ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 486 คุณอยากรู้ ผมก็ต้องบอกคุณงั้นเหรอ?
ถึงคนที่พูดน้อยแค่ไหน ตอนที่นิสัย คำพูดและการกระทำเกิดการเปลี่ยนแปลง คนที่ใกล้ชิดที่สุดล้วนสามารถสังเกตเห็นความผิดปกติได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงของเฉินถิงเซียวค่อนข้างชัดเจน
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
ตอนนี้ในใจเธอยังกังวลอีกเรื่องนึงอยู่
นั่นก็คือลี่จิ่วเชียน
เรื่องของลี่จิ่วเชียนยืดเยื้อมานานพอแล้ว ขืนยืดเยื้ออีกต่อไป เธอกลัวจะเกิดเรื่องอีก สู้ถามให้รู้ชัดโดยเร็วไปเลยดีกว่า
ทานอาหารเช้าเสร็จ มู่น่อนน่อนพูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจ:“คุณกับมู่มู่จะไปตอนนี้เลยหรือเปล่าคะ?ฉันมีธุระต้องออกไปค่ะ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“คุณจะไปไหน?”
“ไปถามอะไรลี่จิ่วเชียนหน่อยค่ะ”มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ปิดบัง
เฉินถิงเซียวเงียบไปครู่นึง จู่ๆได้เปิดปากพูดคำนึง:“ผมไปด้วย”
“คุณไปทำไมคะ?”มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอย่อมไม่คิดอยู่แล้วว่าที่เฉินถิงเซียวไปเป็นเพราะว่าเธอไปเขาถึงได้ตามไปด้วย
เฉินถิงเซียวพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“ไปหาหมอ”
……
รถยนต์ได้จอดลงที่หน้าศูนย์ให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาของลี่จิ่วเชียน
เฉินถิงเซียวนั่งอยู่เบาะนั่งฝั่งคนขับ มู่น่อนน่อนนั่งอยู่เบาะนั่งข้างคนขับ
เธอมองผ่านกระจกรถแว๊บนึง ศูนย์ของลี่จิ่วเชียนน่าจะเพิ่งเปิดทำการ ยังสามารถเห็นพนักงานทำความสะอาดกำลังทำความสะอาดอยู่
ทั้งสองมาทำเรื่องทางการ ก็เลยไม่ได้ให้เฉินมู่มาด้วย เฉินถิงเซียวได้โทรให้คนมารับเธอกลับวิลล่าไปแล้ว
มู่น่อนน่อนเปิดประตูรถลงไป และได้หันมาทางเฉินถิงเซียว:“ฉันโทรหาลี่จิ่วเชียนก่อนค่ะ”
เฉินถิงเซียวกำลังจะพูด จู่ๆแววตาได้เคร่งขรึมขึ้นมา เขามองไปที่ข้างหน้าแล้วพูด:“ไม่ต้องโทรแล้ว”
มู่น่อนน่อนมองไปตามสายตาของเขา ก็เห็นลี่จิ่วเชียนกำลังขับรถมาทางนี้อย่างช้าๆ
“บังเอิญจังเลยครับ?พวกคุณมาด้วยกันเหรอครับ?”
ลี่จิ่วเชียนลงจากรถ ชุดสูทสีขาวทั้งตัวค่อนข้างแสงจ้าตา
เขาพูดจบ ก็ได้หันมาทางมู่น่อนน่อน:“น่อนน่อน จะมาทำไมไม่โทรบอกผมก่อนล่ะครับ ถ้าเกิดตอนที่คุณมาผมมีคนไข้อยู่ คุณไม่ใช่ต้องวิ่งเสียเที่ยวเลยเหรอ?”
มู่น่อนน่อนยิ้มแล้วพูด:“ฉันกำลังจะโทรหาคุณ คุณก็มาพอดีเลยค่ะ อีกอย่างตอนนี้คุณก็ยังไม่มีคนไข้ไม่ใช่เหรอคะ”
ลี่จิ่วเชียนยิ้ม จากนั้นสายตาได้หล่นอยู่บนรถยนต์คันที่อยู่ด้านหลังของทั้งคู่
เขารู้ว่ามู่น่อนน่อนก็ได้ซื้อรถแล้วเหมือนกัน และข้างหลังของทั้งคู่มีรถอยู่แค่คันเดียว แถมยังเป็นรถเบนลี่ด้วย
รถเบนลี่คันนี้ย่อมเป็นของเฉินถิงเซียวอยู่แล้ว
นั่นก็หมายความว่า เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนมาด้วยกัน ไม่ได้มาเจอกันที่นี่โดยบังเอิญ
ลี่จิ่วเชียนดึงสายตากลับอย่างเป็นธรรมชาติมาก พร้อมยิ้มอ่อนๆ:“เชิญมากับผมครับ”
มาถึงออฟฟิศ ลี่จิ่วเชียนให้เลขารินน้ำชาให้เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อน ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม:“ผมคิดไม่ถึงเลยว่าคุณเฉินจะมารักษากับผมจริงๆ”
“คุณลี่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ในประเทศหาหมอจิตแพทย์ที่เก่งกว่าคุณไม่ได้แล้วครับ”ถึงแม้คำพูดของเฉินถิงเซียวเหมือนกำลังชื่นชม แต่น้ำเสียงกลับฟังไม่ออกเลยสักนิดว่ากำลังชื่นชมอยู่ สงบนิ่งจนราวกับกำลังบรรยายความจริงอย่างนึง
ราวกับกำลังบอกว่า:ถ้าไม่ใช่ว่าในประเทศหาหมอจิตแพทย์ที่เก่งกว่าคุณไม่ได้ ผมจะมาหาคุณเหรอ?
แต่ลี่จิ่วเชียนจะเข้าใจเป็นแบบนี้หรือเปล่า อันนี้ก็ไม่รู้แล้ว
รอยยิ้มบนใบหน้าของลี่จิ่วเชียนจางลงมาเยอะ เขาหยิบหนังสือออกมาแล้วพูดว่า:“คุณเฉินลองเล่าอาการคร่าวๆของคุณหน่อยครับ”
เฉินถิงเซียวไม่ได้เปิดปากพูดทันที แต่ได้หันหน้าไปมองมู่น่อนน่อนแล้วพูด:“คุณเล่า”
“อาการของคุณ แต่คุณให้ฉันเล่า?”
เฉินถิงเซียวย้อนถามเธอ:“คุณรู้ดีกว่าผม ไม่ใช่เหรอ?”
มู่น่อนน่อนคิดดูดีๆแล้ว เหมือนจะเป็นแบบนี้จริงๆด้วย
เฉินถิงเซียวคือผู้เกี่ยวข้อง ความทรงจำของเขาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง ในฐานะที่เป็นคนใกล้ชิดของเขา กลับรับรู้ได้ชัดเจนกว่า
มู่น่อนน่อนหายใจลึกๆแล้วพูดว่า:“โอเคค่ะ งั้นฉันช่วยคุณเล่า”
จากนั้น เธอได้หันหน้าไปทางลี่จิ่วเชียนแล้วเริ่มเล่าด้วยสีหน้าจริงจัง:“เร็วสุดคือเมื่อสามปีก่อน เฉินถิงเซียวเคยถูกนักสะกดจิตสะกดจิตอย่างล้ำลึก ได้ลืมคนและความทรงจำของก่อนหน้านี้ไปหมด ก่อนหน้านี้อาการได้ดีขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ความทรงจำของเจ็ดแปดปีก่อนกลับได้หายไปอีกค่ะ…… ”
มู่น่อนน่อนพยายามให้ตัวเองสื่อสารออกมาให้เข้าใจง่าย เธอพูดจบก็ได้ถามลี่จิ่วเชียนว่า:“คุณเข้าใจหรือยังคะ?”
“ผมก็ต้องเข้าใจอยู่แล้วครับ”ลี่จิ่วเชียนชะงักไปครู่นึง ถึงได้พูดต่อ:“แต่ว่า เมื่อเทียบกับอาการป่วยของคุณเฉิน ที่ผมอยากรู้มากกว่าคือ ตอนนั้นใครเป็นคนสะกดจิตให้คุณเฉินครับ”
เฉินถิงเซียวส่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา:“คุณอยากรู้ ผมก็ต้องบอกคุณงั้นเหรอ?คุณนึกว่าคุณคือใคร?”
น้ำเสียงยโสโอหังสุดๆ นี่แหละเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนกดมือของเขาไว้อย่างสงบเยือกเย็น ส่งสัญญาณให้เขาว่าเพลาๆหน่อย
เฉินถิงเซียวหันมามองเธอแว๊บนึง สีหน้าแววตาไม่ชัดเจน
ลี่จิ่วเชียนเคยเปิดหูเปิดตากับนิสัยของเฉินถิงเซียวตั้งนานแล้ว เขาได้เก็บสีหน้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นโกรธจนแตกคอกัน
“ในเมื่อคุณเฉินไม่อยากพูด งั้นผมก็ไม่ฝืนใจครับ”ลี่จิ่วเชียนลุกขึ้นมา:“เรื่องสะกดจิตผมก็รู้แค่นิดหน่อย ไม่ถึงขั้นสามารถให้คุณหายดีหมด แต่สามารถช่วยคุณฟื้นฟูได้ครับ”
เฉินถิงเซียวยังไม่ได้ส่งเสียง กลับเป็นมู่น่อนน่อนที่ถามด้วยความตื่นเต้น:“คุณจะทำยังไงคะ?”
ลี่จิ่วเชียนเอาไฟแช็คออกมาอันนึงจากลิ้นชักของโต๊ะทำงาน จากนั้นได้พูดกับมู่น่อนน่อนด้วยรออยิ้ม:“ความจำเสื่อมและความทรงจำสับสนที่เกี่ยวข้องกับการสะกดจิต ก็ต้องใช้การสะกดจิตมาแก้ไขสิครับ”
“แช็ก”เสียงนึง ลี่จิ่วเชียนได้กดปุ่มเปิดปิดของไฟแช็ค ได้เก็บสีหน้าอารมณ์บนใบหน้าไว้หมดในทันที:“เฉินถิงเซียว จ้องมันไว้”
ลี่จิ่วเชียนถือไฟแช็คขึ้นมาให้สูง และบอกให้เฉินถิงเซียวจ้องเปลวไฟของไฟแช็คไว้
เฉินถิงเซียวให้ความร่วมมือเขามาก
“คุณชื่อเฉินถิงเซียว คุณเป็นประธานของบริษัทตระกูลเฉิน ปีนี้คุณอายุสามสิบ คุณคือ……”
เสียงของลี่จิ่วเชียนทุ้มต่ำและช้า ฟังแล้วไพเราะเสนาะหู
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ข้างเฉินถิงเซียว เดิมทีแค่จ้องมองไฟแช็คด้วยความแปลกใจ แต่เธอยิ่งจ้องยิ่งเหม่อลอยโดยไม่รู้ตัว จู่ๆรู้สึกโลกได้สงบลง เสียงของลี่จิ่วเชียนก็ได้สูญหายไป
เงียบสงบสุดๆ……
จู่ๆ มือของเธอรู้สึกเจ็บ
เธอดึงสติกลับมาทันที พบว่าเฉินถิงเซียวกำลังบีบมือของเธออยู่
เหมือนจงใจปลุกเธอตื่นยังไงอย่างงั้น หลังจากเธอดึงสติกลับมา เฉินถิงเซียวก็ได้ปล่อยมือเธอ ส่วนเขายังคงจ้องเปลวไฟของไฟแช็คอยู่
ลี่จิ่วเชียนยังคงพูดต่อ แถมได้ปล่อยปุ่มเปิดปิดของไฟแช็คที่กดไว้ออก ตอนที่เปลวไฟดับลง ไม่ได้ส่งเสียง“แช็ก”อีก
มู่น่อนน่อนหันไปมองเฉินถิงเซียว เขามองทิศทางของไฟแช็คด้วยสีหน้าเรียบเฉย สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่หน้าผากของลี่จิ่วเชียนได้มีเหงื่อซึมออกมาแล้ว
ลี่จิ่วเชียนเห็นเฉินถิงเซียวนิ่งอยู่ตั้งนานไม่ส่งเสียง จึงได้ส่งเสียงเรียกเขา:“เฉินถิงเซียว?”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมา น้ำเสียงมีความเยาะเย้ยที่ไม่ปกปิดเลย:“ผมยังนึกว่าที่คุณลี่บอกว่าเข้าใจนิดหน่อยจะแค่ถ่อมตัวเฉยๆ คิดไม่ถึงเลยว่าคุณลี่ไม่เพียงไม่ได้ถ่อมตัว กลับยังพูดเกินจริงอีก”
ลี่จิ่วเชียนพูดด้วยสีหน้าที่ดูแย่:“เมื่อกี๊คุณไม่มีความรู้สึกเลยเหรอครับ?”
เฉินถิงเซียวหัวเราะเย้ยหยัน:“ผมต้องมีความรู้สึกอะไรด้วยเหรอ?”