ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 506 บนตัวเขาซ่อนความลับไว้เยอะแยะ
มู่น่อนน่อนเหลือบมองไปอีกทาง แต่ยังปฏิเสธเสียงแข็ง “เขาไม่ได้มองมาทางฉันนี่”
เสิ่นเหลียงส่งเสียง “ชิ” และพูดออกมา “เขาไม่ได้มองแก หรือว่าเขากำลังมองฉันอยู่เหรอไง?”
“มั้ง” มู่น่อนน่อนตอบตามปกติ
เสิ่นเหลียง “…”
เฉินถิงเซียวมองมาทางมู่น่อนน่อนอย่างเดียว และเข็นเฉินชิงเฟิงไปทางด้านหน้าต่อเรื่อย ๆ
หลังจากที่เขาพูดสั่งการกับสือเย่ไปไม่กี่ประโยค ก็นั่งลงทันที
สือเย่กล่าวเปิดพิธีอยู่หลายประโยค เพื่อเป็นการกล่าวเปิดงาน
เขาพูดจบ จึงสังเกตเห็นมู่น่อนน่อนทันที
เขาหันตัวและกระซิบพูดกับเฉินถิงเซียว “คุณชาย นายหญิงน้อยก็มาร่วมงานด้วย”
“มาก็มาสิ ไม่เกี่ยวกับผมนี่” เฉินถิงเซียวหยิบแก้วแชมเปญขึ้นมา พลันมองต่ำลง น้ำเสียงเย็นชาสุดขั้ว
จนทำให้สือเย่พลันคิดถึงคำพูดหนึ่งขึ้นมา ผู้ร้ายปากแข็ง
เวลานี้ จู่ ๆ พลันมีเสียงฮือฮาดังขึ้น
แม้ว่าเสียงฮือฮาไม่เสียงดังเท่ากับตอนที่เฉินถิงเซียวมาถึง แต่ก็ไม่สามารถทำให้คนเพิกเฉยไปได้
“ใครเหรอนั่น?”
“ได้ข่าวว่าเป็นว่าที่ภรรยาของคุณชายเฉิน!”
“ถึงแม้ข่าวจะพูดแบบนี้ แต่คุณชายเฉินก็ไม่เคยตอบรับอย่างเป็นทางการ ทั้งสองคนไม่ได้จัดงานหมั้นหมายด้วยซ้ำ”
“จะเป็นไปได้ยังไง ข่าวว่ากันว่าทั้งสองคนมีลูกสาวด้วยกันคนหนึ่งแล้ว…”
“ไปฟังใครมาเหรอ นี่มันเรื่องจริงใช่ไหม?”
“……”
มู่น่อนน่อนเอียงหูฟัง เพื่อฟังที่ผู้หญิงหลายคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่
ตอนที่ได้ยินเนื้อหาที่พวกเธอกำลังคุยกันอยู่นั้น ก็พ่นลมหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาทันที
เสิ่นเหลียงไม่ทันสังเกตว่าผู้หญิงคนเมื่อครู่นี้พูดเรื่องอะไรบ้าง แต่เห็นสีหน้าของมู่น่อนน่อนไม่มีความสงสัยใดๆ เลย จึงออกปากถามทันที “อะไรเหรอ?”
“ซูเหมียนเข้ามาในงานแล้ว” มู่น่อนน่อนวางแก้วแชมเปญที่อยู่ในมือลงด้านข้าง พร้อมทั้งจัดระเบียบชุดราตรีของตัวเองเล็กน้อย “ฉันไปเติมหน้า”
“ฉันไปกับแกด้วยนะ”
“ไม่ต้องเลย”
มู่น่อนน่อนเดินเข้าห้องน้ำแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ
เธอยืนอยู่หน้ากระจก พร้อมทั้งค่อยๆ เติมหน้าอย่างตั้งใจ และมั่นใจว่าเติมหน้าได้สวยหมดจดแล้วจนไม่มีใครเทียบ ถึงได้เดินถือกระเป๋าออกจากห้องน้ำ
จังหวะนั้นเอง เมื่อเธอเดินออกไปก็เจอลี่จิ่วเชียนทันที
“น่อนน่อนเหรอ?”
ลี่จิ่วเชียนเห็นเธอก่อน และเอ่ยปากเรียกรั้งเธอเอาไว้ทันที
มู่น่อนน่อนหันกลับไป พร้อมทั้งตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “เพิ่งมาถึงเหรอคะ?”
“ครับ เพิ่งถึง เมื่อครู่ไม่เห็นคุณตอนอยู่ในห้องบอลรูม ยังคิดเลยว่าคุณคงไม่มานะเนี่ย” ลี่จิ่วเชียนสาวเท้ามาทางด้านหน้า เพื่อเดินให้ทันฝีเท้าของเธอ
จากนั้น เขาก็เดิมเสมอกับมู่น่อนน่อน และค่อยๆ เดินไปอย่างช้าๆ
“เมื่อครู่ไปห้องน้ำมาค่ะ”
มู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนเดินเคียงข้างกัน เข้าไปในบอลรูมจัดงานเลี้ยง
ตอนที่พวกเขากลับเข้ามาในบอลรูมจัดเลี้ยงนั้น คนในงานก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ต่างจับกลุ่มกันพูดคุยกัน
ตรงไหนที่มีคนเยอะที่สุด แน่นอนว่าต้องอยู่ข้างๆ เฉินถิงเซียวอย่างแน่นอน
รอบตัวเฉินถิงเซียวมีคนล้อมรอบอยู่ไม่น้อยเลย คนที่นั่งของข้างเขาก็คือเฉินชิงเฟิง
เฉินชิงเฟิงยังคงนั่งอยู่บนรถเข็น พลางเม้มริมฝีปากไม่ยอมพูดยอมจา สีหน้าเคร่งขรึม มีคนเดินไปพร้อมทั้งกล่าวทักตามมารยาทว่า “คุณเฉิน” เขาก็ตอบรับพร้อมกับเฉินถิงเซียว
ลี่จิ่วเชียนมองมาทางมู่น่อนน่อน พลันยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงแทรกอาการเยาะเย้ยทันที “ขอแค่เป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ต่างมองถึงผลประโยชน์ว่าใครมีประโยชน์มากกว่ากัน จึงเห็นความจำเป็นในการสานสัมพันธ์”
อดีตตอนที่เฉินชิงเฟิงเป็นคนมีอำนาจในตระกูลเฉินนั้น คนเหล่านี้ต่างสานสัมพันธ์กับเฉินชิงเฟิง แต่ตอนนี้เฉินถิงเซียวดำรงตำแหน่งเป็นประธานของบริษัทเฉินซื่อ
พวกเขาคงลืมไปแล้วว่าหลังจากเกิดคดีลักพาตัวในปีนั้น แล้วพวกเขาพูดถึงเฉินถิงเซียวที่รอดชีวิตมาได้ว่าอย่างไรบ้าง
หัวใจของคนเราอ่อนแอก็อะไรทั้งสิ้น แต่ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
“ฟังจากน้ำเสียงคุณแล้ว เหมือนจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้อย่างถ่องแท้” มู่น่อนน่อนหันกลับไปมองลี่จิ่วเชียน พลันมีการสอบถามอยู่ในน้ำเสียงนั้นด้วย “ถึงอย่างไร ดูเหมือนคุณจะเข้าใจในตระกูลเฉินเป็นอย่างดี”
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของลี่จิ่วเชียนแข็งทื่อทันที จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติตามเดิม “เหรอ?”
มู่น่อนน่อนจ้องมองเขาอยู่นาน จากนั้นถึงได้ถามกลับ “คำพูดที่คุณพูดก่อนหน้านี้มันจริงหรือเปล่า? ที่คุณพูดว่าเคยช่วยชีวิตฉัน ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้เลย”
แม้ว่ามู่น่อนน่อนยอมเชื่อลี่จิ่วเชียนไปตามสัญชาตญาณได้ที่ไม่ได้ไตร่ตรองก่อน ทว่าการที่ลี่จิ่วเชียนสามารถหาตัวเธอกับเฉินถิงเซียวบนเขาเจอได้ในตอนแรก เรื่องนี้ถือว่าน่าสงสัยอยู่บ้าง
ลี่จิ่วเชียนไม่ได้ตอบคำถามของเธอทันที แต่ย้อนถามกลับแทน “นี่คุณกำลังสงสัยในตัวผมอยู่ใช่ไหม?”
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกไปหยิบน้ำผลไม้มาแก้วหนึ่งบนถาดที่พนักงานถือมา พลางจิบเล็กน้อยและพูดต่อ “คุณใช้เวลาอันสั้นในการหาตำแหน่งฉันกับเฉินถิงเซียวเจอ แสดงให้เห็นว่าคุณคอยให้คนจับตามองฉันอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าคุณทำเพื่อทดแทนบุญคุณ หรือคำนึงถึงความปลอดภัยของฉันก็ตาม คุณไม่รู้สึกว่ามันเกินไปไหม?”
มู่น่อนน่อนหันไปมองลี่จิ่วเชียน ด้วยแววตาคมเฉียบเชือดเฉือน
เธอไม่ใช่คนที่เชื่อใจลี่จิ่วเชียนจนโงหัวไม่ขึ้น
ก็เหมือนกับที่พวกของสือเย่คอยพร่ำพูดอยู่ตลอด ลี่จิ่วเชียนเป็นคนไม่มีประวัติความเป็นมา เขามีบุญกับเธอ แต่ว่าบนตัวเขาซ่อนความลับไว้เยอะแยะ ซึ่งมันคนละเรื่องกัน มู่น่อนน่อนแยกแยะอย่างชัดเจน
ลี่จิ่วเชียนยิ้มให้เธอเล็กน้อย ใบหน้าไม่มีอาการเขินอายที่ถูกมู่น่อนน่อนพูดจี้จุดสักนิด “ในเมื่อคุณไม่ยินดี ต่อไปผมจะไม่ทำเช่นนั้นอีก”
เมื่อเขาพูดจบ ก็เหลือบมองไปทางเฉินถิงเซียว น้ำเสียงแสดงความสนอกสนใจออกมา “แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณและเฉินถิงเซียวเหรอ?”
มู่น่อนน่อนหันกลับมามองเขาอีกรอบ จึงเห็นซูเหมียนเดินมาหยุดทางด้านหน้าของเฉินถิงเซียวไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่และกำลังพูดคุยกับเฉินถิงเซียวอยู่
เฉินถิงเซียวที่กำลังนั่งอยู่ ส่วนซูเหมียนยืนคุยกับเขา เธอขวางทางเฉินถิงเซียวเอาไว้ ส่วนมู่น่อนน่อนจึงมองไม่เห็นสีหน้าความรู้สึกของเฉินถิงเซียวในเวลานี้แล้ว
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าซูเหมียนกับเฉินถิงเซียวกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่บ้าง แต่กลับรู้สึกว่าตกใจอยู่บ้าง เพราะเฉินถิงเซียวตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่ซูเหมียนที่กำลังพูดคุยกับเขา
อดีตที่ผ่านมาสามปี สื่อมวลชนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันมาตลอดว่าซูเหมียนเป็นว่าที่ภรรยาของเฉินถิงเซียว ส่วนเฉินถิงเซียวนั้นก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธมาตลอด
ดังนั้น แท้จริงแล้วผู้คนต่างยอมรับกันแล้วว่าซูเหมียนเป็นว่าที่ภรรยาของเฉินถิงเซียวไปแล้ว
แม้ว่าไม่มีการหมั้นหมายกันเลย อย่างน้อยระหว่างคนสองคนก็มีความสัมพันธ์กัน
“ฉันพูดแล้วนะว่าอีนังจิ้งจอกต้องการใช้เต้าไต่หาท่านประธานใหญ่เพื่อเลื่อยขา…” เสิ่นเหลียงเดินเข้ามาหา จนคำว่า “เตียง” ยังไม่ได้พูดออกมาด้วยซ้ำ ตอนที่เห็นลี่จิ่วเชียนอยู่ด้านข้างมู่น่อนน่อนนั้น พลันเงียบปากทันที
ลี่จิ่วเชียนเหลือบมองเสิ่นเหลียง พลันพยักหน้าให้เล็กน้อยและยิ้มตอบอย่างมีมารยาท
เสิ่นเหลียงเองก็ยิ้มตอบตามมารยาท จากนั้นก็เขยิบเข้าหามู่น่อนน่อนพร้อมทั้งถามโดยใช้เสียงแค่สองคนได้ยินเท่านั้น “เกิดอะไรขึ้น ลี่จิ่วเชียนมาได้ยังไง?”
“เฉินถิงเซียวเชิญเขามานะสิ” มู่น่อนน่อนเผลอพูดออกมาอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว น้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย
แม้ว่าคำพูดของเธอนั้นจะพูดกับเสิ่นเหลียงก็ตาม แววตากลับจ้องมองไปทางที่เฉินถิงเซียวอยู่ตรงนั้นแทน
เสิ่นเหลียงหันกลับมา จึงเห็นซูเหมียนนั่งอยู่ด้านข้างเฉินถิงเซียว แม้ว่าทั้งสองคนไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวกันก็ตาม แต่การที่เฉินถิงเซียวให้ซูเหมียนมานั่งอยู่ด้านข้างเขานั้น มันก็สื่อความหมายเป็นนัยแล้ว
เสิ่นเหลียงอัดอั้นอยู่นาน พลันหลุดปากพูดสุภาษิตออกมา “หญิงก็ร้ายชายก็เลว!”
“มาตั้งนานขนาดนี้แล้ว ควรจะเข้าไปทักทายได้แล้วนะ” มู่น่อนน่อนพูดจบ พลางยื่นมือออกไปเกี่ยวแขนลี่จิ่วเชียน “ไปด้วยกันไหมคะ?”
ลี่จิ่วเชียนเหลือบมองสีหน้าเธอแวบหนึ่ง พลันพูดตอบแต่กลับไม่ได้ยิ้มตอบ “ได้ครับ”
####บทที่ 507 จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้ไหม
“ฉันขอเข้าไปก่อนนะ”
สายตาของมู่น่อนน่อนจับจ้องมาที่ตัวของเฉินถิงเซียว ตอนที่เธอพูดออกมาก็ไม่ได้ละสายตาเลยด้วยซ้ำ แต่เสิ่นเหลียงรู้ดีว่า มู่น่อนน่อนกำลังพูดกับเธอ
“ขอตัวก่อนครับ” ลี่จิ่วเชียนพยักหน้าให้เสิ่นเหลียง และเดินไปพร้อมมู่น่อนน่อนเพื่อมุ่งหน้าไปทางเฉินถิงเซียว
เสิ่นเหลียงเบิกตาโต พลันมองมู่น่อนน่อนที่คล้องแขนลี่จิ่วเชียนตามจริง พลันเดินมุ่งหน้าไปทางเฉินถิงเซียว จนเธอเกิดอาการตัวแข็งทื่อ
เธอกระซิบพูดเกลี้ยกล่อม “น่อนน่อน?นี่แกจะทำอะไร?”
โดยปกติความจริงมู่น่อนน่อนเป็นคนที่โอนอ่อนเป็นพิเศษ แต่ตอนที่โดนยั่งอารมณ์ให้โกรธจริงๆ นั้น จึงเริ่มแสดงพฤติกรรมในทางตรงกันข้ามกันแทน
เห็นได้อย่างชัดเจน การทะเลาะกันของเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนในครั้งนี้มันไม่ใช่ธรรมดาเลย
ส่วนเฉินถิงเซียวให้ซูเหมียนนั่งอยู่ด้านข้างนั้น มู่น่อนน่อนก็โกรธขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว ดังนั้นถึงได้ลากลี่จิ่วเชียนให้เดินไปพร้อมกัน
เสิ่นเหลียงรู้สึกว่าพฤติกรรมเช่นนี้ความจริงแล้วมันค่อนข้างปัญญาอ่อนอยู่บ้าง
แต่พอคิดถึงตอนที่เฉินถิงเซียวเห็นพวกเขาสองคนเข้าไปหาแล้ว อาจจะแสดงอากัปกิริยาระเบิดอารมณ์ดั่งสายฟ้าฟาด และต้องรู้สึกเจ็บจี๊ดอยู่บ้าง
มู่น่อนน่อนได้ยินคำพูดของเสิ่นเหลียงแล้ว พลันหันไปยิ้มปลอบใจให้เธอ เพื่อส่งสื่อความหมายว่าเธอมีขีดจำกัด
เสิ่นเหลียงเห็นภาพนั้นแล้ว ได้แต่ยอมแพ้ พร้อมทั้งแฝงตัวเข้าไปท่ามกลางฝูงชนมุ่งหน้าไปทางนั้น เพื่ออยากไปดูเรื่องสนุกๆด้วย
เมื่อครู่มู่น่อนน่อนยืนอยู่มุมห้องพร้อมกับเสิ่นเหลียง คนที่อยู่ในงานมัวแต่สนใจในตัวเฉินถิงเซียว เลยไม่มีใครมองเห็นเธอ
ทว่าตอนนี้เธอเดินออกมาจากมุมห้องแล้ว แถมยังเดินตรงแน่วมุ่งหน้าไปทางเฉินถิงเซียว ดังนั้นจึงเรียกความสนใจจากคนที่อยู่ด้านข้าง
“ผู้หญิงคนนั้นคือใครกัน? สวยมาก?”
“ดูคุ้นตาจัง”
“ไอ้หยา นั้นมันไม่ใช่มู่น่อนน่อนอดีตภรรยาของคุณชายเฉินเหรอ? นี่พวกแกจำเธอไม่ได้ตอนที่เธอเข้ามาเหรอ?”
“คนที่เคยตกเป็นประเด็นข่าวคนนั้นอะนะ?”
“ฉันว่าผู้หญิงคนนี้หน้าด้านเกินทน หย่ากับท่านประธานเฉินไปสามปีแล้ว แถมคุณชายเฉินยังมีว่าที่ภรรยาคนใหม่แล้ว แล้วยังหน้าด้านหน้าทนจับไม่ยอมปล่อย…”
“คุณชายเฉินตั้งใจจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้เป็นพิเศษ เพื่อพาพ่อของเขาออกงาน และเรียกว่าที่ภรรยาของเขามาด้วย นี่ไม่ใช่เป็นการออกหน้าให้เธอเหรอ?”
“งั้นฉันก็หมดโอกาสแล้วสิ?”
“ฉันว่านะ…”
มู่น่อนน่อนคล้องแขนลี่จิ่วเชียนเอาไง้ แถมเดินมุ่งหน้าโดยที่ไม่ละสายตาสักนิด
คำพูดเหล่านี้ที่พวกเธอพูดออกมา เธอได้ยินอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ
ผู้หญิงเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เธอก็ย่อมรู้ดีเช่นเดียวกัน
การได้อยู่ในฐานะคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เธอชัดเจนกับเรื่องที่สุดแล้ว คำพูดของพวกเธอย่อมไม่ส่งผลกระทบกับเธอ
หลังจากที่ซูเหมียนนั่งอยู่ด้านข้างของเฉินถิงเซียวแล้ว และคอยกระซิบกระซาบพูดอะไรอยู่ตลอดเวลา
แม้ว่าอายุ 30 ปีแล้วก็ตาม แต่ซูเหมียนก็บำรุงดูแลผิวพรรณเป็นอย่างดีมาก และนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างมีมารยาทแถมสง่างามจนกลายเป็นภาพวิวที่สวยงามอย่างหนึ่ง
เฉินถิงเซียวไม่ได้พูดอะไรกับเธอมากนัก แต่สีหน้าก็มองไม่ออกถึงความกระวนกระวายใดๆที่อยู่บนใบหน้า อารมณ์เย็นชาก็ไม่แตกต่างไปจากกับปกติ
แค่ ตอนที่เขาเบนสายตามาจึงเห็นว่ามู่น่อนน่อนเดินคล้องแขนลี่จิ่วเชียนและมุ่งหน้าเดินมาหาเขา นัยน์ตาที่ไร้ความรู้สึกของเขาแต่เดิมนั้นหดตัวลงทันที
เดิมก็เป็นนัยน์ตาที่เข้มอยู่แล้ว แวบเดียวกลับดำมืดพัดโหมอยู่ด้านใน
ทั้งสองคนสบกันอยู่ห่าง ๆ จากนั้นก็เบนสายตาหนีไปเป็นปริยาย
มู่น่อนน่อนก้มศีรษะลง พลันคลี่ยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่แสดงความรู้สึก
ลี่จิ่วเชียนค่อยๆ เดินช้าๆ พลันถอนหายใจออก และใช้น้ำเสียงที่คนสองคนได้ยินเท่านั้น “จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้ไหม”
มู่น่อนน่อนตะลึงเล็กน้อย
เธอเข้าใจในความหมายของประโยคนั้นของลี่จิ่วเชียนดี
ลี่จิ่วเชียนกำลังถามเธอ ว่าต้องใช้วิธีปัญญาอ่านแบบนี้มากระตุกต่อมให้เฉินถิงเซียวโกรธไหม?
อาจจะเป็นเพราะผู้หญิงมักเสียสติไปกับอารมณ์แหละมั้ง
ก่อนหน้าเธอเคยพูดว่าเฉินถิงเซียวความคิดเหมือนเด็ก ตอนนี้เธอก็ไม่ใช่เหรอ
เธอเดินมาถึงจุดนี้แล้ว ย่อมมองไม่เห็นเหตุผลในการถอยกลับแล้ว
ความจริงแล้วระหว่างเธอกับเฉินถิงเซียวห่างกันไม่ไกลนัก แต่ว่าเธอกับลี่จิ่วเชียนเดินช้า ดังนั้นจึงใช้เวลานานในการเดิน
ในที่สุด เธอกับลี่จิ่วเชียนก็เดินมาอยู่ด้านหน้าของเฉินถิงเซียวแล้ว
มีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังล้อมรอบและพูดคุยอยู่กับเฉินถิงเซียวแล้ว แต่คนที่กำลังพูดคุยอยู่เหล่านั้น ต่างรักษาระยะห่างกับเฉินถิงเซียวโดยปริยาย เหมือนเกรงกลัวว่าจะเป็นการรบกวนเขาเช่นนั้น
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเดินออกมาจากมุมนั้นแล้ว ทุกคนต่างมองมาที่เธอเช่นเดียวกัน สถานะของเธอจึงไม่เป็นความลับอีกแล้ว
พวกเขามองเห็นมู่น่อนน่อนเดินมาหา พลันหลีกไปอยู่ด้านข้างยังไม่มีการนัดหมายกัน เพื่อหลีกทางให้มู่น่อนน่อน
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเดินเข้ามาใกล้แล้ว แถมเธอยังกล่าวขอบคุณให้คนที่หลีกทางให้เธออย่างสง่างามอีกต่างหาก
มู่น่อนน่อนเป็นคนหน้าตาสวยงาม ดังนั้นพออายุมากขึ้น รูปหน้าตาก็พัฒนาขึ้น แถมยังผ่านประสบการณ์มามาก ความงามของเธอนั้นยิ่งถูกขัดเกลาจนมีเสน่ห์ ยามเมื่อตั้งใจยิ้มให้ใครสักคน ยิ่งการชะแง้แลมองมากกว่าเดิม ยิ่งทำให้คนไม่สามารถมองข้ามได้เลย
คนที่เธอกล่าวขอบคุณกลับ ต่างตอบกลับมาอย่างสติเลื่อนลอย “ไม่เป็นไรครับ”
ยามเมื่อมู่น่อนน่อนหันหน้ากลับมาแล้ว ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าทันที และเดินผ่านไปยังพื้นที่อันแสนอันตรายที่พวกเขาไม่กล้าเข้าไปเหยียบ เมื่อยื่นอยู่ทางด้านหน้าของเฉินถิงเซียว พลันเผยอปากขึ้น พร้อมทั้งใช้น้ำเสียงดูเนิบนาบ “คุณเฉิน ไม่ได้เจอกันเสียนานนะคะ”
เฉินถิงเซียวที่นั่งหลังพิงเก้าอี้อยู่ พลันช้อนตามองเธอ นัยน์ตาดำคู่นั้นจับจ้องมองเขาเอาไว้ มุมปากเหมือนมีรอยยิ้มเล็ดลอดปรากฏออกมาให้เห็น
ยิ้มเหรอ?
เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนจำพวกชอบยิ้มอะไร เรื่องที่ทำให้เขาดีใจจนหลุดยิ้มออกมานั้นน้อยมาก แต่ที่มากกว่านั้น คือการที่เขาโมโหที่สุดจนต้องยิ้มออกมา
ดูเหมือนว่าภาพที่อยู่ตรงด้านหน้าไม่มีอะไรที่ดีใจเป็นพิเศษ ที่ทำให้เขายิ้มออกนี่
มู่น่อนน่อนยิ้มตอบกลับ “ทำไมเหรอ? คุณเฉินรู้จักฉันเหรอคะ?”
พูดจบ เธอก็กดคางลง “ต้องการให้ฉันแนะนำตนเองสักหน่อยไหม?”
สือเย่ที่เพิ่งจะช่วยต้อนรับแขกเหรื่อ ตอนที่เขาเห็นมู่น่อนน่อนเข้ามานั้น ก็รีบเดินเข้ามาหาทันที
เมื่อเขาเดินมาถึงและมองเห็น จึงรู้สึกได้ว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนมันผิดปกติไป บวกกับคำพูดคำจาของมู่น่อนน่อน เขาได้แต่แอบร้องไห้อยู่ในใจ
เฉินถิงเซียวไม่ได้เป็นคนเอ่ยปากพูดก่อนในตอนแรก สือเย่เห็นแล้วยิ่งร้อนใจอยู่บ้าง ตอนที่เตรียมจะพูดนั้น แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวทำตาแข็งใส่แทน
เฉินถิงเซียวใช้สายตาตักเตือนอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน เขาไม่อนุญาตให้สือเย่เข้ามายุ่ง
จากนั้น เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้น พลันมองมู่น่อนน่อนจากสูงลงต่ำ น้ำเสียงเย็นชาราวกับกำลังพูดอยู่กับคนแปลกหน้า “เรื่องแนะนำตัวคงไม่ต้องหรอก เมื่อครู่คิดออกแล้วว่าคุณคือใคร”
ตอนนี้มู่น่อนน่อนก็ยังคล้องแขนลี่จิ่วเชียนเอาไว้ เมื่อได้ยินคำพูดคำจาของเฉินถิงเซียวแล้ว เธอลงแรงอย่างไม่รู้ตัว จนแขนของลี่จิ่วเชียนถูกเธอรวบจนเจ็บ แต่เขาก็ยังขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา
ในตอนนี้ความสนใจของมู่น่อนน่อนอยู่บนตัวของเฉินถิงเซียวทั้งหมด แต่ไม่ได้สังเกตลี่จิ่วเชียนสักนิด
เมื่อครู่เฉินถิงเซียวเอาแต่นั่งอยู่ ส่วนเธอยืนอยู่ ทว่าอาจเป็นเพราะปัจจัยในการมองชะเง้อมอง ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกกดดันเป็นพิเศษ
แต่ตอนนี้เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืนแล้ว เธอจึงเงยศีรษะขึ้นเพื่อจะมองหน้าของเขาได้ ภายใต้การกดดันจากความสูง ออร่าที่ติดตัวอย่างเป็นธรรมชาติที่อยู่บนตัวเขาแผ่รัศมีออกมา
นั่นเป็นรัศมีของเฉินถิงเซียวเฉพาะตัว
ทั้งเย็นชา ทั้งเด็ดขาด
มู่น่อนน่อนร่นถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว “เหรอ? งั้นก็ดี