ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 443 เธอดังอยู่แล้ว
ถึงแม้เฉินมู่จะสะอึกสะอื้นไปด้วยพูดไปด้วย แต่เฉินถิงเซียวก็สามารถฟังเข้าใจความหมายในคำพูดของเธอได้อย่างน่าประหลาด
เฉินมู่ต้องการให้ครอบครัวของพวกเธอสามคนอยู่ด้วยกัน แต่การแสดงออกของเธอมีจำกัด ดังนั้นจึงไม่สามารถพูดอย่างที่ใจคิดได้
เฉินถิงเซียวพูดว่า “ทำไมฉันจะไม่ให้เธอมาล่ะ เธอไม่อยากมาเอง”
พอได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียว เฉินมู่ที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ก็มองหน้าเขาอย่างจริงจัง
เฉินมู่พูดอย่างดื้อดึง “เธออยากมา”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วมองเธอ “อย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมเธอถึงไม่มาล่ะ”
เขาคิดว่าเด็กน้อยคนนี้น่าสนใจมาก เมื่อตะกี้ยังร้องไห้หนักมากขนาดนั้น ตอนนี้เธอกลับไม่ร้องไห้แล้ว ถึงไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด แต่เธอก็ยังโต้เถียงกับเขาอย่างไม่ยอมแพ้
เฉินมู่สับสนกับคำพูดของเฉินถิงเซียว เธอหน้าบึ้ง แล้วพูดอย่างโมโห “เธออยากมา!!”
“โอเค” เฉินถิงเซียวสูดหายใจเข้าลึก “เธออยากมาด้วย”
ในเวลานี้เอง ลิฟต์ก็ลงมาถึงชั้นหนึ่ง เฉินถิงเซียวก็อุ้มเธอเดินออกจากลิฟต์ไป
เขาวางเฉินมู่ลง แล้วจูงมือเธอเดินออกไป
ทันใดนั้นเอง เฉินมู่ก็สะบัดมือออก แล้วหันหลังวิ่งไปทางลิฟต์
เฉินถิงเซียวมองไปที่มือของตัวเองที่ว่างเปล่า แล้วเดินตามไป
เฉินมู่กำลังเขย่งกดลิฟต์ แต่มือของเธอเอื้อมไม่ถึงปุ่มกดลิฟต์ เหลืออีกแค่นิดเดียวก็จะถึงแล้ว
เฉินถิงเซียวก้มตัวลง ก่อนที่เขาจะเหยียดแขนยาวออกไป แล้วคว้าเฉินมู่ขึ้นมา แบกไว้บนไหล่ของเขาแล้วเดินออกไป
“ปล่อยนะ!” เฉินมู่ดีดดิ้นขาไปมา “ปล่อยหนูลงเดี๋ยวนี้นะ”
เฉินถิงเซียวพาเธอไปที่ลานจอดรถโดยไม่พูดอะไร
เขาใช้มือข้างหนึ่งกดกุญแจรถ แล้วเปิดประตูด้วยมือเดียว ก่อนจะยัดเธอเข้าไปในรถ
เบาะหลังของรถมีเบาะนั่งสำหรับเด็กที่น่าจะติดตั้งไว้นานแล้ว
เฉินถิงเซียววางเธอลงเบาะนั่งสำหรับเด็ก แล้วรัดเข็มขัดนิรภัย พอเห็นเฉินมู่ยังดูโมโหมาก สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมลง “นั่งดีๆ อย่าดิ้น อย่าร้อง!”
เฉินมู่หดไหล่ด้วยความตกใจ แล้วเหลือบมองเขาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามองเขาอีก
เธอยังคงกลัวเขามาก
เฉินถิงเซียวปิดประตูรถอย่างพึงพอใจ แล้วเดินไปเปิดประตูด้านหน้าเข้าไปนั่งเพื่อขับรถออกไป
ตอนที่เขาสตาร์ทรถ เขาเหลือบไปมองที่เฉินมู่ผ่านกระจกมองหลัง พอเห็นเธอกำลังก้มหน้าก้มตาเล่มเข็มขัดนิรภัย เขาก็มองไปทางด้านหน้าอีกครั้ง
ปกติจะใช้เวลาขับรถเพียงยี่สิบนาที วันนี้เขาขับรถถึงบ้านช้าไปอีกสิบนาที
รถมาหยุดจอดที่ประตูบ้าน พอออกมาเปิดประตูรถไปดูเฉินมู่ ก็พบว่าเธอหลับไปแล้ว
เฉินถิงเซียวโน้มตัวเข้าไปอุ้มเธอขึ้นมา แล้วพูดด้วยเสียงที่เบาว่า “กินอิ่มแล้วก็นอน”
สือเย่เพิ่งอาศัยอยู่ในบ้านของเฉินถิงเซียว พอเห็นเฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ไว้ในอ้อมแขนก็ต้องตกใจเล็กน้อย
หลังจากตกใจ เขาก็นึกถึงสิ่งที่เฉินถิงเซียวพูดครั้งล่าสุดขึ้นมา เขาก็อดที่จะรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้ “คุณชายครับ คุณพามู่มู่กลับมาได้ยังไงกันครับ”
เฉินถิงเซียวแอบขโมยเฉินมู่กลับมาหรือเปล่า?
เฉินถิงเซียวเดินเข้ามาโดยไม่เหลือบตามองเขาเลย “เธอยืนยันที่จะกลับมาพร้อมกับฉันเอง”
แม้ว่าตอนเพิ่งออกจากลิฟต์มา เฉินมู่อยากจะวิ่งกลับ แต่พอออกมากับเขาแล้ว เฉินมู่ก็ยอมตามเขามาอย่างสมัครใจ
เฉินถิงเซียวอุ้มเฉินมู่ไปที่ห้องของเธอ
หลังจากที่เขาวางเฉินมู่ลงบนเตียง เขาก็ต้องหยุดชะงักไป
ไม่มีใครบอกเขาว่านี่คือห้องของเฉินมู่ เขากลับอุ้มเฉินมู่เข้ามาในห้องนี้ได้โดยสัญชาตญาณ
เขามองไปที่เฉินมู่สักพัก แล้วหันหลังเดินออกไป
สือเย่ยืนอยู่หน้าประตู
เฉินถิงเซียวสั่งเขา “ไปเรียกสาวใช้มา”
สือเย่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วลงไปชั้นล่าง ก่อนจะเรียกสาวใช้ให้มาดูแลเฉินมู่
เฉินถิงเซียวไปที่ห้องทำงาน
สือเย่เดินตามมาอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เฉินถิงเซียวนั่งลง เขาก็จำคำถามที่มู่น่อนน่อนถามเขาก่อนหน้านี้ได้
เขาเงยหน้าขึ้นมองสือเย่ แล้วถามว่า “เรื่องผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิต ได้ความว่ายังไงบ้าง”
“คนที่ทำอาชีพด้านการสะกดจิตมีไม่มาก และผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตระดับแนวหน้า ก็มีพฤติกรรมแปลกมากด้วย…” สือเย่หยุดพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปกะทันหัน
“อีกอย่าง ผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตระดับสูงแบบนี้ มักจะจะมีนิสัยพิสดารเล็กน้อย หลังจากที่พวกเขารักษาผู้ป่วยแล้ว พวกเขาจะสะกดจิตผู้ป่วยอีกครั้ง เพื่อให้ผู้ป่วยลืมหน้าตาของพวกเขาไป”
พอสือเย่พูดจบ เขาก็หันไปมองสีหน้าของเฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวัง
เฉินถิงเซียวหรี่ตาเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาเย็นชาจนทิ่มแทงเข้าถึงกระดูก “จะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของคนที่ถูกเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้นเลย?”
สือเย่พยักหน้าอย่างรู้สึกผิด จึงก้มหน้าลงไม่พูดอะไรอีก ถือว่ายอมรับกับสิ่งที่เขาพูด
“เหอะ”
สักพัก เฉินถิงเซียวก็ยิ้มเยาะออกมา แล้วพูดว่า “น่าสนใจจริงๆ ตามหาต่อไป ฉันไม่เชื่อ ว่าเขาจะซ่อนตัวได้ตลอดชีวิต!”
“ครับ”
……
พอไม่มีเฉินมู่ บ้านก็ดูเงียบเหงามาก
มู่น่อนน่อนทำอาหารเช้าเสร็จ และกำลังจะเรียกเฉินมู่มากินข้าว แต่นึกขึ้นได้ว่าเฉินถิงเซียวพาเฉินมู่ไปเมื่อคืนนี้
ไม่คุ้นเคยเลยจริงๆ
มู่น่อนน่อนอ่านข่าวบันเทิง ในขณะที่กินข้าวเช้าไปด้วย
ถึงจะผ่านไปแล้วสองสามวัน ยังคงมีข่าววิพากษ์วิจารณ์ Weibo ที่เธอเคยโพสต์ไว้ก่อนหน้านี้
“มู่มู่ ผู้เขียนบท “เมืองพัง” ที่หายตัวไปเมื่อสามปีก่อน ได้โพสต์ Weibo เมื่อไม่กี่วันก่อน ทำให้เกิดกระแสฮือฮาขึ้นมา นอกจากแฟนๆ แล้ว ยังมีผู้เกี่ยวข้องในวงการต่างก็ติดตามการเคลื่อนไหวของนักเขียนบทมู่มู่ด้วย แล้วยังมีคนชอบดูข่าวซุบซิบ ไม่รู้ว่าจะยังจำกันได้หรือเปล่า ว่าคนเขียนบทคนนี้คือ มู่น่อนน่อน อดีตภรรยาของคุณชายเฉิน…”
“อีกประเด็นที่สำคัญคือ หลังจากที่มู่น่อนน่อนหายตัวไป ข่าวลือเรื่องของเธอทางอินเทอร์เน็ตก็หายไปด้วย และก่อนที่เธอจะหายตัวไปได้ข่าวว่าเธอมีแฟนใหม่แล้ว ชาวเน็ตบางคนคาดเดาว่าในช่วงสามปีที่เธอหายตัวไปอาจจะเกี่ยวกับแฟนใหม่ที่เธอคบ หรือไม่ก็…”
รายงานที่ไม่มีประโยชน์ประเภทนี้ อ่านเพื่อความบันเทิงก็พอจะได้
มู่น่อนน่อนอ่านข่าวจนจบ
เนื้อหาทั้งหมดถูกแต่งขึ้นมาเอง ไม่มีความจริงเลยสักนิด มันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด
นักข่าวสมัยนี้เขียนข่าว ล้วนแต่พึ่งพาจินตนาการของตัวเองหรือไงกัน?
แฟนใหม่?
เธอไปเอาแฟนใหม่มาจากไหน?
มู่น่อนน่อนพยายามคิดทบทวนอย่างละเอียด ในตอนนั้นเหมือนว่าลี่จิ่วเชียนจะหาเธอเจอ แล้วถูกนักข่าวถ่ายรูปได้แล้วบอกว่าเธอมีแฟนใหม่แล้ว
ต่อมาเธอก็ถูกซือเฉิงหยู้ลักพาตัวไป
หลังจากอ่านข่าวจบ มู่น่อนน่อนก็ไม่ลืมที่จะอ่านความคิดเห็นด้านล่าง
“จริงเหรอเนี่ย ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “เมืองพัง” คืออดีตภรรยาของเฉินถิงเซียวอย่างนั้นเหรอ เธอจ้างคนเขียนแทนหรือเปล่า?”
“คุณนักเขียนอย่าพูดอะไรเปล่าประโยชน์ พวกเราแค่อยากรู้ว่า“เมืองพังภาค2” จะมาเมื่อไหร่คะ? ตอนจบของภาคแรกมีพิรุธค้างคาเยอะมาก ต้องมีภาคสองแน่เลยใช่ไหมคะ?”
“จะแฟนใหม่หรือสามีเก่าอะไรก็ช่างเถอะ ฉันแค่อยากรู้ว่าภาคสองของ “เมืองพัง” จะถูกถ่ายทำหรือเปล่า”
“เราไม่ได้ดู”เมืองพัง” แค่อยากจะรู้ว่าคนที่ชื่อมู่อะไรนี่ อยากดังมากเลยใช่ไหม ช่วงนี้เห็นข่าวเธอบ่อยมาก ซื้อให้ข่าวดังเสียไปเท่าไหร่แล้ว”
ด้านล่างของความคิดเห็นล่าสุด มีความคิดเห็นตอบกลับเยอะมาก
“ตัวเองไม่ได้ดู ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่ได้ดู”
“เธออยากดัง? ถึงเธอไม่อยากดัง เธอก็ดังอยู่แล้ว”
“ฉันว่าคุณต่างหากที่อยากดัง ตั้งใจจะมาให้ด่าใช่ไหม ฉันจะได้สนองให้…”