ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 442 วิธีแก้แค้นของเขายังไม่โหดพอเหรอ
มู่น่อนน่อนเดินกลับมาที่ครัว แล้วแอบมองดูสองพ่อลูกที่อยู่ข้างนอก
พอเห็นว่าเฉินถิงเซียวยังไม่ยอมขยับ เฉินมู่ก็ชี้ไปทางห้องครัวแล้วพูดเร่งเขา “คุณพ่อเร็วๆ สิคะ”
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปที่ห้องครัวด้วยสีหน้าบึ้งตึง
มู่น่อนน่อนรีบหันกลับมาแล้วเดินไปที่ขอบโต๊ะทำอาหาร แกล้งทำเป็นว่ากำลังยุ่ง
ไม่นาน เฉินถิงเซียวก็เดินเข้ามา
มู่น่อนน่อนแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แล้วถามด้วยแววตางุนงง “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
เฉินถิงเซียวมีใบหน้าบึ้งตึง แล้วถามเธอเสียงดัง “ชามอยู่ที่ไหน?”
มู่น่อนน่อนชี้ไปที่ตู้เก็บของข้างหลังเธอ
ตู้เก็บของอยู่ข้างหลังเธอ เฉินถิงเซียวเดินมาเปิดตู้ ห้องครัวเดิมทีก็ไม่ใหญ่มาก พื้นที่เล็กแคบ มู่น่อนน่อนหันกลับมาก็ชนเข้ากับเฉินถิงเซียวพอดี
เธอรอให้เฉินถิงเซียวหยิบชามแล้ว จึงออกไปพร้อมกับเขา
เฉินมู่เห็นเฉินถิงเซียวหยิบชามออกมา เธอจึงทำเหมือนตอนที่มู่น่อนน่อนให้กำลังใจเธอ รีบยกนิ้วโป้งให้ แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “คุณพ่อเก่งมากค่ะ!”
เฉินถิงเซียวใช้ชีวิตมาครึ่งชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกเด็กน้อยเอ่ยชม
แต่ก็ไม่ได้ดีใจมากเท่าไหร่
เขาเม้มริมฝีปาก แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “กินข้าว”
โชคดีที่เฉินมู่คุ้นเคยกับท่าทางเย็นชาของเฉินถิงเซียวมานานแล้ว ถึงแม้เฉินถิงเซียวจะไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว เฉินมู่ก็ยากที่จะมองออก
เด็กกินได้น้อย เฉินมู่จึงเป็นคนกินอิ่มก่อนเสมอ
พอกินข้าวเสร็จ เธอก็วิ่งไปเล่นของเล่นด้านข้างทันที
ตอนนี้จึงเหลือเพียงมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวที่นั่งเผชิญหน้ากันที่โต๊ะอาหารเท่านั้น
บรรยากาศดูกลมกลืนกันอย่างหาได้ยาก มู่น่อนน่อนถามเขาขึ้นมาก่อน “เบาะแสเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้น มีข่าวบ้างไหมคะ?”
“ไม่มี” เฉินถิงเซียวพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
สีหน้าของมู่น่อนน่อนซีดลงเล็กน้อย เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วพูดว่า “ขนาดคุณยังหาไม่พบ ก็หมายความว่าเขาจงใจหลบหนีเราจริงๆ”
จากนั้นเฉินถิงเซียวก็มองขึ้นไปที่เธอ
ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูด แต่มู่น่อนน่อนก็สามารถอ่านสายตาของเขาได้ เขากำลังแสดงท่าทีให้เธอพูดต่อ
“เฉินจิ่งหยุ้นหาผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตระดับแนวหน้าทั่วโลก ค่าตอบแทนก็คงไม่น้อย สมมติว่าเฉินจิ่งหยุ้นให้ค่าตอบแทนจำนวนมากกับเขา แต่ตอนนี้เขาก็ยังซ่อนตัวจากพวกเรา นั่นหมายความว่าเขาอาจจะไม่ได้คาดหวังเรื่องค่าตอบแทน เพราะเงินค่าตอบแทนที่คุณให้ ต้องมากกว่าที่เฉินจิ่งหยุ้นสามารถให้ได้อย่างแน่นอน”
หลังจากที่มู่น่อนน่อนพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นเพื่อดูปฏิกิริยาของเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียววางตะเกียบลง แล้วเอนหลัง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พูดต่อ”
“นั่นก็หมายความว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้น อาจจะสะกดจิตคุณเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง…”
ครั้งนี้ ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะพูดจบ เฉินถิงเซียวก็พูดขัดเธอซะก่อน “จุดประสงค์บางอย่าง? ยกตัวอย่างเช่น?”
มู่น่อนน่อนนิ่งคิดอยู่สักพัก แล้วพูดว่า “ถ้าลองวิเคราะห์ดูดีๆ ผู้เชี่ยวชาญการสะกดจิตคนนี้อาจจะมีความแค้นเคืองอะไรกับคุณ?”
เฉินถิงเซียวเหมือนได้ยินเรื่องตลกๆ ในดวงตาของเขามีแววตาเยาะเย้ย “คุณรู้ไหมว่าคนที่มีความแค้นกับผม ผมจัดการกับพวกเขายังไง”
มู่น่อนน่อนกำหมัดของเธอแน่นเล็กน้อย “คุณคิดว่า ถ้าผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้นไม่มีความแค้นกับคุณจริงๆ วิธีแก้แค้นของเขายังไม่โหดพอเหรอคะ?”
การให้คนคนหนึ่งลืมอดีต ลืมคนรัก ลืมลูกๆ ลืมเพื่อน ๆ ของเขาไป แบบนี้ยังไม่โหดร้ายอีกเหรอ?
“ชีวิตของผม ไม่แตกต่างไปจากเดิมเพราะเหตุนี้” ดวงตาของเฉินถิงเซียวเย็นชามาก
คนที่ลืมมักไม่รู้สึกอะไร แต่คนที่เจ็บปวดที่สุด กลับเป็นคนที่ถูกลืม
“กินข้าวกันเถอะ” มู่น่อนน่อนไม่อยากคุยเรื่องนี้กับเขาต่อ
ถ้าหัวข้อนี้ดำเนินต่อไป ก็มีแต่ไม่มีความสุข
มู่น่อนน่อนก้มหน้าลง แล้วกินข้าวต่ออย่างเงียบๆ
เฉินถิงเซียวรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของมู่น่อนน่อนกำลังเศร้าโศกมาก
จากแววตาของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนที่กำลังก้มหน้าลง เขามองเห็นเพียงขนตางอนยาวของเธอ ใบหน้าของเธอเรียบนิ่ง เธอคงกำลังเสียใจอยู่
เขาจึงไม่พูดอะไรอีก ทั้งสองนั่งกินข้าวกันอย่างเงียบๆ
หลังอาหารเย็น เฉินถิงเซียวเตรียมจะกลับไป
เฉินมู่ที่กำลังเล่นของเล่น พอเห็นเฉินถิงเซียวเดินไปที่ประตู แล้วเบิกตาโตรีบวิ่ง “ตึงตึงตึง”ไปหาเขา
“คุณพ่อขา จะไปไหนคะ” เฉินมู่พูด พร้อมกับชี้ไปที่นอกหน้าต่าง “ข้างนอกมืดแล้วนะคะ”
เฉินถิงเซียวมองลงมาที่เธอ “กลับบ้าน”
เฉินมู่ยังตัวเล็กมาก เขามองลงมาที่เธอเหมือนจะเมื่อยคอเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงก้าวถอยหลังเล็กน้อย
เฉินมู่คว้ามุมเสื้อผ้าของเขามาจับไว้ แล้วหันไปมองมู่น่อนน่อน “คุณแม่ขา”
น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนเหมือนกับสีหน้าของเธอ เธอพูดเสียงเรียบ “คุณพ่อจะกลับแล้วจ้ะ ลูกอย่าดึงเสื้อคุณพ่อไว้สิลูก”
“ไม่เอานะคะ” เฉินมู่ขมวดคิ้ว เธองอแงออกมาทันที “หนูไม่เอา ไม่ให้กลับนะ!”
เฉินมู่แทบไม่เคยงอแงแบบนี้เลย
บางครั้ง ตอนที่เด็กงอแงไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องไม่ใช่เด็กดีหรือดื้อรั้นไม่ฟังคำพูดของผู้ใหญ่
ที่เธองอแง เพราะเธอมีความต้องการของเธอเอง
ถึงแม้เธอจะยังเด็กมาก แต่เธอก็เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง
เธอกับเฉินถิงเซียวแทบไม่เคยแยกจากกัน แต่ช่วงนี้กลับเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ดังนั้นเธอจึงอยากอยู่ด้วยกันกับเฉินถิงเซียว
อยากอยู่กับพ่อ นี่ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่มากมายอะไรเลย
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก แล้วมองไปทางเฉินถิงเซียว “คุณพาลูกกลับบ้านไปนอนด้วยสักคืนเถอะค่ะ หลังจากนั้นถ้าคุณไม่มีเวลา ให้สือเย่พามาส่ง หรือให้ฉันไปรับเธอเองก็ได้”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็ก้มตัวลงแล้วพูดกับเฉินมู่ว่า “ถ้าลูกไม่ยอมให้คุณพ่อไป ลูกก็กลับไปกับคุณพ่อ ถ้าลูกคิดถึงแม่ค่อยกลับมาหาแม่ดีไหมจ๊ะ”
เฉินมู่ขมวดคิ้วแน่น “คุณแม่ก็ไปด้วยสิคะ”
“แม่ไม่ไปจ้ะ ถ้าลูกคิดถึงแม่ แม่จะไปหาลูกจ้ะ” มู่น่อนน่อนลูบหัวเธอ “เป็นเด็กดีด้วยนะจ๊ะ”
เฉินมู่ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเธอไม่พอใจเล็กน้อย
เธอมองไปที่เฉินถิงเซียว จากนั้นก็มองไปที่มู่น่อนน่อน จากนั้นเธอก็ก้มหน้าลง สีหน้าบูดบึ้งไม่พูดอะไรอีก
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปเปิดประตู “คุณกลับไปเถอะค่ะ เสื้อผ้าของมู่มู่และของใช้ประจำวันมีอยู่ในบ้านของคุณครบทุกอย่าง ที่บ้านคุณมีคนใช้ พวกเขาจะดูแลมู่มู่เอง”
เพราะอย่างนี้ เธอถึงได้วางใจปล่อยให้เฉินถิงเซียวพาเฉินมู่กลับไปด้วย
เฉินถิงเซียวไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เขาขมวดคิ้ว แล้วพาเฉินมู่ออกไป
มู่น่อนน่อนยืนอยู่ที่ประตู แล้วมองดูทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์ ก่อนจะปิดประตูและกลับเข้าไปในห้อง
เฉินถิงเซียวพาเฉินมู่เข้าไปในลิฟต์
พอเขากดปุ่มชั้นที่จะลง เขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากข้างๆ เขา
เขาหันไปมอง ก็พบว่าเฉินมู่กำลังยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา
คิ้วของเฉินถิงเซียวขมวดขึ้น เขาพูดอย่างเย็นชา “ทำไมถึงร้องไห้?”
เฉินมู่เหลือบมองเขา แล้วร้องไห้ออกมา
“แง…แงแงแง…”
คนตัวเล็กร้องไห้น้ำตานองหน้า จมูกและตาแดงไปหมด แล้วยังปาดน้ำตาไม่หยุด
เสียงร้องของเฉินมู่ดังก้องไปทั่วทั้งลิฟต์
สายตาของเฉินถิงเซียวเริ่มหมดความอดทน เขาเอื้อมมือออกไปแล้วอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา
บางทีเมื่อก่อนเขาคงเคยอุ้มเฉินมู่มาก่อน ดังนั้นพอเขาอุ้มเธอ ท่าทางชำนาญของเขาทำให้เขาเองยังต้องตกใจเล็กน้อย
เฉินถิงเซียวพยายามทำให้น้ำเสียงของเขาดูอ่อนโยนมากที่สุด “หยุดร้องไห้ได้แล้ว”
เฉินมู่ร้องไห้หนักมาก แล้วพูดสะอึกสะอื้น “ทำไมคุณแม่ไม่มาด้วยคะ…คุณ…ไม่ให้เธอมา…”