ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 489 ครอบครัวเดียวกันก็ควรจะอยู่ด้วยกันสิ
เฉินมู่พูดไปด้วย และยื่นมือจับมุมปากของมู่น่อนน่อนไปด้วย
นาทีนี้มู่น่อนน่อนคือนั่งยองๆอยู่ที่ตรงหน้าของเฉินมู่ เฉินมู่แค่ยื่นมือก็แตะโดนมุมปากที่เธอถูกกัดจนถลอกแล้ว
สีหน้าของมู่น่อนน่อนมีความอึดอัดแว๊บผ่าน เธอกำลังจะพูด ก็ได้ยินด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
เฉินถิงเซียวมา
เฉินมู่ได้รีบแบ่งปันเรื่องที่ตัวเองพบเห็นให้กับเฉินถิงเซียวฟัง:“พ่อคะ ปากของแม่ถลอกค่ะ!”
มู่น่อนน่อน:“……”
เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนแว๊บนึง จากนั้นได้ตอบเฉินมู่อย่างบางเบาคำนึง:“อ้อเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”ขาสั้นๆของเฉินมู่ได้วิ่งไปดึงมือของเฉินถิงเซียวมาที่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อน:“พ่อดูสิคะ ที่นี่……”
น้ำเสียงของเฉินมู่ค่อนข้างโอเวอร์ ได้ลากคำว่า“นี่”ยาวมาก
มู่น่อนน่อนได้จ้องเฉินถิงเซียวด้วยความไม่พอใจแว๊บนึง จากนั้นก็ได้ก้มไปอุ้มเฉินมู่ขึ้นมาแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนเลย
“ปากของแม่……”
แขนเล็กๆของเฉินมู่ยังกอดอยู่ที่คอของมู่น่อนน่อน ยังกังวลเรื่องที่ปากของเธอถลอกอยู่
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เจ็บ”มู่น่อนน่อนเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เธออุ้มเฉินมู่ไปห้องนอนที่ก่อนหน้านี้เธอเคยพัก
มู่น่อนน่อนเข้าไปปุ๊บ ก็รีบล็อคประตูทันที
เฉินมู่เห็นมู่น่อนน่อนล็อคประตูแล้ว ได้กระพริบตาปริบๆพร้อมมองเธอด้วยความสงสัย:“ทำไมต้องล็อคประตูด้วยคะ?”
“ถ้าไม่ล็อคประตู เดี๋ยวคนร้ายจะเข้ามาได้ค่ะ”
“คนร้ายอะไรคะ?”
“ก็คนร้ายที่จิตใจไม่ดีไงคะ”
เฉินมู่เอียงศีรษะ หน้าตาเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ อีกทั้งยังได้ขมวดคิ้วและพูดอย่างใสแบ๊ว:“มีพ่อ พ่อหนูเฉินซิงเซียว ตีคนร้าย”
คำนี้ของเธอพูดได้ไม่ค่อยปะติดปะต่อกัน ไม่ได้พูดจบในทีเดียว แต่ตรงกลางได้หยุดสองครั้ง เหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะพูดออกมายังไง
สมองแล่นอย่างไว แต่ความสามารถในการสื่อออกมายังเชื่องช้าอยู่
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่น่อนน่อนได้ยินเฉินมู่พูดคำพูดแบบนี้ เธอค่อนข้างแปลกใจ:“เหรอคะ?พ่อหนูตีคนร้ายเป็นเหรอคะ?”
“อืม……”เฉินมู่เหมือนจะนึกอะไรได้ แต่อยู่ใต้การจับตาดูของมู่น่อนน่อน สุดท้ายก็หาคำพูดเหมาะสมที่จะสื่อออกมาไม่ได้ ก็เลยตอบเสียงหนักไปคำนึงว่า:“อืม!”
เธอกำหมัดไว้ ร่างเล็กๆยืนอยู่ตรงหน้าของมู่น่อนน่อน แหงนหน้าเล็กน้อย ใบหน้าเล็กๆเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
มู่น่อนน่อนถูกเธอหยอกจนขำ ได้ลูบศีรษะเธอ:“ใช่ หนูพูดถูกค่ะ”
จากนั้น เธอได้พาเฉินมู่มาเล่นของเล่นที่ข้างโซฟา
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ด้านนอกได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ตามมาด้วยเสียงของคนรับใช้:“คุณหนูน้อย ทานข้าวเที่ยงแล้วค่ะ”
มู่น่อนน่อนค่อนข้างประหลาดใจ ไม่ใช่เฉินถิงเซียวเหรอเนี่ย
เธอพูดเสียงสูง:“โอเค มาแล้วค่ะ”
พูดจบ เธอก็จูงมือเฉินมู่มาถึงที่หน้าห้องแล้วเปิดประตู
แต่พอเปิดประตูปุ๊บ คนที่ยืนอยู่หน้าห้องคือคนใช้ที่ไหนกัน คือเฉินถิงเซียวชัดๆ
เมื่อเทียบกับความประหลาดใจที่ปกปิดไม่อยู่ของมู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียวดูสงบนิ่งเยอะเลย
“กินข้าว”
ใบหน้าเขาไม่มีสีหน้าที่เห็นได้ชัด น้ำเสียงก็ฟังอารมณ์อะไรไม่ออกเลย
มู่น่อนน่อนหายใจลึกๆทีนึง จากนั้นได้จูงมือเฉินมู่เดินอยู่ที่ข้างหน้า
……
อาหารเที่ยงคือคนรับใช้ที่บ้านเป็นคนจัดเตรียม อุดมสมบูรณ์มาก
มู่น่อนน่อนนึกถึงกับข้าวที่ตัวเองทำให้เฉินถิงเซียวในก่อนหน้านี้แล้วค่อนข้างธรรมดา
ที่โต๊ะอาหาร มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน เฉินถิงเซียวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของพวกเธอ
ข้างโต๊ะอาหารมีคนใช้เฝ้าอยู่ ทั้งห้องอาหารเงียบจนเข็มตกลงไปบนพื้นยังสามารถได้ยินเลย
แน่นอนว่าพอเฉินมู่เด็กน้อยตะกละคนนี้ทานข้าวเสร็จ ความเคลื่อนไหวของห้องอาหารก็เยอะขึ้นมาเลย
เฉินมู่ชอบกิน ตอนที่เพิ่งทานข้าวในทุกมื้อ เธอล้วนจะกินยังจริงจังมาก ผ่านไปสักพักพอทานอิ่มแล้ว ก็จะเริ่มเล่นเลย
เล่นตะเกียบ เล่นช้อนและเขี่ยอาหาร
ไม่ว่าของอะไร เธอมักจะสามารถหาความสนุกสนานที่เป็นแบบฉบับของเธอได้
พอเล่นเสร็จ เฉินมู่ก็จะลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปเล่นที่อื่นต่อ
เก้าอี้ค่อนข้างสูง เฉินมู่ได้ขอความช่วยเหลือจากมู่น่อนน่อน:“แม่คะ……”
มู่น่อนน่อนอุ้มเฉินมู่ลงจากเก้าอี้ เท้าของเธอแตะที่พื้นปุ๊บก็ได้วิ่ง“เตาะแตะๆ”ไปเลย
ทีนี้ ห้องอาหารได้เงียบสงบลงมาอย่างสิ้นเชิง
จู่ๆเฉินถิงเซียวได้พูดออกมาคำนึงว่า:“มู่มู่เหมือนคุณ”
มู่น่อนน่อนหันไปมองเขา เขาได้เสริมอีกคำนึงว่า:“นิสัย”
“ค่ะ”มู่น่อนน่อนตอบอย่างเรียบเฉยคำนึง จากนั้นก็ได้ก้มหน้าทานข้าวอย่างช้าๆ
ที่จริงเธอทานอิ่มแล้ว แต่เธอไม่อยากไปจากห้องอาหารตอนนี้ เหมือนจิตใต้สำนึกของเธออยากจะพูดคุยกับเฉินถิงเซียว
เมื่อเทียบกับช่วงก่อน เฉินถิงเซียวในวันนี้สามารถถือได้ว่าอ่อนโยนแล้ว
นึกถึงคำที่เฉินถิงเซียวพูดในก่อนหน้านี้ เขาจำครั้งที่มู่น่อนน่อนกับเขาขาอยู่ที่จีนติ่งได้……
ตอนนั้น ก่อนหน้านั้นพวกเขาก็มีใจให้แก่กันแล้ว
คาดคะเนจากสิ่งนี้ เฉินถิงเซียวในนาทีนี้ก็มีใจให้เธออยู่
ห้องรับแขกได้เข้าสู่ความเงียบ
เฉินถิงเซียวเหมือนจงใจหาประเด็นมาพูดยังไงอย่างงั้น เขาได้พูดอีกคำนึงว่า:“จือหยั่นพวกเขาจะกลับเมืองหู้หยางในวันพรุ่งนี้แล้ว”
ที่เขาพูดถึงคือกู้จือหยั่น กู้จือหยั่นจะกลับมาแล้ว งั้นเสิ่นเหลียงก็ย่อมต้องกลับมาด้วยเช่นด้วย
มู่น่อนน่อนพยักหน้าแล้วเงียบต่อ
เดิมทีเฉินถิงเซียวก็ไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว ทีนี้ก็ได้เงียบลง
ทั้งๆที่ทั้งสองรู้จักกันมานานขนาดนี้แล้ว แถมยังมีลูกด้วยกัน คนนึงแล้ว นาทีนี้กลับมีความห่างเหินที่อธิบายไม่ได้
มู่น่อนน่อนไม่รู้ทำไมถึงได้มีความรู้สึกแบบนี้
เดิมทีก็กินอิ่มแล้ว มู่น่อนน่อนวางตะเกียบลงแล้วเงยหน้ามองเฉินถิงเซียว:“ฉันจะกลับไปค่ะ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นทันที เขาหรี่ตาไว้ น้ำเสียงค่อนข้างอันตราย:“กลับไปไหน?”
“บ้านที่ฉันเช่าอยู่”มู่น่อนน่อนอธิบายกับเขาด้วยน้ำเสียงสันติภาพ:“ตอนนี้ฉันยังไม่อยากพักอยู่ที่บ้านคุณค่ะ”
แววตาเฉินถิงเซียวเศร้าหมองเล็กน้อย เขาได้แก้ไขคำพูดเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย:“เป็นบ้านของเรา”
มู่น่อนน่อนรู้จักนิสัยของเขาดี เธอก็ไม่อยากเถียงเรื่องแบบนี้กับเขา แค่พูดว่า:“ฉันกลับก่อนนะคะ”
เฉินถิงเซียวมองดูเธอ ไม่บอกว่าได้หรือไม่ได้
มู่น่อนน่อนถือว่าเขาได้ตอบตกลงแล้ว จึงลุกแล้วเดินออกไปข้างนอก
เฉินมู่เล่นอยู่ในห้องโถงจนเหนื่อยแล้ว นาทีนี้กำลังง่วงเหงาหาวนอนอยู่บนโซฟา
“ง่วงแล้วเหรอคะ?” มู่น่อนน่อนลูบศีรษะเธอ:“แม่จะไปแล้วนะคะ”
เฉินมู่เหมือนตื่นตัวขึ้นมาทันที ได้เบิกตากว้างพร้อมถามเธอว่า:“ไปไหนคะ?”
มู่น่อนน่อนอดขำไม่ได้:“พรุ่งนี้แม่ค่อยมาหาหนูใหม่นะคะ”
ช่วงนี้เฉินมู่รู้สึกชินแล้วที่มู่น่อนน่อนไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกันกับเธอ แต่ยังไงซะก็ยังไม่อยากให้แม่จากไปอยู่ดี:“อืม”
“เด็กดี แม่พาหนูไปเข้านอนนะคะ เดี๋ยวหนูหลับแล้วแม่ค่อยไป”ระหว่างที่มู่น่อนน่อนพูด ก็ได้พาเฉินมู่ขึ้นไปที่ห้องนอน
เฉินมู่นอนสะลึมสะลืออยู่บนเตียงใกล้จะหลับแล้ว ยังจับมือของเธอไว้และพูดพึมพำ:“แม่อย่าไป……”
มู่น่อนน่อนรอให้เธอหลับแล้ว ก็ได้จากไปเลย
เพียงแต่ คืนนั้นเฉินถิงเซียวก็ได้พาเฉินมู่และถือกระเป๋าสัมภาระไปหาถึงที่อีก
มู่น่อนน่อนมองดูกระเป๋าสัมภาระที่อยู่ในมือข้างซ้ายของเฉินถิงเซียว แล้วได้หันไปมองเฉินมู่ที่ถูกมือข้างขวาของเขาจูงอยู่ด้วยสีมึนงง:“นี่คุณทำอะไรคะ?”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวเย็นชา:“ครอบครัวเดียวกันก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ”