหันหน้าไปหัวเราะ “อิอิ” ไปทางเฉินถิงเซียวอีกทีนึง การกระทำต่อเนื่องกันเป็นไปอย่างลื่นไหลอย่างมาก ดูทำตามอำเภอใจอยู่บ้างเหมือนกัน
เด็กน้อยไวต่อความรู้สึก เธอรู้สึกได้ว่าเฉินถิงเซียวคงไม่เกิดโทสะต่อมู่น่อนน่อนขึ้นมาหรอก เธอก่อเรื่องแล้วเข้าไปหลบอยู่ข้างหลังมู่น่อนน่อนจะต้องรอดแน่
แล็เป็นไปอย่างที่คิด เฉินถิงเซียวเพียงแค่มองเธอไปแวบนึง แล้วเบนสายตาออกไป
“กับข้าวทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณไปกินข้าวก่อนเถอะ” มู่น่อนน่อนเพียงแค่มองเขาตอนที่เข้ามาไปแค่แวบเดียวเท่านั้น ในตอนนี้กำลังดูภาพไปอย่างตั้งอกตั้งใจ
ลูกสาวของเธอหน้าตาดีจริงๆ ภาพถ่ายดูดีเหมือนกับตัวจริงเลย
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้ว ไม่ได้ไปกินข้าว แต่ได้ยื่นมือไปแย่งภาพในมือของมู่น่อนน่อนมาแทน
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นไป เอ่ยออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ “บนพื้นตั้งเยอะแยะขนาดนี้ คุณไม่รู้จักหยิบขึ้นมาถือเอาไว้เอง”
เฉินถิงเซียวใช้นิ้วสองสามนิ้วคีบมุมภาพถ่ายเอาไว้ ยื่นออกไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน พลางถามเธอออกไป “คุณเป็นคนถ่าย?”
“ไม่งั้นล่ะ? คุณเคยถ่ายภาพกับมู่มู่เหรอ?”
มู่น่อนน่อนเดิมทีแล้วเพียงแค่พลั้งปากถามออกไปเฉยๆ ผลสุดท้ายพอเสียงพูดของเธอได้หลุดออกมา ก็ได้ยินเฉินถิงเซียวตอบกลับมาว่า “ไม่เคย”
“คุณ…” มู่น่อนน่อนอยากจะพูดกับเขาไปสักหน่อย แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดไปเพราะนึกขึ้นมาได้ว่างานเขายุ่งเสียขนาดนั้น สามารถดูแลเฉินมู่ได้มันก็ดีมากแล้ว จึงได้ปิดปากเงียบไป
มู่น่อนน่อนถ่ายภาพให้กับเฉินมู่ไปหลายภาพ แล้วพิมพ์ออกมากองใหญ่ อยู่เต็มพื้นพรมไปหมด
เฉินถิงเซียวเห็นภาพที่มากมายขนาดนี้แล้ว ในหัวก็มีภาพที่กระจัดกระจายไปหมดแวบออกมา
เหมือนกับว่ามีภาพของมู่น่อนน่อนอยู่เยอะมากเลย…อยู่ภายในห้องห้องหนึ่ง…
แต่เพียงไม่นานภาพที่แวบออกมา ก็ได้เปลี่ยนกลายเป็นภาพอื่นขึ้นมาอีกที
เฉินถิงเซียวยื่นมือออกไปประคองหัวของตัวเอง ร่างส่ายไปมาเล็กน้อย ร่วงลงไปนั่งบนพื้นพรม
มู่น่อนน่อนนิ่งอึ้งไปแป๊บนึง วางเฉินมู่ลงไปข้างๆ แล้วเดินเข้าไปข้างๆเฉินถิงเซียว
“เฉินถิงเซียว คุณเป็นอะไรไป?” มู่น่อนน่อนพูดจบ นึกขึ้นมาได้ว่าสภาพของเขาตอนนี้เหมือนกับที่ห้องทำงานเมื่อก่อนหน้านี้ครั้งนั้นมากเลย
คิ้วของเฉินถิงเซียวบิดกลายเป็นเกลียวแน่น บนหน้าผากอาบไปด้วยเหงื่อ เขาเกร็งกรามล่างออกมา มองไปแล้วดูเจ็บปวดมากเลย
มีประสบการณ์ครั้งที่แล้วมาแล้ว มู่น่อนน่อนรู้ว่าตัวเองช่วยเขาไม่ได้อยู่แล้ว จึงไม่ได้ลงมือไป เพียงแค่โน้มตัวไปมองเขา พลางถามออกไป “ฉันให้คนส่งคุณไปโรงพยาบาลเอามั้ย?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบเธอ ยังคงนอนอยู่บนพื้นพรมไปอย่างนั้น
เฉินมู่เห็นสภาพอย่างนี้ของเฉินถิงเซียว แล้วก็ได้ลุกขึ้นวิ่งเข้าไป คุกเข่านั่งลงข้างๆเขา ส่งเสียงเรียกออกไปอย่างระมัดระวัง “คุณพ่อ?”
มู่น่อนน่อนถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าเฉินมู่ยังอยู่ที่นี่
เฉินถิงเซียวก็คงจะทำให้เฉินมู่กลัวขึ้นมา
มู่น่อนน่อนรีบอุ้มเฉินมู่ขึ้นมาทันที พลางเอ่ยปลอบออกไป “คุณพ่อป่วย ส่งไปโรงพยาบาลให้คุณหมอดูให้ก็จบแล้ว”
“ป่วย?” เฉินมู่ใช้มือกุมท้องตัวเองเอาไว้ แสดงท่าทีเข้าใจขึ้นมาได้โดยทันที “คุณพ่อปวดท้อง”
ก็คงจะเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนหน้านี้เฉินมู่เคยปวดท้องมาก่อน ก็เลยนึกว่าเฉินถิงเซียวจะปวดท้องขึ้นมาเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนพูดกล่อมออกไปเบาๆซ้ำอีกครั้ง “ใช่ คุณพ่อปวดท้อง”
หลังจากนั้นเธอก็เรียกคนใช้มา หลังจากที่อุ้มเฉินมู่ออกไปแล้ว ก็ได้เรียกการ์ดเข้ามาอีกที แล้วช่วยประคองเฉินถิงเซียวขึ้นรถส่งไปโรงพยาบาล
เพราะถึงยังไงก็พักอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน มู่น่อนน่อนก็ตัดสินใจเลือกที่จะตามเฉินถิงเซียวไปโรงพยาบาลด้วยคน
เธอนั่งอยู่ที่เบาะหลังกับเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวในตอนนี้ได้อยู่ในสภาพกึ่งๆไร้สติไปเรียบร้อยแล้ว เดิมทีก็นั่งไม่สนิทอยู่แล้ว
มู่น่อนน่อนจำต้องประคองเขาเอาไว้ ให้เขาพิงเข้ากับบนร่างของเธอ
ไม่ง่ายเลยที่จะไปถึงที่หน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาล หลังจากที่รถจอดสนิทลงแล้ว การ์ดเปิดประตูเบาะหลังรถออกแล้วประคองเฉินถิงเซียวลงจากรถไป
แต่ว่ามือของการ์ดเพิ่งจะแตะไปที่เฉินถิงเซียว จู่ๆเขาก็ได้ลืมตาออกมา
การ์ดได้ตกใจขึ้นมาแป๊บนึง พลางเอ่ยเรียกออกไป “คุณชาย?”
สายตาของเฉินถิงเซียวแสดงความสับสนออกมาก่อนเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็ได้กลับมาใสกระจ่างออกมา
เขานั่งตัวตรง แล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่ดุร้าย “นายจะทำอะไร?”