ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 514 จัดการกับเขาซะ
เฉินถิงเซียวไม่ได้จงใจจงใจเดินด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด ดังนั้นทันทีที่เขาไปถึงประตูห้องครัว มู่น่อนน่อนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่อยู่ด้านหลังเธอแล้ว
“ออกไปรอก่อน” มู่น่อนน่อนพูดโดยไม่หันกลับมามอง
ผ่านไปสักพัก มู่น่อนน่อนหันกลับมามอง ก็ไม่มีร่างของเฉินถิงเซียวอยู่ข้างหลังเธอแล้ว เธอถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะมองเห็น เฉินถิงเซียวนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา และไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
มู่น่อนน่อนมองย้อนกลับไป และน้ำในหม้อก็เดือดแล้ว
หลังจากที่เธอใส่เส้นบะหมี่ลงไป เธอก็เอื้อมออกไปหยิบเกลือ ตอนที่สายตาของเธอก็เห็นน้ำตาลทรายขาวในกล่องเครื่องปรุง ก็มีแผนร้ายทันที
เฉินถิงเซียวคิดว่าจะควบคุมเธออย่างสบายๆ หรือไง?
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่น่อนน่อนยังคงกว้างมาก แล้วเทน้ำตาลทรายขาวครึ่งกระป๋องลงในหม้ออย่างอารมณ์ดี
แม้ว่าพ่อและลูกอย่างเฉินถิงเซียวกับเฉินมู่จะเหมือนกัน แต่รสนิยมของพวกเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เฉินมู่เป็นเด็กน้อยชอบกินของหวานที่สุด ในขณะที่เฉินถิงเซียวเป็นคนเกลียดของหวานที่สุด
มู่น่อนน่อนหยิบช้อนคนอาหารในหม้อเพื่อให้แน่ใจว่าน้ำตาลครึ่งกระป๋องละลายแล้ว เธอจึงเติมน้ำซุปแล้วชิมมัน
เธอใช้ช้อนตักขึ้นมาจิบเล็กน้อย แล้วเดินไปข้าง ๆ ก่อนจะอาเจียนออกมา
หวานจนเลี่ยน แม้แต่เฉินมู่ก็กินไม่ลง
หลังจากยกบะหมี่มาให้แล้ว มู่น่อนน่อนก็ลังเลขึ้นมาอีกครั้ง เธอทำเกินไปไหม?
พอคิดถึงตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงเฉินถิงเซียวยอมให้ซูเหมียนนั่งข้างเขา ความลังเลในใจของเธอก็หายไปทันที
เธอเดินไปที่โต๊ะของเฉินถิงเซียว แล้ววางชามบะหมี่ลงตรงหน้าเขาจนเกิดเสียงดัง “ปัง” ก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “กินได้เลยค่ะ”
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเธอ ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาและเริ่มกินบะหมี่
แต่ว่า ทันทีที่ใส่บะหมี่เข้าปาก เขาก็รักษาท่าทางการกินบะหมี่ และหยุดชะงักไป
มู่น่อนน่อนดึงเก้าอี้ข้างตัวแล้วนั่งลง เท้าคาง แล้วยิ้มเบาๆ “อร่อยไหมคะ?”
เฉินถิงเซียวกินบะหมี่เข้าไปอย่างไร้ความรู้สึก และพูดด้วยท่าทางปกติ “อร่อยมาก”
มู่น่อนน่อนตกใจ “จริงเหรอคะ?”
“อืม” เหมือนอยากจะพิสูจน์คำพูดของเขา เฉินถิงเซียวก็กินเข้าไปคำใหญ่อีกคำหนึ่งโดยไม่แสดงอาการลังเลบนใบหน้าของเขา
ถ้ามู่น่อนน่อนไม่ได้ชิมมาก่อน เธอคงสงสัยว่าชามบะหมี่ของเฉินถิงเซียวเป็นรสชาติปกติ
เธอเห็นสีหน้าของเฉินถิงเซียวไม่เปลี่ยนแปลงและกินบะหมี่ที่หวานเลี่ยนจนหมดชาม เธอนิ่งอึ้งไปทันที
เฉินถิงเซียวไม่เหลือซุปติดชามเลย
มู่น่อนน่อนมองดูชามเปล่า แล้วถามว่า “เอาอีกไหมคะ?”
เฉินถิงเซียววางตะเกียบลง ก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธ “ผมอิ่มแล้ว”
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นยืน แล้วหยิบชามกับตะเกียบไปเก็บที่ห้องครัว
เธอเอื้อมมือออกไปจุ่มซุปที่เหลือในชามขึ้นมาชิม
มันหวานจนเลี่ยนไม่ผิดนี่นา…
มู่น่อนน่อนเดินมาถึงประตูห้องครัวและมองเข้าไปในห้องนั่งเล่น พบว่าในห้องโถงไม่มีใครอยู่แล้ว
เธอเดินออกไปดู จึงได้ยินเสียงน้ำไหลในห้องน้ำ
เธอเดินตามเสียงเข้าไปแล้วเคาะประตูห้องน้ำ “เฉินถิงเซียว คุณอยู่ข้างในเหรอคะ”
เสียงน้ำข้างในดังขึ้นอีก
ผ่านไปสักพัก เฉินถิงเซียวก็เปิดประตู บนใบหน้าและเรือนร่างของเขามีน้ำเกาะติด สีหน้ายังคงเหมือนเดิม
“คุณเปิดน้ำแล้วทำอะไรอยู่ในนั้นตั้งนานคะ?” ในขณะที่มู่น่อนน่อนกำลังพูด เธอก็มองไปข้างหลังเขาด้วย
เฉินถิงเซียวเดินออกมา แล้วปิดประตูห้องน้ำตามไปด้วย “เข้าห้องน้ำ”
เธอไม่เชื่อว่าเฉินถิงเซียวจะเข้าห้องน้ำจริงๆ
ใครจะเปิดก๊อกน้ำเวลาเข้าห้องน้ำกัน?
หรือว่าเฉินถิงเซียวจะมีงานอดิเรกพิเศษขึ้นมาใหม่ ในช่วงที่เธอไม่รู้
เฉินถิงเซียวไม่รอให้มู่น่อนน่อนพูดจบ เขาก็เดินผ่านเธอตรงไปที่ห้องนั่งเล่น
หลังจากเห็นเขาเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว มู่น่อนน่อนก็ยื่นมือออกมาปิดริมฝีปากของเธอทันที
มู่น่อนน่อนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ รีบเดินไปด้านข้างแล้วเทน้ำมาหนึ่งแก้ว แล้วยื่นให้เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเธอ แต่ไม่ได้เอื้อมมือไปรับแก้วน้ำ
ทั้งสองมองหน้ากันไม่กี่วินาที ก่อนที่เฉินถิงเซียวจะพูดช้าๆ “คุณยังโกรธไหม?”
มู่น่อนน่อนไม่ตอบคำพูดของเขาตามตรง แต่ดันแก้วน้ำเข้าหาตัวเขาอีกครั้ง “ดื่มน้ำก่อนค่ะ”
เฉินถิงเซียวยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบเล็กน้อย
“คุณคิดว่า แค่กินบะหมี่ที่ฉันทำจะทำให้ฉันหายโกรธได้เหรอคะ?” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เฉินถิงเซียวเกลียดของหวานมาโดยตลอด หลังจากที่เขากินบะหมี่ชามใหญ่ที่หวานจนเลี่ยนไป แล้ววิ่งไปที่ห้องน้ำ ก่อนจะเปิดน้ำเสียงดัง คงกลัวว่าเธอจะได้ยินเสียงเขาอ้วก
เขาถึงขั้นยอมกินเข้าไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ถ้าเป็นมู่น่อนน่อนคงกินไม่เข้า
“งั้นผมสามารถกินอีกชาม” ริมฝีปากของเฉินถิงเซียวยกขึ้นเล็กน้อย “หรือว่า คุณอยากให้ผมกินมากเท่าที่คุณต้องการ ขอแค่คุณยอมยกโทษให้”
มู่น่อนน่อนตกตะลึง
ที่จริงแล้ว เฉินถิงเซียวรู้อยู่ก่อนแล้ว
เขารู้ว่ามู่น่อนน่อนกำลังโกรธ เขาจึงยอมกินบะหมี่ตามที่มู่น่อนน่อนต้องการ ก็เพื่อให้เธอระบายความโกรธ
คนเราบางครั้งก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดที่สุด
ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอคุยโทรศัพท์กับเฉินถิงเซียว ก็แทบไม่อยากเจอเฉินถิงเซียวอีกเลย
แต่ตอนนี้ เขายอมลดตัวลงเล็กน้อย ยอมอ่อนให้เธอ จึงอดที่จะให้อภัยเขาอย่างใจอ่อนไม่ได้
มู่น่อนน่อนนิ่งคิดอยู่สักพัก แล้วถามเขาว่า “ฉันมีเรื่องจะถามคุณ”
“เรื่องอะไร?” เฉินถิงเซียวทำท่าทางตั้งใจฟัง เหมือนมู่น่อนน่อนถามอะไรเขาจะตอบทุกคำถาม
มู่น่อนน่อนมองเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วถามว่า “คุณหาลี่จิ่วเชียนทำไม แค่เพราะเขามีประวัติที่สืบไม่ได้ ดังนั้นคุณถึงมุ่งเป้าหมายไปที่เขา”
เฉินถิงเซียวหัวเราะออกมา น้ำเสียงของเขาดูเคร่งขรึมเล็กน้อย “อย่าว่าแต่สืบประวัติเขาไม่ได้ แค่ที่คุณเอาแต่พูดถึงเขาไม่หยุด ผมก็มีความคิดที่จะจัดการกับเขาซะ !”
“ดังนั้น ที่คุณมุ่งเป้าหมายไปที่ลี่จิ่วเชียน เหตุผลส่วนใหญ่ ก็เพราะอคติของคุณที่มีต่อเขา?” มู่น่อนน่อนถามเขากลับ
เฉินถิงเซียวลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าหามู่น่อนน่อน ก่อนจะพูดออกมาทีละคำ “นั่นไม่ใช่อคติ”
“ไม่ต้องพูดถึงเขาแล้ว” มู่น่อนน่อนรู้อยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องของลี่จิ่วเชียน เธอกับเฉินถิงเซียวคุยกันไม่ได้นาน
“สิ่งที่ควรพูดก็พูดแล้ว ข้าวก็กินอิ่มแล้ว กลับไปเถอะค่ะ” มู่น่อนน่อนออกคำสั่งไล่แขก
เฉินถิงเซียวยกมือดึงเนกไทของเขาออก เขาไม่ชอบชีวิตที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้กับมู่น่อนน่อนอีกแล้ว
เขาหลับตาลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมู่น่อนน่อนอย่างกะทันหัน แล้วเรียกชื่อเธออย่างเคร่งขรึม
“มู่น่อนน่อน”
“อะไรคะ?”
“แต่งงานกับผมเถอะ”
“หะ?”
มู่น่อนน่อนกระพริบตา แล้วถามเขา “พูดใหม่ได้ไหมคะ”
“ผมบอกว่า…” เฉินถิงเซียวเดินไปหาเธอ สองมือจับไหล่ของเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “แต่งงานกับผม เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม และอยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย”
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกเสมอว่ายังมีบางอย่างที่เขายังไม่ได้ทำ ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ลี่จิ่วเชียนใช้เรื่องนี้เพื่อโต้กลับเขา
เขาไม่สนใจทะเบียนสมรส หรืองานแต่งงานอะไรพวกนั้น
แต่ว่า ตอนที่คนเหล่านี้พูดตอกย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าต่อหน้าเขา ตอนนี้เขากับมู่น่อนน่อนยังไม่ใช่คู่สามีภรรยาที่ถูกกฎหมาย
สิ่งนี้ทำให้เขาอารมณ์เสียมาก
เขาจะต้องปิดปากคนเหล่านั้นให้มิด แล้วจับมู่น่อนน่อนไว้ให้อยู่หมัด