ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 619 สถานที่แห่งหนึ่งที่คุณคาดไม่ถึง
ทั้งสองคนต่างดึงชายผ้าห่มคนละฝั่งไม่ยอมปล่อย
เฉินถิงเซียวดึงทางฝั่งเธอ มู่น่อนน่อนก็ดึงกลับมาทางตัวเอง
แต่ว่า สรุปคือพละกำลังของมู่น่อนน่อนยังสู้พละกำลังมากมายมหาศาลของเฉินถิงเซียวไม่ไหว ท้ายที่สุด ผ้าห่มก็ถูกเฉินถิงเซียวดึงไป
หลังจากเฉินถิงเซียวดึงผ้าห่มมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จัดการห่มผ้าห่มและหลับตานอนหลับอย่างสบายอกสบายใจ
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวอย่างไม่อยากจะเชื่อ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้…
หลังจากมู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าออกลึกๆ ให้ตัวเองสงบสติอารมณ์อยู่หลายครั้งแล้ว จึงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเขียนโน้ตลงไป มีตัวอักษรที่อยู่บนนั้นอยู่หนึ่งคำ “น่าเบื่อ!”
จากนั้นจึงโยนโทรศัพท์ไปหาเฉินถิงเซียว
บนเครื่องบินสามารถเปิดโทรศัพท์ได้ แต่ต้องเป็นโหมดเครื่องบิน Wechat และข้อความต่างๆ ไม่สามารถส่งออกไปได้
เฉินถิงเซียวหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาและเหล่ตามอง และจัดการเขียนบรรทัดด้านล่างเพื่อเป็นการตอบกลับ “เชอะ”
มู่น่อนน่อนรับมาแล้วพิมพ์ตอบกลับไปอีกประโยค “ไปขอผ้าห่มกับแอร์ฯเองไม่ได้เหรอไง?”
เฉินถิงเซียวทำผิดแล้วไม่รู้จักอาย “คุณใกล้กว่า”
มู่น่อนน่อน “อายเป็นบ้างไหม?”
หลังจากเฉินถิงเซียวมองเห็นแล้ว จึงแสยะยิ้มให้เธอ ทำหน้าตาเหมือนตัววายร้ายคล้ายกับตอนที่พวกเขาเพิ่งรู้จักกันเป็นครั้งแรก
มู่น่อนน่อนแย่งโทรศัพท์กลับมา หันตัวออก เพื่อให้ใบหน้าไปอยู่อีกทาง พลันหลับตาและเริ่มนอนหลับ
เธอไม่เชื่อหรอกว่าเฉินถิงเซียวจะไม่สนใจเธอจริงๆ
ที่แท้ผ่านไปไม่นานนัก เธอก็รู้สึกว่าบนร่างกายของเธอเริ่มหนัก จึงลืมมาขึ้นมามอง ก็พบว่าเฉินถิงเซียวที่แย่งผ้าห่มไปก่อนหน้านี้ได้เอาผ้าห่มกลับมาคืนและห่มอยู่บนตัวเธอแล้ว
……
เครื่องบินเดินทางถึงสนามบินนานาชาติหู้หยางและ Landing ในเวลาเที่ยงตรง
ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวจัด
เมื่อลงจากเครื่องบิน มู่น่อนน่อนก็ดึงเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวให้กระชับทันที
ลี่จิ่วเชียนกับอาลั่วก็มุ่งหน้าออกไปด้านนอกพร้อมกับพวกเขา ทิศทางเดียวกัน คือเดินไปยังลานจอดรถ
ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครพูดคุยกันเลยสักคน
เฉินถิงเซียวโอบตัวมู่น่อนน่อนไว้แน่นตลอดทั้งการเดินทาง เมื่อมาถึงลานจอดรถก็จัดการเอาตัวเธอจับยัดใส่ในรถ
หลังจากที่ทั้งสองคนเกิดเรื่องแย่งผ้าห่มกันบนเครื่องแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
รถยนต์ขับมายังวิลล่าของเฉินถิงเซียวทันที
เมื่อนับเวลาดูแล้ว มู่น่อนน่อนเดินทางไปเมืองMได้ไม่นานนัก แต่พอกลับมาที่นี่อีกครั้ง พลันเกิดความรู้สึกมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นมาแทน
เธอกับเฉินถิงเซียวเดินเคียงข้างเข้าไปพร้อมกัน
ภายในวิลล่ายังคงมีบ่าวรับใช้และบอดี้การ์ดรวมตัวเป็นกันเป็นกลุ่ม
“คุณชาย คุณหญิงน้อย!”
บ่าวไพร่และบอดี้การ์ดคอยต้อนรับพวกเขาอยู่ตรงประตู
มู่น่อนน่อนเข้าไปในห้องโถงของวิลล่า พลางมองบริเวณโดยรอบ เพื่อหาตัวเฉินมู่
แต่ว่า เธอวนดูแล้วหนึ่งรอบ แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเฉินมู่
มู่น่อนน่อนถามเขา “มู่มู่ล่ะคะ?”
“ผมให้คนเอา DNA ของมู่มู่ไปไว้ในที่เกิดเหตุไฟไหม้ ย่อมไม่สามารถให้เธออยู่ที่เมืองหู้หยางได้ต่อ” เฉินถิงเซียวทั้งพูด และเดินขึ้นชั้นบนไปพร้อมกัน
ลี่จิ่วเชียนเป็นคนมั่นใจในตัวเอง หลังจากเขาได้มีการตรวจ DNA ของเฉินมู่ในที่เกิดเหตุแล้ว จึงคิดว่าเฉินมู่ตายไปแล้วจริงๆ จึงใช้โอกาสนี้ในการสะกดจิตมู่น่อนน่อน
ส่วนเรื่องDNAเฉินถิงเซียวกลับจงใจให้คนไปทำเอาไว้
มู่น่อนน่อนเดินตามขึ้นไป และเดินไปหยุดทางด้านหน้าเฉินถิงเซียว และขวางเขาไว้ “งั้นคุณส่งตัวเธอไปไว้ที่ไหนล่ะ?”
เฉินถิงเซียวหยุดฝีเท้า พลางช้อนตามองเธอ “สถานที่หนึ่งที่คุณก็คาดเดาไม่ถึง”
“ฉันอยากเจอเธอ” เธออยากจะเจอหน้าเฉินมู่มากจริงๆ
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ได้สิ”
แม้ว่าเฉินถิงเซียวจะตกปากรับคำมู่น่อนน่อนแล้ว ว่าจะพาเธอหาเฉินมู่ ทว่าเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เขาก็ไปบริษัทแทน
เขาเดินทางออกจากเมืองหู้หยางนานขนาดนี้ ที่บริษัทมมีเรื่องราวตั้งมากมายที่กองสุมหัวจำเป็นให้เขาต้องเข้าไปจัดการ
มู่น่อนน่อนจึงได้ติดต่อฉินสุ่ยซาน
ฉินสุ่ยซานเจอหน้าเธอประโยคแรกที่พูดก็คือ “นี่แกยังรู้ทางกลับมาด้วยเหรอ?”
ประโยคที่สองคือ “ก่อนตรุษจีนจะส่งบทแรกให้ฉันได้ไหม?”
“น่าจะส่งให้ไม่ทันนะ” มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็เห็นฉินสุ่ยซานทำตาเขม็งใส่ จึงยิ้มให้และพูดเพิ่มเติมสมทบไปอีกประโยค “ฉันจะพยายาม”
“ทางที่ดีที่สุดแกส่งบทแรกให้ฉันก่อนตรุษจีน” ฉินสุ่ยซานเวลาทำงานถือว่าเป็นเคร่งครัดคนหนึ่ง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เธอก็ไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจแบบนี้แล้วแหละ
แต่ให้ใครมู่น่อนน่อนเขียนบทละครเก่งล่ะ แถมฐานะของเธอยังไม่ธรรมดาอีกเนี่ยนะสิ?
“แกไปทำอะไรที่เมือง M มา? ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาสักระยะว่าเฉินถิงเซียวเกิดอุบัติเหตุในอเมริกา แกอย่าบอกฉันนะ ว่าที่แกไปเมือง M มันช่างบังเอิญที่เฉินถิงเซียวก็ไปเมือง M เหมือนกัน?”
ฉินสุ่ยซานคนถ้วยกาแฟที่อยู่ด้านหน้า พลางเอียงศีรษะมองมู่น่อนน่อน นัยน์ตาเปล่งประกายแพรวพราว
มู่น่อนน่อนไม่ตอบแต่ยอกย้อนถามกลับแทน “แกคิดว่าไงล่ะ?”
ฉินสุ่ยซานทำเสียง “ชิ” “แกทำแบบนี้มันสนุกไหม? ทุกครั้งที่ถามเรื่องพวกนี้ แกก็ยอกย้อนคำถามฉันตลอด พูดกันตรงๆ เลยไม่ได้เหรอไงกัน?”
“พูดตรงๆ หน่อยเหรอ?” มู่น่อนน่อนยิ้มตอบ “งั้นแกก็พูดมาสิว่าแกกับนักแสดงที่ชื่อว่าสวุมู่หันมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? อ้อ ยังมีเฉินอันย่าอีก ความสัมพันธ์ระหว่างพวกแกสามคนฉันเองก็สนใจเรื่องนี้มากเลยแหละ”
ฉินสุ่ยซานอาการแข็งทื่อปรากฏอยู่บนใบหน้า “แกเชื่อมั้ยว่าฉันจะเอากาแฟถ้วยนี้สาดใส่หน้าแก?”
มู่น่อนน่อนยิ้มตอบ พลางยื่นมือออกไปเคาะช้อนเล็กๆ แก้วกาแฟที่อยู่ด้านหน้าของตัวเอง พร้อมทั้งพูดอย่างอ่อนโยน “แกมีกาแฟ ฉันก็มีนะ”
ฉินสุ่ยซานไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดีในเวลานั้น พลางหัวเราะด้วยอาการเยาะเย้ยและพูดว่า “ความจริงแล้วบางทีฉันก็รู้สึกว่า เรื่องพวกนี้ที่มันเกิดขึ้นกับตัวแก มันน่าสนุกกว่าบทละครที่แกเขียนอีก
มู่น่อนน่อนไม่ได้ต่อปากต่อคำกับฉินสุ่ยซาน
ความสัมพันธ์ของเธอกับฉินสุ่ยซานเป็นความสัมพันธ์กันแบบผู้ร่วมมือกัน แต่เฉินสุ่ยซานค่อนข้างพูดซุบซิบนินทาเกิน มักจะยุ่งเรื่องของเธอกับเฉินถิงเซียวอยู่ตลอด
……
หลังจากกลับมาเมืองหู้หยางได้หลายวันแล้ว เฉินถิงเซียวก็เอาแต่ไปบริษัททั้งวัน ส่วนมู่น่อนน่อนก็ไปออฟฟิศของฉินสุ่ยซานทุกวัน
ส่วนลี่จิ่วเชียนนั้น เขาเป็นศาสตราจารย์พิเศษของภาคจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย
มู่น่อนน่อนรู้จักลี่จิ่วเชียนจนมาถึงทุกวันนี้ สถานะของเขาเปลี่ยนไปเยอะมากจริงๆ
เป็นที่ปรึกษาทางจิตวิทยาให้กับทีมสอบสวนทางคดีอาชญากรรม นายแพทย์ที่เปิดคลินิกจิตวิทยา เชฟ ตอนนี้เป็นศาสตราจารย์พิเศษภาคจิตวิทยา
วันนี้ มู่น่อนน่อนตั้งใจจะออกจากออฟฟิศให้เร็วๆ เพราะต้องการจะไปหาลี่จิ่วเชียน
แม้ว่าเฉินถิงเซียวไม่ยินยอมให้เธอเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตราย แต่ก็ไม่ได้จำกัดสิทธิ์ให้ตัวเธอเองใช้ชีวิตอิสระ
เธอนัดลี่จิ่วเชียนในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ในละแวกมหาวิทยาลัย
ลี่จิ่วเชียนอ้าปากถาม “ช่วงนี้คุณใช้ชีวิตอยู่กับเฉินถิงเซียวแล้วเหรอครับ?”
“พูดว่าพักอยู่ในวิลล่าของเขาก็เท่านั้นเอง สองสามวันมานี้ฉันไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา” มู่น่อนน่อนแสดงท่าทางเกียจคร้านตอนมองมาที่เขา
“ก็ดีนะ ด้วยอารมณ์อย่างคุณแล้ว ถ้าเขาเกิดอยู่บ้านทุกวัน เกรงว่าคุณก็ต้องหุนหันพลันแล่นจนเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาได้” น้ำเสียงลี่จิ่วเชียนฟังดูราวปกติมาก ทว่าในแววตาของเขาปรากฏความร้ายกาจออกมา ซึ่งก็ไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของมู่น่อนน่อนไปได้เลย
เมื่อคุณค้นพบคนคนหนึ่งมีจิตใจทะเยอทะยานดั่งหมาป่าแล้ว จึงตราตรึงเงานั้นอยู่ในใจ และย่อมคอยจับผิดความคิดอันชั่วร้ายที่ซ่อนเร้นของคนคนนั้นอยู่ตลอดเวลา
มู่น่อนน่อนเก็บอารมณ์ที่แสดงออกมามากเกินทางสีหน้า พลางยิ้มให้อย่างเย็นชา และเอาช้อนในมือยื่นออกไป “ตอนนี้ทุกนาทีฉันไม่อยากอยู่ในวิลล่าของเฉินถิงเซียวต่อ ตราบใดที่อยู่ในวิลล่าของเขามากกว่าหนึ่งนาที ฉันคิดถึงมู่มู่ จนรู้สึกว่าร่างกายทรมานจนเกิดอาการคลุ้มคลั่ง”
เธอพูดออกมา ด้วยแววตาจงเกลียดจงชัง
ความเกลียดมันเป็นความจริง แต่ไม่ใช่เฉินถิงเซียว แต่เป็นเพราะลี่จิ่วเชียนแทน