ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 623 อาจจะหาย
ชายหนวดเครายื่นหนึ่งถ้วยให้กับเฉินจิ่งหยุ้นก่อน
แต่ว่าเฉินจิ่งหยุ้นกลับถลึงตาใส่เขาแล้วกล่าวขึ้นหนึ่งประโยคว่า :“ถ้วยแรกให้แขกก่อน”
ชายหนวดเคราก็ไม่ได้พูดอะไร ยกถ้วยชามาด้านหน้าของมู่น่อนน่อน:“เชิญดื่มชาครับ!”
“ขอบคุณค่ะ” มู่น่อนน่อนรับถ้วยชามาแล้วกล่าวขอบคุณ จากนั้นกุมจับไว้ในมือ แต่สายตาของเธอกลับกวาดมองไปทั่วบ้าน
บ้านหลังนี้เป็นบ้านเล็ก ๆ สามชั้น ไม่เหมือนกับคฤหาสน์ในเมืองที่ใหญ่โตโอ่อ่าประณีต ดูธรรมดาแต่กลับอบอุ่น
มู่น่อนน่อนมองไม่เห็นเงาของคนรับใช้ และก็ไม่เห็นเฉินมู่
เฉินจิ่งหยุ้นดูแล้วไม่เหมือนกับเมื่อก่อน มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เฉินจิ่งหยุ้นอยู่ที่นี่ได้จะต้องไม่ใช่เป็นเรื่องที่บังเอิญ
มู่น่อนน่อนไม่ได้เร่งรีบที่จะถามอะไรมากมาย
ชายหนวดเคราเสิร์ฟน้ำชาให้พวกเขาทั้งสองคนละถ้วยแล้ว ก็เดินไปนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ จากนั้นหยิบโทรศัพท์ออกมา นิ้วมือเล่นอยู่บนหน้าจอ ที่ดูเหมือนกำลังเล่นเกมอยู่
เฉินจิ่งหยุ้นได้กล่าวหนึ่งประโยคขึ้นอย่างกะทันหัน:“เธอมาหามู่มู่ล่ะสิ”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น ก็หันหน้ามามองเธอทันที:“เธออยู่ที่นี่เหรอ?”
“เธอมาหาถึงที่นี่ได้ หรือไม่รู้ว่ามู่มู่อยู่ที่นี่?” เฉินจิ่งหยุ้นเอนหลังพิงโซฟาอย่างเกียจคร้าน และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นในเวลานี้
ชายหนวดเคราได้ลุกแล้วเดินขึ้นไปบนตึก สักพักก็ลงมา
โดยมีผ้าห่มถือไว้ในมือ
เขาเดินตรงมาทางด้านหน้าเฉินจิ่งหยุ้น แล้วโยนผ้าห่มลงบนตัวเฉินจิ่งหยุ้น
เฉินจิ่งหยุ้นมองเขาอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง แล้วก็หันกลับมาคุยต่อเรื่องที่คุยค้างกับมู่น่อนน่อนเมื่อสักครู่:“มู่มู่นั้นอยู่ที่นี่จริง ๆ แต่ว่าเธอต้องเตรียมใจไว้หน่อยนะ”
“เธอเป็นอะไร?” หัวใจมู่น่อนน่อนตกลงในตาตุ่ม สีหน้าเปลี่ยน:“เฉินถิงเซียวบอกกับฉันว่ามู่มู่สบายดี”
“เมื่อเธอเห็นแล้วเธอก็จะรู้เอง” เฉินจิ่งหยุ้นเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างคล้ายกับเฉินถิงเซียว
เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน หน้าตาเหมือนกันก็เป็นเรื่องปกติ
เฉินจิ่งหยุ้นกล่าวจบก็ลุกยืนขึ้น
มู่น่อนน่อนรูว่าเฉินจิ่งหยุ้นนั้นจะพาเธอไปดูเฉินมู่ จึงได้ลุกขึ้นตามทันที
ตอนที่ขึ้นไปบนตึกนั้น มู่น่อนน่อนตามอยู่ด้านหลังเฉินจิ่งหยุ้นอย่างใกล้ชิด จึงสังเกตเห็นว่าเฉินจิ่งหยุ้น
นั้นผอมลงไปมาก
เสื้อคลุมตัวใหญ่ยาวพลิ้วไหวตามท่วงท่าการเคลื่อนไหวขึ้นบนตึกของเฉินจิ่งหยุ้น จึงเห็นความหลวมของเสื้อได้อย่างชัดเจน
เฉินจิ่งหยุ้นพามู่น่อนน่อนขึ้นไปถึงชั้นสอง แล้วเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องหนึ่ง
เวลานี้จิตใจของมู่น่อนน่อนค่อนข้างรีบร้อน เมื่อเห็นเฉินจิ่งหยุ้นไม่เปิดประตู เธอจึงยื่นมือไปเพื่อผลักประตู
แต่ เฉินจิ่งหยุ้นได้จับมือของเธอและหยุดการกระทำที่ต้องการเปิดประตูของมู่น่อนน่อนไว้
ทันใดนั้นมู่น่อนน่อนรู้สึกถึงมือที่จับมือตัวเองนั้นผอมแห้งจนเห็นกระดูกได้อย่างชัดเจน กดทับมือจนรู้สึกเจ็บ
แต่ว่า เวลานี้มู่น่อนน่อนจิตใจร้อนรุ่มดุจเปลวไฟ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก สีหน้าเย็นชา แล้วถามขึ้น:“เธอหมายความว่าอย่างไร!”
“อย่าลืมเรื่องที่ฉันเตือนเธอเมื่อสักครู่” เฉินจิ่งหยุ้นพูดจบก็ทำการปล่อยมือ
ในใจของมู่น่อนน่อนกระวนกระวายจนถึงขีดสุด เธอจับที่จับประตูด้วยตัวที่แข็งทื่อ
จนถึงขั้นรู้สึกไม่กล้าที่จะเปิดประตูออกมา
เฉินจิ่งหยุ้นให้เธอเตรียมใจอีกครั้ง เธอรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ของเฉินมู่นั้นไม่ธรรมดา
เฉินจิ่งหยุ้นก็ไม่ได้ห้ามเธออีก ทำเพียงหลบไปด้านข้าง แล้วให้มู่น่อนน่อนเป็นคนตัดสินใจเอง
ครึ่งนาทีผ่านไป มู่น่อนน่อนรวบรวมความกล้าแล้วบิดลูกบิดประตู แล้วเปิดประตูนั้นออกมา
ในห้องตกแต่งอย่างอบอุ่นด้วยพรมหนานุ่ม
สีชมพู เต็มไปด้วยบรรยากาศความเป็นเด็ก ๆ
แต่มู่น่อนน่อนมองไปรอบ ๆ กลับมองไม่เห็นเฉินมู่
เธอเดินเข้าไปข้างในแล้วส่งเสียงเรียกขึ้น:“มู่มู่”
ไม่มีเสียงตอบรับ เธอจึงหันกลับมามองเฉินจิ่งหยุ้น ที่แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย
เฉินจิ่งหยุ้นก็มองเข้าไปด้านในแวบหนึ่ง จากนั้นเดินผ่านเธอไป
เตียงในห้องนั้นตั้งเป็นแนวนอน เฉินจิ่งหยุ้นจึงเดินตรงเข้าไที่เตียง
เดินไปถึงตำแหน่งบนหัวเตียง เธอก็ได้หยุดลง แล้วหันมามองมู่น่อนน่อน ส่งสัญญาณให้เธอเดินเข้าไป
มู่น่อนน่อนที่ยืนอยู่หน้าประตู ไม่กล้าขยับตัวในขณะนั้น
เฉินจิ่งหยุ้นหันกลับไป แล้วมองไปยังพื้นด้านในเตียง จากนั้นกล่าวเบา ๆ :“มู่มู่ คุณแม่มาหา”
ทันใดนั้น มู่น่อนน่อนตระหนักถึงบางอย่าง ดวงตาจึงแดงก่ำทันที
เธอก้าวขาออก แล้วตรงเข้าไปอย่างรวดเร็ว ก็เห็นเฉินมู่ที่สวมเสื้อสเวตเตอร์สีชมพูนั่งพิงเตียงอยู่บนพื้น ถือขวดพลาสติกเล็ก ๆ อยู่ในมือและเล่นกับตัวเองคนเดียว ราวกับไม่เห็นคนที่เข้ามา
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป แล้วนั่งลงตรงหน้าเฉินมู่ จากนั้นเรียกเบาก ๆ อย่างอ่อนโยน:“มู่มู่”
เฉินมู่ที่เหมือนกับไม่ได้ยิน ยังคงเล่นขวดพลาสติกในมือต่อ ก้มหน้าก้มตาจมอยู่ในโลกของตัวเอง
“แม่คือแม่ของหนูไง มู่มู่ หนูมองหน้าแม่สิ!” มู่น่อนน่อนพลางพูดพลางยื่นมือไปกอดเธอ
แต่ขณะที่มือของเธอไปโดนตัวเฉินมู่ เฉินมู่ก็ต่อต้านปัดมือเธอออกอย่างรุนแรง
มือของมู่น่อนน่อนจึงค้างอยู่ในอากาศอย่างนั้น มองเฉินมู่โดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
หลังจากที่เฉินมู่ปัดมือของมู่น่อนน่อนแล้ว เธอก็ก้มหน้าเล่นขวดพลาสติกเล็ก ๆ ของตัวเองต่อ โดยไม่สนใจการรบกวนของเธอ
มู่น่อนน่อนเบ้าตาแดงก่ำ หันกลับไปมองเฉินจิ่งหยุ้น น้ำเสียงสั่นเครือ:“ทำไมถึง……เป็นแบบนี้?”
เฉินจิ่งหยุ้นทอดถอนใจเบา ๆ:“ตอนที่เฉินถิงเซียวส่งเธมมาหาฉันนั้นก็เป็นแบบนี้แล้ว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอยู่อย่างนั้น เมื่อสองสามวันก่อนสถานการณ์ดีขึ้น แต่แป๊บเดียวก็กำเริบขึ้นอีกครั้ง”
มู่น่อนน่อนมองเฉินมู่ด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วพึมพำ :“ดังนั้นตอนที่เพิ่งกลับมา เฉินถิงเซียวรับปากว่าจะให้ฉันเจอมู่มู่ แต่ผ่านไปไม่กี่วัน เขาก็ไม่ให้ฉันเจอมู่มู่อีก เพราะมู่มู่อาการกำเริบ”
“แต่ว่าเธอทำไมถึงเป็นแบบนี้……มู่มู่……เมื่อก่อนสดใสมีชีวิตชีวามาก……” ในลำคอมู่น่อนน่อนเหมือนมีก้อนสำลีอุดไว้ก็ไม่ปาน จนรู้สึกอึดอัด หายใจลำบาก
มู่น่อนน่อนอ้าปากขึ้นและสูดลมหายใจเข้าไปสองครั้งติดต่อกัน แล้วก็กลั้นน้ำตาที่ซึมอยู่ในเบ้าตาไม่ให้ไหลออกมา
“ไปหาหมอมาแล้ว ทานยาก็ไม่หาย อาการป่วยทางใจต้องใช้ยาใจรักษา ต้องคอยพยายามชักนำ ก็อาจจะหาย”
ความหมายของก็อาจจะหาย คือ ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่หาย
มู่น่อนน่อนยกมุมปากขึ้นแล้วกล่าว:“มู่มู่จะต้องหายอย่างแน่นอน!”
…..
มู่น่อนน่อนคุยกับเฉินมู่อยู่ในห้องอีกพักใหญ่ ๆ พยายามที่จะหยอกเล่นกับเฉินมู่ แต่เฉินมู่กลับไม่พูดกับเธอแม้แต่คำเดียว ทำเพียงแค่จ้องมองคู่ดวงตาของเธอเท่านั้น
แต่เฉินมู่ยอมที่จะจ้องคู่ดวงตาของเธอ ก็ยังดีกว่าการที่เธอไม่สนใจเธอเลย
เมื่อด้านนอกฟ้ามืดค่ำลงแล้ว มู่น่อนน่อนลงตึกไปเตรียมตัวที่จะทำอาหาร
หลังจากที่เฉินจิ่งหยุ้นออกจากห้อง ทิ้งให้มู่น่อนน่อนกับเฉินมู่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แล้วมู่น่อนน่อนก็ลงมาจากตึกนั้น ก็เห็นเฉินจิ่งหยุ้นนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ดูตำราอาหารที่อยู่ในมืออย่างตั้งใจ
ได้ยินเสียงฝีเท้า เฉินจิ่งหยุ้นจึงหันหน้ามา:“เป็นไงบ้าง”
“เธอไม่พูดกับฉันเลย แต่เมื่อฉันพูดเรื่องที่น่าสนใจ เธอก็จะมองมาที่ฉัน” มู่น่อนน่อนยิ้มเบา ๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจ
เฉินจิ่งหยุ้นเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้น:“อยู่ที่นี่ ไม่มีอาหารเย็นให้เลือกนะ ฝีมือการทำอาหารของฉันไม่ดี”
มู่น่อนน่อนประหลาดใจ:“เธอทำอาหารเป็น?”