ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 425 เธอรู้สึกผิดขึ้นมา
ตอนที่มู่น่อนน่อนกับเสิ่นเหลียงรีบกลับไปนั้น พอเปิดประตูออกก็เห็นว่าโทรทัศน์ที่ในห้องโถงใหญ่ได้เปิดดูอยู่
มู่น่อนน่อนส่งเสียงเรียกออกมา “มู่มู่?”
เฉินมู่ลุกยืนขึ้นมาจากบนโซฟา คางกับบนใบหน้าเต็มไปด้วยเศษมันฝรั่งทอดกรอบ ผมยุ่งไปหมด มือยังถือรีโมตเอาไว้
เธอเห็นมู่น่อนน่อนดวงตาก็เป็นประกายออกมา พลางส่งเสียงเรียกออกมาด้วยความเซอร์ไพรซ์ “คุณแม่”
เฉินมู่ตัวเล็ก เมื่อกี้นี้เธอนั่งอยู่บนโซฟา ถูกพนักโซฟาขวางเอาไว้ มู่น่อนน่อนไม่สามารถมองเห็นเธอได้
เธอวิ่งลงมาจากบนโซฟา เท้าเปล่าวิ่งเข้ามายังมู่น่อนน่อน ที่มือก็ยังถือรีโมตเอาไว้แน่น
มู่น่อนน่อนทำตัวให้เข้ากับส่วนสูงของเธอ ย่อตัวนั่งลงเช็ดเศษขนมบนใบหน้าของเธอ แล้วอุ้มเธอขึ้นมา “หนูกำลังทำอะไรอยู่?”
“ทีวี” เฉินมู่ชูรีโมตในมือโบกไปมา ชี้ไปทางทีวีที่อยู่ข้างหลัง
เสิ่นเหลียงเดินเข้าไปที่ตรงหน้าโซฟาดู เห็นขนมอยู่เต็มโซฟาไปหมด ด้านบนยังมีแผ่นมันฝรั่งและลูกอมโปรยอยู่ ข้างๆกันมีโยเกิร์ตขวดหนึ่งวางเอาไว้อยู่
เสิ่นเหลียงเห็นสภาพที่เกิดขึ้นนั้นแล้ว ก็ได้หัวเราะออกมาไม่หยุด “ฮ่าๆๆ! พระเจ้า มู่มู่หาขนมของฉันเจอได้ยังไง แล้วยังฉีกออกเองอีก! นี่มันสุดยอดเกินไปแล้ว”
มู่น่อนน่อนอุ้มเฉินมู่เดินเข้ามา เห็นความยุ่งเหยิงที่บนโซฟา จึงเกิดความรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ขึ้นมาเล็กน้อย
“ของพวกนี้หนูเอามาเองหมดเลย?” มู่น่อนน่อนเอาเฉินมู่ไปยืนบนโซฟาให้ดี ให้สายตาของเธออยู่ตรงกับตน
สีหน้าที่แสดงออกมาของมู่น่อนน่อนมองดูจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย เฉินมู่คงจะรู้สึกได้ถึงสีหน้าไม่ค่อยดีของแม่ บิดมือเล็กไขว้ไปที่ด้านหลัง กะพริบตาปริบๆออกมา พลางเอ่ยเสียงเบาออกมา “อืม”
เสิ่นเหลียงดันร่างของมู่น่อนน่อนออกไปเบาๆ “เธอกลัวเธอแล้ว”
“หนูลองดูสิ ทำโซฟาของคุณน้าเสิ่นสกปรกแล้วใช่มั้ย?” มู่น่อนน่อนชี้ไปที่เศษขนมที่อยู่เต็มโซฟาแล้วถามเธอออกไป
เฉินมู่มองตามมือของมู่น่อนน่อนไป พลางพยักหน้าไปอย่างตกตะลึง
โทนเสียงของมู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะอ่อนลงเล็กน้อย “ครั้งหน้าจะทำให้มันสกปรกเต็มโซฟาไปหมดไม่ได้นะ อยากจะช่วยคุณน้าเสิ่นทำความสะอาดด้วยใช่มั้ย?”
เฉินมู่ตอบรับออกไปอย่างน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก “อยาก”
มู่น่อนน่อนเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของเฉินมู่แล้ว จู่ๆก็แสบจมูกขึ้นมา
เธอจึงหันหลังกลับไปทันที น้ำตาได้เอ่อล้นออกมาจากในเบ้าตา
มู่น่อนน่อนสงบจิตใจให้มั่นคงขึ้นมา ทำให้เสียงของตนฟังดูแล้วเหมือนกับว่าเป็นปกติออกมา “มู่มู่ช่วยคุณน้าเสิ่นทำความสะอาดโซฟา แม่จะไปห้องน้ำหน่อย”
เธอพูดจบ ก็เดินไปห้องน้ำด้วยความรีบร้อน
มู่น่อนน่อนพอเข้าห้องน้ำไป ก็ปิดประตูห้องน้ำลงไปทันที พิงเข้ากับบานประตู ไถลลงพื้นไปช้าๆ พลางยกมือขึ้นมาปิดหน้ากลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้
ด้านนอกประตู เฉินมู่เห็นมู่น่อนน่อนจู่ๆก็ผันร่างไปที่ห้องน้ำแล้วปิดประตูลง จึงชี้ไปที่ประตูห้องน้ำไปอย่างไม่รู้ว่าจะรับมือยังไงอยู่บ้างพลางมองไปทางเสิ่นเหลียง “คุณแม่?”
แน่นอนว่าเมื่อกี้เสิ่นเหลียงจะต้องฟังออกอยู่แล้ว เสียงร้องไห้จากในน้ำเสียงของมู่น่อนน่อน
เธอยิ้มพลางเอ่ยกับเฉินมู่ออกไป “คุณแม่อยู่ที่ห้องน้ำ เดี๋ยวก็ออกมาแล้ว มู่มู่มาช่วยคุณป้าทำความสะอาดโซฟาก่อน”
เสิ่นเหลียงหยิบผ้าขนหนูมา ตอนที่ทำความสะอาดด้วยกันกับเฉินมู่ เฉินมู่ยังมองไปทางห้องน้ำไปเป็นครั้งคราว
ท่าทางมองไปตาปริบๆ มองไปแล้วดูน่าเอ็นดูมากเลย
เสิ่นเหลียงเดินไปยังที่หน้าประตูห้องน้ำ แล้วเคาะประตูไป “น่อนน่อน ยังโอเคอยู่หรือเปล่า?”
ด้านในเพียงไม่นานก็มีเสียงของมู่น่อนน่อนดังเข้ามา “ไม่เป็นไร ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย”
มู่น่อนน่อนลุกยืนขึ้นมา เดินเข้าไปที่ตรงหน้าอ่างล้างมือ ล้างหน้า มองตัวเองที่เบ้าตาแดงก่ำที่อยู่ในกระจกไปเงียบๆ
เมื่อกี้เพิ่งจะเห็นท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนั้นของเฉินมู่ไป จู่ๆมู่น่อนน่อนก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมามากเป็นพิเศษ
เป็นลูกสาวของเธอ ไม่มีความสุขเลยสักนิดเดียว
ตั้งแต่ที่เฉินมู่เกิดมา เธอก็ไม่สามารถมองดูเฉินมู่ดีๆได้เลย และก็ไม่สามารถปกป้องเธอให้ดีได้เลยด้วย
พอเกิดมาแล้ว เฉินมู่ก็ถูกคนสับเปลี่ยนไป รอจนถึงตอนที่พวกเขามีโอกาสได้ไปรับเฉินมู่มาสักที ก็ได้เกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงอย่างนั้นขึ้นมาอีก
สามปีนะ
สามปีที่เดิมทีแล้วควรจะได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาโดยแม่ เธอไม่เคยจะได้มีส่วนร่วมมาก่อนเลย
เมื่อกี้ตอนที่เฉินมู่เพิ่งจะเรียกเธอว่าแม่ เธอถึงกับรู้สึกผิดขึ้นมา
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้น พลางหลับตาสูดหายใจลึกๆเข้าไป
ตอนที่ลืมตาออกมาอีกทีนึง ในดวงตาของเธอได้แจ่มใสและแน่วแน่ออกมาแล้ว
……
มู่น่อนน่อนเปิดประตูห้องน้ำออกมา ก็เห็นเสิ่นเหลียงกำลังนำเฉินมู่ทำความสะอาดโซฟากันอยู่
“อย่างนี้ ค่อยๆนะ ค่อยๆเช็ดลงไปทีละนิดๆ”
“เช็ดลงไป!”
“เก่งมาก!”
หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กน้อยเช็ดของอยู่บนโซฟา ภาพมองดูกลมกลืนทั้งยังอบอุ่นขึ้นมาด้วย
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นว่าเฉินมู่ยังเท้าเปล่าอยู่ จึงก้าวเท้าเดินไปหยิบถุงเท้ามาคู่หนึ่งจากในห้อง แล้วก็ได้นำรองเท้าแตะขนปุยออกมาด้วยอีกที
เฉินมู่พอเห็นมู่น่อนน่อนแล้ว ก็ชูผ้าขนหนูในมือขึ้นมาพลางเอ่ยพูดออกมาว่า “คุณแม่ หนูเช็ดแล้ว”
“อืม” มู่น่อนน่อนยิ้มให้กับเธอ “สวมถุงเท้าก่อน”
“ได้” เฉินมู่ยังจำท่าทางจริงจังของมู่น่อนน่อนเมื่อก่อนหน้านี้ได้อยู่ นึกว่าตัวเองทำผิดแล้วทำให้เธอโกรธขึ้นมา จึงว่าง่ายเป็นพิเศษ
มู่น่อนน่อนช่วยเธอสวมถุงเท้าให้เรียบร้อย เฉินมู่ยิ้มให้เธอออกมาไม่หยุด มองไปแล้วดูโง่งมอยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนยื่นมือไปแตะหัวของเธอ “แม่ไม่ได้โกรธ แต่หนูทำของอยู่เต็มโซฟาไปหมด มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ต่อจากนี้ไปจะทำอย่างนี้อีกไม่ได้นะ”
เฉินมู่พยักหน้าออกมา
สองสามคนพากันเก็บกวาดโซฟาให้เรียบร้อย แล้วได้เก็บขนมที่เฉินมู่ยังไม่กินพวกนั้นกลับไปที่เดิมอีกที จนปาไปเย็นเลย
มู่น่อนน่อนลงครัวทำมื้อเย็นให้เฉินมู่กับเสิ่นเหลียง
เสิ่นเหลียงมีนิสัยร่าเริงขี้เล่น การหยอกล้อเด็กน้อยเล่นไม่จำเป็นต้องเรียนเลยสักนิด ทั้งหมดก็เป็นต้นแบบของการแสดงโดยสมบูรณ์
เด็กน้อยส่วนใหญ่ต่างก็ชอบคนที่หน้าตาสวยกันอยู่แล้ว ปล่อยให้คนสวยคนนี้ยังคงเล่นเป็นเพื่อนเธออยู่ จะยิ่งรู้สึกชอบมากขึ้นกว่าเดิม
ความสัมพันธ์ของเฉินมู่กับเสิ่นเหลียง ทั้งหมดได้รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
มู่น่อนน่อนยกอาหารออกมา ส่งเสียงเรียกพวกเธอออกไปเสียงดัง “เสี่ยวเหลียง มู่มู่ กินข้าวได้แล้ว”
“มาแล้ว” เสิ่นเหลียงจูงเฉินมู่วิ่งมาที่ตรงหน้าโต๊ะอาหาร
เฉินมู่วิ่งตามมา วิ่งไปพลางพูดออกมาพลาง “อิอิๆ…พวกเรามากันแล้ว!”
ทั้งสองคนนั่งลงตรงหน้าโต๊ะอาหาร
มู่น่อนน่อนยกซุปเมนูสุดท้ายขึ้นมาเสิร์ฟ สายตามองไปทางเสิ่นเหลียง น้ำเสียงหยอกล้อออกไป “เสิ่นเหลียงเด็กน้อย ไม่ทราบว่าเธอกับเด็กน้อยเฉินมู่ล้างมือกันแล้วหรือยัง?”
เสิ่นเหลียง “…ยัง”
ตอนที่กินข้าว มู่น่อนน่อนคีบผักไปในชามเพื่อคลุกกินคู่กับข้าวให้กับเฉินมู่
เสิ่นเหลียงเห็นภาพอย่างนั้นแล้ว เหมือนกับว่าจู่ๆจะนึกอะไรขึ้นมาได้ก็ไม่ปาน จึงเงยหน้าขึ้นไปพูดกับมู่น่อนน่อน “มีครั้งนึงที่ฉันเห็นเฉินถิงเซียวกับเสี่ยวมู่มู่กินข้าวด้วยกันที่โรงแรมจีนติ่ง เขา…”
ได้ยินคำว่า “เฉินถิงเซียว” สามคำนี้ขึ้นมา เฉินมู่ได้เงยหน้าขึ้นมาทันที เบิกตากว้างออกมา “เฉินชิงเซียว พ่อของหนู”
“หา?” เสิ่นเหลียงรู้สึกมึนงงขึ้นมาเล็กน้อย
“เธอจะเรียกเฉินถิงเซียวว่าเฉินชิงเซียว” มู่น่อนน่อนพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็อดที่จะอยากหัวเราะออกมาเสียไม่ได้
นิสัยที่หยิ่งยโสอย่างนั้นของเฉินถิงเซียว วันหนึ่งจะยอมศิโรราบในมือของคนอื่นที่นอกจากเธอด้วย
ทั้งยังเป็นเจ้าก้อนแป้งน้อยที่อายุเพียงแค่สามขวบกว่าๆเท่านั้นเอง
เสิ่นเหลียงได้ยินแล้ว ก็ได้หัวเราะ “พรืด” ออกมาด้วยเหมือนกัน “คนอย่างบอสใหญ่ สามารถให้มู่มู่เรียกเขาว่าเฉินชิงเซียวได้ คงไม่ได้ตีเธอหรอกมั้ง?”
เมื่อกี้เฉินมู่เพิ่งจะได้ยินตอนที่เสิ่นเหลียงเอ่ยถึงเฉินถิงเซียวขึ้นมา ก็ฟังไปอย่างตั้งอกตั้งใจอย่างมาก
คำพูดของเสิ่นเหลียง เธอฟังกึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้าออกมาเหมือนกับว่ามีเรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นจริงๆออกมาด้วย “ตี”