ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 590 ห้ามมีครั้งที่สามอีก
เฉินถิงเซียวไตร่ตรองอยู่ครู่นึง แล้วเอ่ยว่า:“เป็นไปได้”
“ตอนนั้น ฉันขับรถออกมาจากวิลล่าของลี่จิ่วเชียน ได้หันไปดูแค่แว๊บนึง เห็นหน้าตาของคนแก่คนนั้นไม่ชัดค่ะ”มู่น่อนน่อนพูดถึงตรงนี้ จู่ๆได้หยุดชะงักแล้วถามเฉินถิงเซียวว่า:“คุณรู้ได้ยังไงว่าพ่อบุญธรรมของลี่จิ่วเชียนเสียชีวิตแล้ว?คุณรู้ว่าพ่อบุญธรรมของเขาคือใครเหรอคะ?”
ต้องรู้ไว้นะว่าตอนนั้นพ่อบุญธรรมของลี่จิ่วเชียน ก็เป็นคนที่มีสถานะเร้นลับมาก
ตอนที่อยู่ในประเทศ อย่าว่าแต่พ่อบุญธรรมของลี่จิ่วเชียนเลย แม้แต่ข้อมูลของลี่จิ่วเชียนก็ตรวจสอบได้ยากมาก
เฉินถิงเซียวได้เดินไปนั่งโซฟาที่อยู่ข้างๆ และพูดอย่างใจเย็น:“พ่อบุญธรรมของเขาคุณก็น่าจะรู้จักอยู่”
“ใครคะ?”
เฉินถิงเซียวพูดออกมาอย่างช้าๆ:“เซี่ยอ้ายเซิง”
“เซี่ยอ้ายเซิง?”มู่น่อนน่อนอึ้งค้างไว้:“ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเขา!”
สีหน้าของมู่น่อนน่อนเปลี่ยนมาเคร่งขรึมขึ้นเยอะ เธอเดินไปนั่งที่ข้างกายของเฉินถิงเซียว:“อยู่ในแวดวงคนจีน เซี่ยอ้ายเซิงเป็นผู้ใจบุญที่ชื่อเสียงดีงาม ทั้งชีวิตนี้เคยช่วยเหลือผู้คนตั้งมากมาย ได้รับความนับถือจากผู้คนมาก ยังมีหนังเรื่องนึงได้ใช้เขาเป็นต้นแบบในการถ่ายหนัง”
“พียงแต่ หลายปีนี้ข่าวคราวของเขาน้อยมาก มีคนบอกว่าเขาอายุมากและร่างกายไม่ค่อยดีแล้ว เพราะฉะนั้นถึงค่อยๆเงียบหายไปจากสายตาของผู้คน แต่เขาก็ยังทำการกุศลอยู่ตลอด”
มู่น่อนพูดความคิดความเห็นของตัวเองจบ ก็ได้เงยหน้าไปมองเฉินถิงเซียว:“ เซี่ยอ้ายเซิงมีจุดน่าสงสัยอะไรเหรอคะ?”
บนตัวลี่จิ่วเชียนซ่อนความแปลกประหลาดไว้ เซี่ยอ้ายเซิงที่มีฐานะเป็นพ่อบุญธรรมของลี่จิ่วเชียน ก็อาจจะซ่อนเงื่อนงำอะไรไว้
เฉินถิงเซียวเอียงตัวพิงอยู่บนโซฟา ดูเกียจคร้านสุดๆ เสียงที่ทุ้มต่ำแฝงด้วยความเลื่อนลอย:“เป็นผู้ใจบุญ ไม่ใช่เหรอ?”
“ดูจากข้อมูลแล้ว เซี่ยอ้ายเซิงเป็นคนที่จิตใจดีงามมากจริงๆค่ะ”มู่น่อนน่อนพยักหน้า
“ลี่จิ่วเชียนเคยตรวจสอบเรื่องแม่ของผม”เฉินถิงเซียวแค่พูดหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญอย่างนี้ไปคำเดียว ความคิดของมู่น่อนน่อนก็ได้คึกคะนองขึ้นมาเลย
“ลี่จิ่วเชียนแก่กว่าคุณแค่ปีสองปี ตอนนั้น……”พูดถึงเรื่องแม่ของเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวังแว๊บนึง เห็นสีหน้าเขาปกติถึงได้พูดต่อว่า:“ตอนที่เกิดเรื่องแม่ของคุณ เขาก็เพิ่งจะอายุสิบกว่าปีเอง เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเขาคะ?”
เฉินถิงเซียวถามเธอ:“เซี่ยอ้ายเซิงอายุเท่าไหร่?”
มู่น่อนน่อนคิดครู่นึงแล้วพูดว่า:“น่าจะ……ประมาณหกสิบค่ะ”
เฉินถิงเซียวหลุบตาลงเล็กน้อย น้ำเสียงเบามาก:“ห่างกับอายุของแม่ผมไม่เยอะ”
“ความหมายของคุณคือ ที่ลี่จิ่วเชียนรู้เรื่องแม่ของคุณ อาจจะเกี่ยวข้องกับเซี่ยอ้ายเซิง?เซี่ยอ้ายเซิงอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของสมัยนั้น?ถ้าลี่จิ่วเชียนช่วยคนอื่นทำงานมาโดยตลอด งั้นคนที่เขาช่วยก็คือเซี่ยอ้ายเซิงแน่นอน!”
ได้รับข้อมูลยิ่งเยอะ มู่น่อนน่อนกลับรู้สึกว่าเรื่องมันชักจะซับซ้อนไปกันใหญ่แล้ว
เดิมทีนึกว่าเรื่องของสมัยนั้นแค่เกี่ยวข้องคนบางส่วนของตระกูลเฉินเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าต่อมาจะมีลี่จิ่วเชียนข้องเกี่ยวเข้ามาด้วย และเซี่ยอ้ายเซิง ผู้ใจบุญที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ
มู่น่อนน่อนได้สรุปอย่างเรียบง่ายว่า:“ลี่จิ่วเชียนเป็นดอกเตอร์ของอาชญาวิทยา เซี่ยอ้ายเซิงเป็นผู้ใจบุญ ต่างก็เป็นคนที่มีสถานะทางสังคมและทรงอิทธิพล มีสถานะที่โปร่งใสมากเพราะมีการรับประกันของสถานะแบบนี้ ถ้าพวกเขาจะแอบทำเรื่องอย่างอื่นลับๆ ก็ยิ่งยากที่จะถูกพบเห็น”
ลี่จิ่วเชียนเนี่ยแหละเป็นตัวอย่างที่ดีมาก
เขาเคยช่วยมู่น่อนน่อน เป็นผู้มีพระคุณของมู่น่อนน่อน ถ้าไม่เกิดเรื่องพวกนี้ มู่น่อนน่อนจะเห็นว่าลี่จิ่วเชียนเป็นคนดีคนนึงอยู่
มู่น่อนน่อนพูดมาเยอะขนาดนี้ เห็นเฉินถิงเซียวปิดปากเงียบตลอด เลยอดเงยหน้าไปมองเขาไม่ได้
ปรากฎพอมองปุ๊บ เธอถึงพบว่าเฉินถิงเซียวกำลังจ้องมองเธออย่างน่าสนใจอยู่ ดูแล้วชิวสุดๆ ไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นเลย
มู่น่อนน่อนเม้มปาก:“เฉินถิงเซียว คุณพูดอะไรหน่อยสิ”
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวฟังไม่ออกว่ามีอารมณ์อะไร เขาได้พูดอย่างใจเย็น:“คุณไม่กลัวว่าผมจะใช้คุณกับลี่จิ่วเชียนมาแลกข่าวของแม่ผมเหรอ?”
มู่น่อนน่อนได้ส่ายหัวก่อน
เฉินถิงเซียวหรี่ตาไว้ เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อเธอ
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปากและได้แต่พยักหน้า
“ที่จริงตอนแรกเคยคิดแบบนี้อยู่……”เธอยังพูดไม่จบ แววตาของเฉินถิงเซียวก็เปลี่ยนมาอันตรายขึ้น
มู่น่อนน่อนรีบส่งเสียงกอบกู้:“สถานการณ์ของตอนนั้น ฉันเป็นผู้หญิงคนนึง ฉันจะคิดฟุ้งซ่านหน่อยไม่ได้เลยหรือไง ฉัน……”
“คุณก็รู้เหมือนกันเหรอว่าคุณเป็นผู้หญิงคนนึง?”เฉินถิงเซียวแค่อ้าปากก็เหน็บแนมเลย:“ในเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงคนนึง ก็ไม่รู้จักพึ่งพาผมเหมือนผู้หญิงหน่อย?เอะอะก็ตัดสินใจโดยพลการเอง ครั้งสองครั้งก็แล้วไป ไหนคุณลองพูดซิว่านี่มันกี่ครั้งแล้ว! ”
พูดถึงตอนท้าย เขาได้ทำเสียงสูงโดยที่ไม่รู้ตัว เหมือนภรรยาที่กัดฟันอดทนมานานเกิน ในที่สุดก็หาโอกาสที่ได้ระบายเจอ ได้พูดความคิดในใจตัวเองออกมาจนหมดเปลือก……
มู่น่อนน่อนได้เปลี่ยนความคิด คำอุปมานี้ชักจะแปลกเกินไปแล้ว
เฉินถิงเซียวเป็นคนที่กัดฟันอดทนที่ไหนกัน คนที่ขัดใจเขาล้วนไม่มีจุดจบที่ดี ยิ่งอย่าบอกว่าให้เขากัดฟันอดทนเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ที่มู่น่อนน่อนตัดสินใจโดยพลการ ไม่ใช่เพราะเขาไม่พูดอะไรเลยหรอ เธอจึงต้องใช้วิธีของตัวเองไปแก้ไขปัญหา
พอคิดแบบนี้ มู่น่อนน่อนรู้สึกมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาอีก:“นี่คุณกำลังโทษฉันเหรอ?”
“มู่น่อนน่อน”เฉินถิงเซียวกัดฟันเรียกชื่อของเธอ
มู่น่อนน่อนชี้ไปที่บนเตียง:“มู่มู่หลับอยู่ คุณเบาเสียงหน่อย”
ความโกรธของเฉินถิงเซียวได้กลั้นไว้ที่ลำคอ ฝืนกลืนมันลงไป หลุบตาไว้เล็กน้อยพร้อมยื่นมือนวดหัวคิ้ว และไม่มองมู่น่อนน่อนอีก
ทีนีมู่น่อนน่อนถึงสังเกตเห็นว่าใต้ตาของเฉินถิงเซียวดำคล้ำ
ตอนที่เขาลืมตามองคนด้วยสายตาเย็นชาแล้วทรงพลังมาก แค่มองแว๊บเดียวก็มีความน่าเกรงขามมาก แต่เขาหลับตาลง พอแววตาเฉียบมคมถูกบดบังเอาไว้ปุ๊บ ความอิดโรยของใบหน้าก็ได้โผล่ออกมา
ที่แท้ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้พักผ่อนดีๆเหมือนกัน
มู่น่อนน่อนถอนหายใจแล้วยื่นมือไปกอดเขาไว้ พูดจาให้ซอฟลง:“คุณเอาแต่ว่าฉันทำโดยพลการ แต่ทุกครั้งตอนที่คุณมีบางอย่างอยู่ในใจไม่บอกฉัน เคยคิดหรือเปล่าว่าฉันเป็นห่วงมากแค่ไหน ตอนที่คุณจำกัดอิสระของฉันและขังฉันไว้โดยพลการ แล้วคุณกำลังคิดอะไรอยู่?เคยนึกถึงความรู้สึกของฉันบ้างหรือเปล่า?”
ตอนที่เธอพูดถึงคำสุดท้ายนี้ เธอสามารถรู้สึกได้ว่าร่างกายที่เพิ่งผ่อนคลายของเฉินถิงเซียวได้เกร็งขึ้นมาทันทีอีก
มู่น่อนน่อนยื่นมือลูบหลังเขาหลายที แฝงด้วยเจตนารมณ์ของการปลอบใจ อ่อนโยนมากเป็นพิเศษ
“เฉินถิงเซียว ฉันไม่ได้จะมารื้อบัญชีเก่ากับคุณนะ และไม่ได้โทษคุณด้วย ฉันรู้ดีกว่าใครๆว่าในใจคุณหนักหน่วงมากแค่ไหน เก็บกดมากแค่ไหน”
มู่น่อนน่อนสูดหายใจแรงๆ:“ยังจำตอนที่ฉันท้องเฉินมู่และเอาไฟเผาวิลล่าของคุณได้มั้ย?นั่นเป็นครั้งแรก เฉินมู่ถูกจับตัวไป คุณกลัวว่าฉันจะเอาตัวเองไปแลกกับเธอ ก็ได้ขังฉันไว้อีก นั่นเป็นครั้งที่สอง”
“ห้ามมีครั้งที่สามอีก โอเคมั้ย?ต่อไป เราสามารถหาวิธีแก้ไขที่ดีกว่าด้วยกัน”อย่างน้อยอย่าใช้วิธีที่สุดโต่งแบบนี้