ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 502 ไม่ได้ไปไหนเลย
เธอหัวเราะจนพ่นลมอย่างเย็นชาออกมา “สำหรับคุณแล้ว ฉันมองผู้ชายคนอื่นหลายครั้งหน่อย ก็เท่ากับคิดอยากทำเรื่องบัดสีกับผู้ชายคนนั้นงั้นสิ?”
การแสดงออกของเฉินถิงเซียวเย็นชามากกว่าเธอ “อย่างน้อยลี่จิ่วเชียนก็อยากจะทำเรื่องบัดสีกับคุณแล้วกัน”
“นี่คุณต้องการให้ฉันพูดกับคุณสักกี่ครั้งกันนะ! ฉันกับลี่จิ่วเชียนบริสุทธ์ใจไม่เคยทำเรื่องบัดสีอะไรเลย!”
เหตุเพราะอาการโกรธเคือง มู่น่อนน่อนจึงพูดด้วยเสียงสูงปรี๊ด
“ตอนที่ความทรงจำเสื่อม คุณก็อยู่กับลี่จิ่วเชียนชายหนุ่มหญิงสาวอยู่ด้วยกันสองต่อสอง…”
ยังไม่ทันรอให้มู่น่อนน่อนโมโห ตัวเฉินถิงเซียวเองก็กำหมัดไว้แน่นขึ้นมาก่อนแล้ว สีหน้าแสดงอาการพายุเพชรหึงออกมา
มู่น่อนน่อนถึงกลับตะลึงชั่วครู่ เธอไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ ว่าในใจของเฉินถิงเซียวยังคงคิดบัญชีกับเรื่องนี้อยู่
แต่ เธอก็ได้อธิบายให้เฉินถิงเซียวไปแล้วไม่ใช่เพียงแค่รอบเดียว ทว่าเฉินถิงเซียวก็ยังคิดบัญชีอยู่ตลอด ไม่ใช่เพียงเท่านี้ แถมยังลองใจเธออีก
เฉินถิงเซียวเขาใส่อารมณ์โมโหพลาดฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว แล้วทำไมมู่น่อนน่อนตนเองจะมีอารมณ์โกรธเคืองบ้างไม่ได้ล่ะ
เธอมิอาจยอมปล่อยผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ น้ำเสียงอดกลั้นความโกรธเคืองเอาไว้ “ตอนนี้เพิ่งรู้สึกเก็บมาคิดแล้วเหรอไง? คุณรู้สึกว่าฉันกับลี่จิ่วเชียนไม่บริสุทธิ์ใจงั้นสิ งั้นคุณกับซูเหมียนก็บริสุทธิ์ใจแล้วเหรอ? สามปีที่ผ่านมาฉันนอนอยู่บนเตียงอยู่ตลอด ส่วนคุณกับซูเหมียนอยู่ในฐานะว่าที่สามีภรรยากัน ไม่มีใครหน้าไหนในเมืองหู้หยางที่ไม่รู้ว่าคุณกับซูเหมียนเป็นว่าที่สามีและภรรยากันด้วยเหรอ?”
ยิ่งขุดคุ้ยพูดเรื่องเก่าในอดีต น้ำเสียงมู่น่อนน่อนยิ่งเย็นชาขึ้น
ในใจของเธอก็เคยมีความรู้สึกที่ไม่สุขใจซุกซ่อนเอาไว้บางๆ แต่เพราะว่าการแสดงออกของเฉินถิงเซียว ดังนั้นเธอเลยเชื่อมั่นเฉินถิงเซียว
ก่อนหน้านี้เธอเคยไปเที่ยวหาเสิ่นเหลียงนั้น ทางสื่อมวลชนก็ยังขุดเรื่องงานแต่งงานของเฉินถิงเซียวกับซูเหมียนขึ้นมา แถมยังด่าเธอว่าอีเมียน้อยอีก
ตอนนั้นเธอถูกด่าทอจนกลายเป็นกระแสไป
หลังจากนั้นเฉินถิงเซียวได้จัดการเรื่องนี้ทันที ตอนนั้นเธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
ทว่า พฤติกรรมในครั้งนี้ของเฉินถิงเซียว มันกระตุ้นต่อมความโกรธของมู่น่อนน่อน
เมื่อก่อนคิดว่าไม่เคยโกรธสักนิด แต่รู้สึกสำคัญอะไรมากนัก ตอนนี้เมื่อหวนกลับไปคิดขึ้นมาแล้ว จนทำให้เธอรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง
หากต้องการสร้างความรู้สึกระหว่างคนสองคนเอาไว้ จึงจำเป็นต้องพยายามอย่างต่อเนื่องระหว่างคนสองคน
แต่ถ้าต้องการจะหักหาญกัน มันช่างง่ายดายเหลือเกิน แค่ให้คนหนึ่งในนั้นคว้ามีดออกมา ซึ่งเพียงพอแล้วในการทำลายความรู้สึกอันแสนขื่นขมนี้ไป
ครั้งนี้ เฉินถิงเซียวเป็นคนคว้ามีดออกมาก่อน
ถ้าเป็นในอดีต มู่น่อนน่อนรู้ดีว่าเฉินถิงเซียวเป็นผู้ชายขี้งก จึงคอยเอาใจเพื่อให้ผ่านไปได้
ทว่าระหว่างคนสองคนนั้น การยอมอ่อนข้อให้และการเอาใจมันไม่สามารถเป็นอาวุธที่เอาไว้รักษาความรู้สึกเอาไว้ได้
ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ การยอมอ่อนข้อให้การเอาใจ อาจจะกลายเป็นบรรทัดฐานระหว่างพวกเขาแทน
ระยะนี้แม้ว่าทั้งสองคนจะดูเป็นมิตรกันมากก็ตาม แต่ช่องตรงกลางนั้นยังมีปัญหาอยู่มาก
ปัญหาเหล่านั้นก็กำลังอยู่ที่ปากปล่องระบาย เพียงแวบเดียวมันก็จะพรั่งพรูออกมา อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน
แววตาของเฉินถิงเซียวจับจ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตาย พลางเม้มริมฝีปากเหมือนกับควบคุมอะไรอยู่
และก็ไม่รู้ว่าใช้เวลาผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว อารมณ์โกรธของเขาเปลี่ยนเป็นการหัวเราะออกมาแทน “เรื่องของผมกับซูเหมียนมันเกิดอะไรขึ้น? คุณย่อมรู้ดีแก่ใจไม่ใช่เหรอ?”
มู่น่อนน่อนถามยอกย้อนฝ่ายตรงข้ามกลับ “เรื่องของฉันกับลี่จิ่วเชียนมันเกิดอะไรขึ้น? คุณย่อมรู้ดีแก่ใจเหมือนกันนี่?”
“ผมไม่เคยรู้แจ้งมาก่อนเลย แต่ตอนนี้ผมรู้แจ้งทุกอย่างแล้ว! หึ!”
การเยาะเย้ยในตอนสุดท้ายนั้น ฟังดูแล้วมันทำให้คนตกใจอยู่มาก
มู่น่อนน่อนโมโหจนลุกพรวดขึ้นทันที พลางชี้ไปที่ประตู “ออกไป!”
เฉินถิงเซียวหรี่ตามองเล็กน้อย “นี่คุณไล่ผมออกไปเหรอ?”
มู่น่อนน่อนต้องการจะอ้าปากพูด พลันฉุกคิดได้ว่าเฉินมู่กำลังนอนหลับอยู่ จึงกระซิบพูดแทน “ดูเหมือนว่าความสามารถในการฟังของคุณยังปกติดีอยู่มากนะ!”
เฉินถิงเซียวกำหมัดไว้แน่น พลันผ่อนแรงและบีบจนแน่น เมื่อแน่นแล้วก็ผ่อนออก
จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้น และหันตัวสาวเท้ายาวไปทางด้านนอกทันที
ปึง!
ประตูห้องถูกคนใช้ความรุนแรงในการปิด จนมีเสียงดังสะท้อนทะลุแก้วหู
บรรยากาศในห้องพลันกลับคืนเป็นปกติดังเดิมในเวลานั้น
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งนิ่งอยู่ครู่เดียว ถึงได้หันหน้าไปมองทางประตู
สิ่งที่เข้ากระบอกตาก็คือบานประตูที่ปิดสนิท ในห้องนอกจากเธอแล้วก็ไม่มีบุคคลที่สองอยู่เลย
เฉินถิงเซียวไปแล้วจริงๆ ด้วย
มู่น่อนน่อนฟุบนั่งลงบนโซฟาทันที พลางยื่นมือขึ้นมาประคองหน้าผากเอาไว้ ผ่านไปชั่วครู่เธอถึงได้ลุกขึ้นและเดินไปยังห้องครัว
เฉินถิงเซียวออกไปแล้ว แต่เธอกับเฉินมู่ยังต้องกินข้าวต่อ
แต่ ตอนที่เธอทำกับข้าวอยู่นั้นจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนมีดบาดนิ้วตนเอง
มู่น่อนน่อนบีบนิ้วของตนเองเอาไว้แน่น พลันยื่นมือออกไปล้างน้ำที่เปิดน้ำจากก๊อกน้ำอย่างท้อแท้ใจอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงเดินไปหาพลาสเตอร์ปิดแผล
แผลค่อนข้างลึก ขนาดติดพลาสเตอร์แล้วยังรู้สึกเจ็บอยู่เลย
มู่น่อนน่อนหงุดหงิดใจ หลังหันผักแบบขอไปทีแล้ว จึงจัดการเอาผักเทลงในหม้อทันที
ตอนที่เธอกำลังทำอาหารอยู่นั้น เฉินมู่ก็ตื่นนอนพอดี
เฉินมู่เดินขยี้ตาและนั่งลงอยู่ด้านหน้าโต๊ะทานข้าวอย่างเชื่อฟัง เธอมองมู่น่อนน่อน และมองตำแหน่งที่อยู่ด้านข้างเธอ
มู่น่อนน่อนหาข้ออ้างให้ทันที “คุณพ่อไปทำโอทีที่บริษัทแล้วจ้ะ”
“อ้อ” ทำงานนี่เอง คุณพ่อต้องทำงานทุกวันเลย
เฉินมู่เด็กในคราบผู้ใหญ่ทำท่าเหมือนพยักหน้า พลันหยิบช้อนขึ้นมากินข้าว
เธอตักอาหารเข้าปากและจัดการเคี้ยวเล็กน้อย จากนั้นก็พ่นอาหารมาไว้ในชามแถมทำหน้าตาขื่นขม พลันบ่นพึมพำ “เค็มปี๋เลยค่ะ”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น จึงรีบเทน้ำให้เฉินมู่ทันที จากนั้นตนเองก็ลองชิมอาหารดูบ้าง
เมื่อครู่ตอนที่เธอกำลังทำกับข้าวอยู่นั้น มัวแต่ตักข้าวและคีบกับข้าวให้เฉินมู่ เลยไม่ได้ชิมรสชาติก่อน
เมื่อใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากแล้ว เธอแค่กัดไปนิดเดียว ก็คายทิ้งทันที
เค็มปี๋จนถึงขั้นขมคอเลยแหละ
เฉินมู่กอดแก้วน้ำเอาไว้ พลันดื่มน้ำแก้วใหญ่จนเสียงดัง “อึกอักๆ” และกะพริบตามองมู่น่อนน่อน และถามเธอกลับ “เค็มไหมคะ”
“เค็มค่ะ” มู่น่อนน่อนวางตะเกียบลง “เราไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะนะคะ”
เฉินมู่ปรบมือดีใจมาก “ไปค่ะ”
โชคดีที่ไม่ดึกมากมัก
มู่น่อนน่อนใส่เสื้อกันหนาวให้เฉินมู่หลายตัว จากนั้นจึงพาเธอเดินมาที่ประตูเพื่อจะออกจากบ้าน
แต่พอเปิดประตูมานั้น เธอก็เห็นเฉินถิงเซียวอยู่ข้างประตูแทน
บนตัวเขาใส่แค่กางเกงสแล็คและเสื้อเชิ้ตอยู่ มืออีกข้าวหนึ่งก็ล้วงกระเป๋ากางเกง อีกมือหนึ่งก็คีบบุหรี่เอาไว้ แผ่นหลังยืนพิงกำแพง และพอยท์ขาเอาไว้ข้างหนึ่ง ราวกับเป็นภาพอันแสนสวยงามภาพหนึ่ง
มู่น่อนน่อนเพิ่งคิดได้ ก่อนหน้าที่เขาจะออกจากบ้านนั้น ลืมเอาเสื้อกันหนาวออกมาด้วย
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เฉินถิงเซียวก็หันกลับมาทันที เขาเหลือบมองมู่น่อนน่อน พลันดับบุหรี่ที่อยู่ในมือทันทีตามสัญชาตญาณ
เฉินมู่วิ่งไปดึงมือของเขาอย่างดีใจทันที และแหงนหน้ามองเขา “คุณพ่อคะ!”
แต่เธอก็ย่นคิ้วและแสดงอาการรังเกียจออกมาทันที “เหม็นค่ะ”
ที่เธอพูดก็คือกลิ่นบุหรี่อยู่ติดอยู่บนตัวของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนเหร่ตามองอย่างไม่ได้ตั้งใจ จึงเห็นว่าที่พื้นมีก้นบุหรี่กองอยู่ลูกย่อมๆ และนับไม่ถูกว่ามันมีก้นบุหรี่กี่อันด้วยซ้ำ
เฉินถิงเซียวพูดอย่างไร้ความรู้ “ผมกลับมาเอาเสื้อโค้ท”
เมื่อเขาพูดจบ ก็หันตัวและเดินเข้าไปในห้องทันที
มู่น่อนน่อนเหลือบมองก้นบุหรี่ที่กองกับพื้นอยู่แวบหนึ่ง ก็แค่กลับมาเอาเสื้อโค้ทเหรอ หรือว่าไม่ได้ไปไหนเลยมากกว่า?
จังหวะนั้นเธอใจอ่อนทันที
ซึงมันรวดเร็วมาก เธอก็ใจแข็งขึ้นมาอีก รอตอนที่เฉินถิงเซียวคว้าเอาเสื้อโค้ทออกมาแล้ว มู่น่อนน่อนก็พูดลอยลมออกมาหนึ่งประโยค “ก่อนไป ช่วยจัดการกวาดก้นบุหรี่ตรงหน้าประตูก่อนแล้วค่อยไป”
เธอเหลือบมองสีหน้าไร้ความรู้สึกของเฉินถิงเซียวอย่างพอใจ แต่ก็มีความรู้สึกแข็งทื่ออยู่ชั่วแวบเดียว
จากนั้น เธอก็จูงมือเฉินมู่ไปทางด้านนอก “พวกเราไปกันเถอะ”
“คุณพ่อล่ะคะ?”
“เขาไม่หิว เพราะกินบุหรี่จนอิ่มแล้วค่ะ”