ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 429 ช่างพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้จริงๆเลย
- Home
- ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
- บทที่ 429 ช่างพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้จริงๆเลย
มู่น่อนน่อนยิ้มออกมา ยิ้มออกมาเสียดูจนใจเป็นอย่างมาก “ทักษะการแสดงของเธอมันเกินจริงเสียขนาดนี้ ผู้คนเขายอมรับกันเหรอ?”
“ชีวิตมั้ยล่ะ ก็ต้องใช้วิธีการพูดเกินจริงสักหน่อยเพื่อมาสื่อถึงความรู้สึกที่อยู่ภายในใจ”
เธอพูดจบ จู่ๆขยิบตาเอ่ยออกมา “เธออยากจะลองพิจารณาดูสักหน่อยมั้ย บทละครต่อไปเตรียมบทบาทให้ฉันสักบทนึง? จำพวกที่เธอสร้างมันออกมาตามความต้องการฉัน ทำให้ฉันมีชื่อเสียงโด่งดังชั่วข้ามคืนไปเลย”
ในปากของเสิ่นเหลียงยังมีโฟมอยู่ ตอนที่พูดคำว่า “ชื่อเสียงโด่งดังชั่วข้ามคืน” คำนี้ออกมา ยังชูแปรงสีฟันขึ้นไปในอากาศโบกไม้โบกมือทำท่าทำทางออกมาสองที
ท่าทางมีความสุข เหมือนกับเด็กคนหนึ่ง
มู่น่อนน่อนตกอยู่ในภวังค์ไปเล็กน้อย
สามปี เหมือนกับไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย
“ได้สิ สร้างบทให้เธอโดยเฉพาะ แต่ไม่รับปากว่าจะสามารถมีชื่อเสียงโด่งดังชั่วข้ามคืนได้ แต่มันจะต้องเหมาะกับเธอแน่” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนจริงจังมาก
นักแสดงคนหนึ่ง เจอบทบาทที่เหมาะสมกับตัวเองมันก็ไม่ง่ายแล้ว
เสิ่นเหลียงยิ้มพลางเอ่ยออกไป “งั้นก็ตกลงตามนี้”
……
เสิ่นเหลียงหยุดพักผ่อนจริงๆ
มู่น่อนน่อนจะไปหาเฉินจิ่งหยุ้น แน่นอนว่าไม่สามารถพาเฉินมู่ไปด้วยได้
ดังนั้นแล้ว เฉินมู่ทำได้แค่เพียงอยู่เล่นกับเสิ่นเหลียงอยู่ที่บ้านไปอีก
ดีที่เฉินมู่กับเสิ่นเหลียงอยู่ด้วยกันจนค่อนข้างที่จะสนิทกันแล้ว พาเธอไปดูทีวีด้วยกันสักหน่อย และยังสามารถช่วยดูให้มู่น่อนน่อนได้อีกสักพักนึงด้วย
มู่น่อนน่อนกำชับกับเสิ่นเหลียงไปสักหน่อยว่าต้องป้อนน้ำให้เฉินมู่ อย่าให้เธอกินขนมเยอะ แล้วก็ออกจากบ้านไป
วันนี้เป็นวันทำงาน มู่น่อนน่อนตรงไปที่บริษัทเฉินซื่อเพื่อไปหาเฉินจิ่งหยุ้น
เพียงแต่ว่าตอนที่เธอกำลังถามอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ พนักงานประชาสัมพันธ์สาวได้บอกเธอว่า “ท่านรองประธานลาหยุดยาว”
“ลาหยุดยาว? เธอจะจู่ๆก็มาลาหยุดยาวไปกะทันหันได้ยังไงกันน่ะ?” นึกไม่ถึงว่าเฉินจิ่งหยุ้นจะลาหยุดยาวไปในช่วงเวลาแบบนี้ ไม่ว่าจะฟังดูยังไงก็รู้สึกว่ามันผิดปกติไปหมดเลย
พนักงานประชาสัมพันธ์สาวเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยความรู้สึกขอโทษขอโพยออกมา “ขอโทษค่ะ พวกเราเองก็ไม่รู้ชัดด้วยเหมือนกัน”
“ขอบคุณค่ะ” มู่น่อนน่อนเอ่ยขอบคุณออกไป เดินออกไปข้างนอกไปพลาง โทรหาสือเย่ไปพลาง
ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าสือเย่กับเฉินถิงเซียวในตอนนี้กำลังอยู่ในตึกใหญ่หลังนี้ แต่ว่าบริษัทเฉินซื่อไม่ใช่ที่ที่สามารถเข้าไปซี้ซั้วได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังต้องขึ้นไปที่ห้องทำงานผู้บริหารที่ชั้นบนสุดเพื่อไปหาเขาอีก
เธอสนใจเพียงแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร ไม่ได้สังเกตเห็นคนที่อยู่ด้านนอกไปชั่วขณะหนึ่ง
ตอนที่รับสาย เธอก็ได้ชนเข้ากับกำแพงคน
เสียงดัง “ผลั่ก” มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าจมูกของตัวเองเจ็บจนไม่เหมือนกับว่าเป็นของตัวเองแล้ว
เธอปิดจมูกของตัวเองเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาที่เอ่อไปด้วยน้ำตา ก็ได้เห็นใบหน้าเย็นชาที่ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมานั้นของเฉินถิงเซียวเข้า
มู่น่อนน่อนตะลึงงันไปเล็กน้อย แล้วค่อยๆวางโทรศัพท์ลงไปช้าๆแล้วส่งเสียงเรียกออกไป “เฉินถิงเซียว?”
“เฮอะ!” เฉินถิงเซียวยิ้มเย็นออกมา “ดูท่าแล้วคงประเมินเธอต่ำไป นึกไม่ถึงว่าจะตามกันมาถึงบริษัท”
มู่น่อนน่อน “…” เธอไม่ได้จะมาดักรอเขาเลยจริงๆ
ช่างเถอะ ถึงแม้ว่าเธอจะบอกว่าเธอไม่ได้มาหาเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวเกรงว่าคงจะไม่มีวันเชื่อเธอแน่
มู่น่อนน่อนตรงเข้าไปยังสือเย่ ถามเขาออกไปเสียงเบา “เฉินจิ่งหยุ้น ไม่ได้มาทำงานที่บริษัทแล้ว?”
สือเย่รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากตรงหน้าตัวเอง เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองเฉินถิงเซียว ทำเพียงแค่กัดฟันพูดกับมู่น่อนน่อนออกไป “เธอลาหยุดยาว”
มู่น่อนน่อนถามออกไปอีกว่า “เธออยู่บ้าน? อาศัยอยู่ที่บ้านเก่าเหรอ?”
สือเย่ถูกสายตานั้นมองจ้องจนรู้สึกไม่ดีไปทั้งร่าง แต่ก็ทำได้แค่เพียงตอบคำถามของมู่น่อนน่อนไป “คงจะใช่ครับ”
มู่น่อนน่อนรับรู้ได้ถึงความรู้สึกไม่ดีของสือเย่
เธอเบือนหน้าหันไปมองเฉินถิงเซียว ก็เห็นว่าเขาได้ถอนสายตากลับไปจากร่างของสือเย่ไปอย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ แล้วเดินตรงไปที่หน้าลิฟต์
“คุณหญิงน้อย ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวขึ้นไปข้างบนก่อนนะครับ?” ตอนที่สือเย่พูดนั้น สายตาได้มองไปยังทิศทางที่เฉินถิงเซียวได้เดินออกไปอยู่ตลอด มองไปแล้วดูกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุขออกมาเล็กน้อย
มู่น่อนน่อนพยักหน้าออกมา “ฉันไปหาเธอที่บ้านเก่า นายไปก่อนเถอะ”
วินาทีต่อมา มู่น่อนน่อนก็เห็นสือเย่วิ่งไปทางเฉินถิงเซียวอย่างรวดเร็วอย่างกับสายลมก็ไม่ปาน
มู่น่อนน่อนแตะจมูกตัวเองไปด้วยสีหน้าแปลกๆ
สือเย่ตามเฉินถิงเซียวมาตั้งหลายปี แล้วยังแก่กว่าเฉินถิงเซียวอยู่หลายปีอีก นับได้ว่ารู้จักเฉินถิงเซียวดีเลยทีเดียว แต่นึกไม่ถึงว่าจะยังกลัวเขาขนาดนี้อยู่
สือเย่ตามเฉินถิงเซียวไปอย่างรีบร้อน กดลิฟต์ แล้วยืนอยู่ที่ข้างหลังเฉินถิงเซียวไปอย่างนอบน้อม
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไรเลยสักประโยคเดียว แต่บนร่างกลับแผ่กลิ่นอายที่รุนแรงออกมา
เหมือนกับว่าจะไม่พอใจอยู่บ้าง…
ติ้ง——
ประตูลิฟต์เปิดออก สือเย่รอให้เฉินถิงเซียวเข้าไปแล้ว ถึงจะตามหลังเข้าไป
ในพื้นที่ที่ปิดไป สือเย่รู้สึกว่าความกดอากาศมันได้กดต่ำลงกว่าเดิม
เขาเป็นคนทนไม่ไหวขึ้นมาก่อน แล้วเป็นฝ่ายเอ่ยออกไปว่า “คุณหญิงน้อยเธอมาหาท่านรองประธาน เธอไม่รู้ว่าท่านรองประธานได้ลาหยุดยาวไปแล้ว เมื่อกี้ก็เลยถึงได้มาถามผม”
เขาพูดจบ ก็คอยสังเกตปฏิกิริยาของเฉินถิงเซียวไปอย่างระมัดระวัง
ลิฟต์เปิดออก เฉินถิงเซียวเดินออกจากลิฟต์ไป จ้องเขาเขม็งไปอย่างเย็นยะเยือก “คุณหญิงน้อย?”
“คือ…คุณมู่” สือเย่รีบเปลี่ยนคำพูดออกไปทันที
ไม่รู้เหมือนกันว่าเฉินถิงเซียวพอใจกับวิธีการพูดของสือเย่หรือเปล่า เพียงแค่ส่งเสียงฮึดฮัดทางจมูกออกมาเบาๆ แล้วถามออกมา “เธอมาหาเฉินจิ่งหยุ้นไปทำไม?”
สือเย่ฉีกยิ้มออกมา พูดออกมาเสียจนซื่อตรงผิดปกติ “แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณไงครับคุณชาย”
แต่ใครจะรู้ว่าเฉินถิงเซียวเงียบไปสักพักหนึ่ง พลางพูดออกมาประโยคหนึ่งอย่างเนิบช้า “เพื่อที่จะแต่งงานใหม่กับฉันอีกครั้ง ก็ช่างพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้จริงๆเลย”
สือเย่ได้ยินแล้ว ก็เกือบจะสำลักน้ำลายของตัวเองไปเสีย
นี่ถ้าเป็นเฉินถิงเซียวเมื่อก่อน ไหนเลยจะพูดคำพูดจำพวกนี้ออกมาได้กัน รู้ว่ามู่น่อนน่อนเป็นห่วงเขาขนาดนี้ ก็ดีใจมีความสุขสุดๆไปตั้งนานแล้ว
……
มู่น่อนน่อนโบกรถไปที่บ้านเก่าตระกูลเฉิน
หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา เธอก็เคยมาที่บ้านเก่าอยู่ครั้งนึง
ช่วงเวลาสามปี ไม่ได้ทำให้บ้านเก่าที่หรูหราไม่ธรรมดาหลังนี้ได้แต่งแต้มไปด้วยร่องรอยตามกาลเวลา แต่กลับยิ่งแผ่ความเงียบสงัดออกมาแทน
มู่น่อนน่อนลงจากรถไป เดินไปที่ปากประตูทางเข้า ก็มีการ์ดมาขวางเธอเอาไว้ “คุณเป็นใคร?”
“ฉันชื่อว่ามู่น่อนน่อน ฉันมาหาคุณหนูใหญ่มู่ของพวกนาย” มู่น่อนน่อนสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลย เอ่ยพูดออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
การ์ดได้ยินอย่างนั้นแล้วก็มองสำรวจมู่น่อนน่อนไปอย่างละเอียด
รูปร่างของมู่น่อนน่อนซูบผอมอยู่บ้าง แต่เธอก็มีพื้นฐานดีมาตั้งแต่เกิดแล้ว หน้าตาโดดเด่น อยู่กับเฉินถิงเซียวมานานขนาดนั้น ออร่าจึงไม่ธรรมดาเลยเช่นกัน
การ์ดนึกว่ามู่น่อนน่อนคงจะเป็นคุณหนูพันชั่งจากตระกูลร่ำรวยตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ก็คงจะเป็นเพื่อนของเฉินจิ่งหยุ้นด้วยเหมือนกัน
ไปถามดูก่อนสักหน่อยดีกว่า
การ์ดเอ่ยพูดออกมา “คุณรอแป๊บนึงนะครับ”
เขากับการ์ดอีกคนนึงพูดอะไรกันออกมาเสียงเบาสองสามคำ การ์ดคนนั้นก็เข้าไปข้างในไป
ผ่านไปได้ไม่นาน เฉินจิ่งหยุ้นก็ออกมา
เธอสวมชุดเดรสสีดำล้วนตลอดทั้งตัว ทั้งร่างมองไปแล้วดูซูบโทรมอยู่บ้าง ราวกับว่าป่วยหนักอยู่เลย
เฉินจิ่งหยุ้นยกมือขึ้นมา ส่งสัญญาณเป็นเชิงให้การ์ดพวกนั้นถอยออกไปไกลๆหน่อย
รอจนถึงปากประตูทางเข้าเหลือเพียงแค่เธอกับมู่น่อนน่อนสองคนแล้ว เธอจึงยิ้มเย็นพลางเอ่ยพูดออกไป “มู่น่อนน่อน เธอมาหาฉันทำไม? คิดจะมาดูฉันเพื่อความตลกงั้นเหรอ? น่าเสียดายที่ต้องทำให้เธอผิดหวังแล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เหลืออะไร แต่ฉันก็ยังเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฉินอยู่ ยังคงเสพสุขไปกับความรุ่งโรจน์ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ดี”
มู่น่อนน่อนยังไม่ได้พูดอะไรออกไป เฉินจิ่งหยุ้นพูดซี้ซั้วออกมามากมาย
มู่น่อนน่อนตาโตหดเล็กลงไปเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นชา “เธอรุ่งโรจน์หรือเปล่า ฉันไม่มีความสนใจที่อยากจะรู้ ฉันเพียงแค่ถามเธอว่าใครเป็นคนสะกดจิตให้เฉินถิงเซียว?”
มู่น่อนน่อนไม่รู้เหมือนกันว่าคำพูดของตนมันไปกระตุ้นที่ตรงไหนของเฉินจิ่งหยุ้นเข้า สีหน้าเธอเปลี่ยนไปมากเลย แหกปากพูดเสียงแหลมออกมา “แกออกไป!”