ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 447 เพราะความยอมให้ของพวกเธอ
มู่น่อนน่อนถอยหลังไปครึ่งก้าว ใบหน้าของเธอซีดเล็กน้อย “ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ อาการบาดเจ็บของเขาใกล้จะหายดีแล้ว”
มู่หวั่นขีหัวเราะ แต่สิ่งที่เธอพูดออกมานั้นกลับท้าทายมาก “ถ้าอย่างนั้นเธอคงต้องขอบคุณฉันจริงๆ ที่ตัดแค่สายเบรก”
มู่น่อนน่อนกำหมัดแน่น นิ้วมือของนางก็ซีดขึ้นเล็กน้อย
เธอมองหน้ามู่หวั่นขีด้วยสายตาที่เย็นชา และเสียงของเธอก็เย็นชาด้วยเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้นคุณก็อธิษฐานไว้ด้วย ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคุณจะปกป้องคุณได้ตลอดชีวิต”
แววตาบ้าคลั่งแวบขึ้นมาในดวงตาของมู่หวั่นขี ก่อนที่เธอจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ชั่วร้าย “ทำไมจะต้องปกป้องฉันไปชั่วชีวิตด้วย เธอคิดว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดชีวิตเหรอ ขอแค่แก้แค้นให้เฉิงหยู้ได้ ฉันจะมีชีวิตนานแค่ไหนก็ไม่สำคัญแล้ว”
มู่น่อนน่อนได้ยินแบบนั้น รูม่านตาของเธอก็หดเล็กลง และเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น “มู่หวั่นขี การตายของซือเฉิงหยู้เกี่ยวอะไรกับพวกฉันด้วย เขาเป็นคนฝังระเบิดไว้บนเกาะเอง ฉันก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายด้วย”
“ผู้เคราะห์ร้ายเหรอ เหอะ!”
มู่หวั่นขีส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา ริมฝีปากสีแดงสดของเธอยกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ถูกข่มอารมณ์ไว้ “เธอเป็นผู้เคราะห์ร้าย แล้วทำไมเธอถึงยังมีชีวิตอยู่ แต่เฉิงหยู้กลับต้องตาย ทำไมเธอกับเฉินถิงเซียวยังมีชีวิตทั้งคู่ มีเพียงเฉิงหยู้เท่านั้นที่ตายไป!”
หลังจากที่มู่หวั่นขีพูดจบ สีหน้าของเธอก็เริ่มดุร้ายน่ากลัว
อารมณ์ของเธอไม่คงที่เล็กน้อย เสียงของเธอก็สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว เธอพูดเสียงแหลม “เธอบอกฉันสิว่าทำไม ทำไมไม่ใช่เธอที่ตาย แต่เป็นเฉิงหยู้!”
เสียงของมู่หวั่นขีดังจนเริ่มดึงดูดความสนใจของคนอื่นแล้ว
มู่น่อนน่อนมองท่าทางบ้าคลั่งของเธอด้วยสายตาที่เย็นชา มู่หวั่นขีได้สูญเสียพื้นฐานการพิจารณาว่าอะไรถูกอะไรผิดไปแล้ว
ในสายตาของเธอ ไม่ว่ามู่น่อนน่อนกับเฉิงถิงเซียวจะทำผิดหรือเปล่า การตายของซือเฉิงหยู้ก็เป็นความผิดของพวกเขา
ตั้งแต่ยังเด็ก มู่หวั่นขีใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหมือนเจ้าหญิงของตระกูลมู่
เซียวชู่เหอตามใจเธอทุกอย่าง และเพราะเซียวชู่เหอ มู่น่อนน่อนก็ทำตามคำพูดของมู่หวั่นขีมาตลอด
เป็นเพราะความยอมให้ของพวกเธอที่ทำให้มู่หวั่นขีกลายเป็นแบบทุกวันนี้
พอมู่หวั่นขีเรื่องเจอที่ไม่น่าพอใจ เธอมักจะโยนความผิดให้คนอื่น ไม่เคยคิดโทษตัวเอง
มู่น่อนน่อนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นั่นเป็นเพราะกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง!”
อารมณ์ของมู่หวั่นขีเหมือนจะควบคุมไม่ได้แล้ว เธอมองไปที่มู่น่อนน่อนด้วยดวงตาที่เย็นชา จากนั้นก็ยกมือขึ้นเพื่อจะตบหน้าเธอ
แต่ว่า มู่น่อนน่อนจับตาดูความเคลื่อนไหวของมู่หวั่นขีมาตลอด เธอสูงกว่ามู่หวั่นขีเล็กน้อย และจับข้อมือของมู่หวั่นขีไว้ทัน
มือของมู่หวั่นขีถูกสกัดไว้ ทำให้เธอมีท่าทางโกรธมากขึ้น “มู่น่อนน่อน ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!”
มู่น่อนน่อนไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยมือ แต่กลับดึงเธอเข้าหาอย่างแรง
มู่หวั่นขีถูกดึงจนเซไปสองก้าวและเกือบจะล้มลง
มู่น่อนน่อนพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “คนที่ไม่มีทางสำนึกผิด ไม่ช้าก็เร็ว เธอจะต้องได้รับผลกรรมที่ตามมาแน่นอน”
“นี่เธอ…” มู่หวั่นขีกำลังจะพูด แต่เหอซินเยว่ผู้จัดการของเธอไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน “หวั่นขี”
เหอซินเยว่พูดขัดคำพูดของมู่หวั่นขี แล้วเอื้อมมือออกไปดึงมู่หวั่นขี แต่มู่น่อนน่อนกลับไม่ยอมปล่อยมือ
ครั้งที่แล้วเหอซินเยว่ก็ไปโรงพยาบาลด้วยกัน ดังนั้นเธอจึงรู้จักมู่น่อนน่อนด้วย
เมื่อตะกี้เธอเพิ่งได้ยินว่าคนเขียนบท “เมืองพัง” มาร่วมงานคืนนี้ด้วย ยังคิดจะพามู่หวั่นขีไปทำความรู้จักกับผู้เขียนบท “เมืองพัง” แต่เธอคิดไม่ถึงว่ามู่น่อนน่อนจะเป็นคนเขียนบท “เมืองพัง”
เหอซินเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองไปทางมู่น่อนน่อน “คุณมู่คะ ช่วยปล่อยมือด้วยค่ะ”
“ดูแลนักแสดงของคุณให้ดี ไม่อย่างนั้น ถึงตอนนั้นตายไปพร้อมกับเธอตอนไหนยังไม่รู้เลย” มู่น่อนน่อนสะบัดมือของมู่หวั่นขีทิ้ง คำพูดประโยคหลังเธอพูดเสียงเบามาก
เหอซินเยว่พยุงมู่หวั่นขี แล้วยิ้มเยาะเย้ย “อาการบาดเจ็บของผู้ชายคนนั้นหายดีแล้วเหรอคะ ถึงแม้บางครั้งหวั่นขีจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่คุณจะทำอะไรกับเธอได้?”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอเหลือบมองมู่น่อนน่อนอย่างดูถูก แล้วจากไปพร้อมกับมู่หวั่นขี
ฉินสุ่ยซานเพิ่งคุยกับผู้กำกับเสร็จ และสังเกตเห็นการท่าทางของมู่น่อนน่อน แต่เธอไม่สามารถแยกร่างออกมาได้ ดังนั้นดังนั้นตอนนี้เธอเพิ่งจะเดินเข้ามา
เธอเอ่ยถามมู่น่อนน่อน “มีอะไรหรือเปล่า”
มู่น่อนน่อนส่งยิ้มให้เธอ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร เธอไปยุ่งต่อเถอะ ฉันรับมือเองได้”
“ได้ ถ้าจัดการเองไม่ได้ ให้รีบไปเรียกฉันนะ” ฉินสุ่ยซานพยักหน้าให้เธอ แล้วหันกลับไปคุยงานต่อ
มู่น่อนน่อนเงยหน้าขึ้นมองไปทางที่มู่หวั่นขีเดินจากไป
เหอซินเยว่พามู่หวั่นขีออกจากฝูงชน เหมือนจะพาเธอไปเข้าห้องน้ำ
ไปห้องน้ำจะต้องไปด้วยกันสองคนเลยหรือไง?
มู่น่อนน่อน่มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง แล้วเดินตามไป
เธอเดินผ่านฝูงชนไป แล้วรีบตามมู่หวั่นขีกับเหอซินเยว่ไป
ด้านหน้ามีเสียงตะโกนอย่างอารมณ์เสียของมู่หวั่นขีดังขึ้นมา “ปล่อยฉันนะ ฉันเดินไปเองได้”
เหอซินเยว่ปล่อยมือ “หวั่นขี เธอต้องอดทนบ้าง ที่นี่มีคนเยอะมาก มันจะน่าขายหน้ามากถ้าเธอมีปัญหากับมู่น่อนน่อน ฟังฉันสิ…”
“เพี๊ยะ!”
ก่อนที่เหอซินเยว่จะพูดจบ มู่หวั่นขีก็ยกมือขึ้นและตบหน้าเธออย่างแรง
“นี่เธอกำลังสอนให้ฉันอยู่หรือไง เธอมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนฉัน ฉันใจดีกับเธอมากไปใช่ไหม” มู่หวั่นขีพูดจบ แล้วตบหน้าของเหอซินเยว่อีกครั้ง
“จำไว้ให้ขึ้นใจ ฉันจะทำอะไร เธอก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่ง” มู่หวั่นขียกมือกอดอก เธอเหมือนยังโกรธไม่หาย จึงยกเท้าเตะเธออย่างแรงอีกครั้ง
เหอซินเยว่เกือบจะล้มลงกับพื้น แต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ
สักพัก เหอซินเยว่ก็หยิบกล่องยาออกมาจากกระเป๋าของเธอ เทยาสองเม็ดออกมา แล้วยื่นให้มู่หวั่นขี “หวั่นขี รีบกินยาก่อน”
“ฉันบอกเธอกี่ครั้งแล้ว ว่าฉันไม่ได้มีปัญหาทางจิต ตอนนี้ฉันปกติดีแล้ว ไม่ต้องกินยาแล้ว!” มู่หวั่นขีมองไปที่เธอ แล้วหันหลังเดินจากไป
เหอซินเยว่หยิบยาขึ้นมาจากพื้น แล้วมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เหมือนกำลังดูให้แน่ใจว่าไม่มีนักข่าวอยู่แถวนี้
พอแน่ใจว่าไม่มีนักข่าวอยู่แถวนี้ เธอจึงรีบเดินตามมู่หวั่นขีไป
หลังจากที่ทั้งสองออกไปแล้ว มู่น่อนน่อนถึงเดินออกมาจากด้านข้าง
มู่น่อนน่อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เจอกับมู่หวั่นขีหลายครั้งที่ผ่านมา และหลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว เธอก็พบสิ่งผิดปกติ
สมัยก่อนเธอกับมู่หวั่นขีไม่ถูกกัน มู่หวั่นขีพูดเยาะเย้ยเธอทุกครั้งที่พบกัน แต่เธอกลับไม่เหมือนตอนนี้ แค่พูดสองสามคำก็สูญเสียการควบคุมอารมณ์ไป และทำท่าทางเหมือนจะฉีกเธอออกเป็นชิ้นๆ
ที่แท้ ตอนนี้มู่หวั่นขีก็มีปัญหาทางจิต ถึงได้สูญเสียการควบคุมอารมณ์ง่ายเป็นพิเศษ
ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ไม่มีใครสามารถแน่ใจได้ว่าเธอจะทำอะไรบ้าง
มู่น่อนน่อนหันหลังกลับ แล้วเดินเข้าไปในงานช้าๆ แต่ความคิดของเธอกลับลอยไปไกลแล้ว
ตอนนี้มู่หวั่นขีพุ่งเป้าหมายมาที่เธอแล้ว และลี่จิ่วเชียนเป็นคนแรกที่ต้องรับเคราะห์เพราะเธอ
และมู่หวั่นขีตอนนี้ยังไม่กล้าทำอะไรเฉินถิงเซียว แต่ถ้าเธอรู้เรื่องการมีอยู่ของเฉินมู่ เธอกลัวว่า…