ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 625 รอความตาย
ตามแรงดึงของเฉินจิ่งหยุ้น วิกผมบนศีรษะของเธอก็ถูกดึงออกมา เผยให้เห็นถึงผมเดิมของเธอ
เมื่อก่อน เฉินจิ่งหยุ้นมีผมสวยงามที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี
แต่ว่าเวลานี้ เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นขาดวิกผมที่ปกปิดศีรษะแล้ว ก็เผยให้เห็นถึงเส้นผมเบาบางและแห้งบนศีรษะของเธอ และยังมองเห็นแผ่นหนังศีรษะที่กว้างของเธอด้วย
มู่น่อนน่อนเกิดความตกใจ:“เธอ……”
เฉินจิ่งหยุ้นกล่าวสองคำอย่างเรียบนิ่ง:“มะเร็ง”
หลังจากที่เธอกล่าวเบา ๆ เสร็จ ก็ได้สวมวิกกลับเข้าไปใหม่
การกระทำที่ดูช่ำชอง ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับการทำเช่นนี้มานานแล้ว
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้น :“ทำไมถึงไม่อยู่รักษาที่ต่างประเทศ ปัจจัยการรักษาที่ต่างประเทศดีกว่าตั้งเยอะ”
“มีสุภาษิตคำโบราณกล่าวไว้ว่า ‘ใบไม้ย่อมร่วงคืนสู่ราก’ เฉินจิ่งหยุ้นเชิดคางขึ้น ความเย่อหยิ่งทะนงที่ฝังอยู่ในกระดูกยังคงไม่ลดน้อยลง: “แม้ว่าฉันจะอยู่ต่างประเทศมานานหลายปี แต่สำหรับฉันนแล้ว นั่นก็ยังเป็นเพียงต่างบ้านต่างเมือง ถ้าหากว่าฉันตายแล้ว ฉันก็อยากจะฝังอยู่ในสถานที่ที่ฉันเกิด”
มู่น่อนน่อนฟังเข้าใจในความหมายของเธอ เฉินจิ่งหยุ้นล้มเลิกที่จะทำการรักษาแล้ว ตอนนี้เธออาศัยอยู่ที่นี่ ก็เพื่อรอความตาย!
คนที่เคยคิดว่าไม่มีใครเทียบตัวเองได้อย่างเฉินจิ่งหยุ้น มีเกียรติยศหน้าตา มีผู้คนที่อิจฉาคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเฉิน กลับมาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่เรียบง่ายเพื่อรอความตาย
ความรู้สึกมู่น่อนน่อนเกิดความสับสนซับซ้อน
ถ้าหากจะบอกว่าเห็นอกเห็นใจ เธอก็ไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจเฉินจิ่งหยุ้นเป็นพิเศษ
แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปดี ๆ เฉินจิ่งหยุ้นก็ไม่เคยทำเรื่องอะไรจนไม่สามารถยกโทษได้จริง ๆ
ถึงแม้เฉินจิ่งหยุ้นจะเคยแยกเธอกับเฉินถิงเซียวสามปี แต่สามปีนั้นเธอก็ยังคงดูแลเฉินมู่เป็นอย่างดี
ถ้าหากว่าเฉินจิ่งหยุ้นโหดร้ายพอ ก็คงจะทำการฆ่าอย่างสิ้นซาก
เฉินจิ่งหยุ้นไม่ได้โหดร้ายขนาดที่ว่าให้อภัยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนจิตใจดี
ถ้ามองจากมุมอื่น เธอเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเฉินถิงเซียว และก็เป็นป้าแท้ ๆ ของเฉินมู่
ยิ่งเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลือไม่มากของเฉินถิงเซียว
“มู่น่อนน่อน เธอรู้ไหมว่าปฏิกิริยาบนใบหน้าของเธอเป็นอย่างไร” คำพูดของเฉินจิ่งหยุ้นดึงความคิดของมู่น่อนน่อนกลับมา
มู่น่อนน่อนยื่นมือออกมาจับใบหน้าของตัวเอง
เฉินจิ่งหยุ้นกล่าวอย่างหยอกล้อ:“บนใบหน้าเขียนคำว่าเห็นอกเห็นใจไว้อย่างชัดเจน!”
มู่น่อนน่อนปฏิเสธอย่างเสียงแข็ง:“ฉันเปล่า”
“อย่างนั้นก็ดี” เฉินจิ่งหยุ้นยิ้มเบา ๆ “ต่อให้ฉันใกล้จะตาย ฉันก็ใช้ชีวิตที่ดีมีเกียร์ติมาทั้งชีวิต ดีกว่าเธอมาก”
มู่น่อนน่อนจ้องมองไปที่เฉินจิ่งหยุ้น มองออกอย่างน่าประหลาดใจถึงเบื้องหลังรอยยิ้มที่ฝืนของเฉินจิ่งหยุ้น
ถ้าหากว่าเฉินจิ่งหยุ้นรู้สึกพอใจกับการใช้ชีวิตที่ดีในชีวิตนี้จริง ๆ ทำไมต้องกลับมาหาเฉินถิงเซียว?
ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่ได้ทำงานที่บริษัทเฉินซื่อแล้ว แต่ก็มีเงินใช้จ่ายอย่างไม่หมด เธอสามารถนำเงินเหล่านั้นมาใช้จ่ายได้อย่างฟุ่มเฟือย
ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับการให้อภัย เว้นแต่จะได้ทำความผิดพลาดที่ยกโทษให้ไม่ได้
นี่เฉินจิ่งหยุ้นคงจะ……สำนึกผิดแล้ว
……
เวลานอนตอนกลางคืนนั้น มู่น่อนน่อนนั้นอยากจะนอนเป็นเพื่อนเฉินมู่
แต่ว่าเฉินมู่ยังคงต่อต้านเธอ และยังนอนดึกมากด้วย
มู่น่อนน่อนนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตู จนกระทั่งห้าทุ่ม เฉินมู่ถึงได้นอนลงบนพรมที่อยู่บนพื้น
มู่น่อนน่อนจึงได้เข้าไป แล้วอุ้มเธอขึ้นมาวางบนเตียง จากนั้นค่อย ๆ ห่มผ้าห่มให้เธอเบา ๆ
เธอนั่งอยู่ริมเตียงอยู่สักพัก จากนั้นก็ลงตึกเพื่อไปรินน้ำ
เธอรินน้ำเสร็จแล้วเดินออกจากห้องครัว ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังจากด้านนอก
ดึกขนาดนี้แล้ว ใครกันนะ
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้ว ขณะกำลังลังเลว่าจะไปดูดีหรือไม่ ก็ได้ยินเสียงก้าวฝีเท้า
เธอหันกลับไปดู ก็เห็นชายหนวดเคราเดินลงมาจากบนตึก เขาพลางเดินพลางใส่เสื้อผ้า
ตามที่เฉินจิ่งหยุ้นบอก ชายหนวดเคราคนนี้ชื่อฉีเฉิง เป็นบอดี้การ์ด
แต่มู่น่อนน่อนมักจะรู้สึกว่า เขาไม่ใช่บอดี้การ์ดที่ธรรมดา
รอบกายเฉินถิงเซียวมีบอดี้การ์ดมากมาย มู่น่อนน่อนยังไม่เคยเห็นบอดี้การ์ดคนใดเหมือนกับฉีเฉิง ที่แววตาคมกริบ มีบางครั้งที่เปล่งประกาย ยังให้ความรู้สึกน่าสะพรึง
ฉีเฉิงเห็นมู่น่อนน่อนอยู่ที่ห้องรับแขก ก็ชะงักขึ้น แล้วกล่าว:“ผมจะไปเปิดประตู”
น้ำเสียงของเขาที่ตรงไปตรงมาและเด็ดขาด เมื่อพูดจบก็ก้าวเท้ายาวออกไป
มู่น่อนน่อนไม่ได้ตามออกไปด้วย รอฉีเฉิงอยู่ที่ห้องรับแขก
หลังจากนั้นไม่กี่นาที เธอก็ได้ยินเสียงก้าวเดินกลับมาของฉีเฉิง
ถ้าฟังเพียงเสียงก้าวเดินของฝีเท้า มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าไม่ได้มีเพียงแต่เสียงฝีเท้าของฉีเฉิง ยังมีเสียงฝีเท้าของอีกคนหนึ่ง
“เอี๊ยด” ประตูถูกผลักออก
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมอง ก็เห็นร่างที่คุ้นเคยของเฉินถิงเซียวกำลังก้าวเข้ามาในบ้าน โดยมี ฉีเฉิงเดินตามอยู่ด้านหลัง
มู่น่อนน่อนชะงัก แล้วก็เข้าไปต้อนรับ:“คุณมาได้อย่างไร”
เฉินถิงเซียวก็ไม่ถามว่าเธอรู้ได้อย่างไร มาได้อย่างไร
อย่างแรกเขาจ้องมองเธออยู่สักพัก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองบนตึกแล้วถามขึ้น:“เจอมู่มู่เหรือยัง”
เมื่อเอ่ยถึงเฉินมู่ บรรยากาศก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง
ใบหน้ามู่น่อนน่อนซีดเล็กน้อย:“เจอแล้ว”
เธอหันหลังแล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟา เฉินถิงเซียวได้ตามไปด้วย
ฉีเฉิงเดินขึ้นไปบนตึก ทิ้งมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวอยู่ในห้องรับแขกตามลำพัง
ทั้งคู่ต่างนั่งเคียงกันบนโซฟา มองหน้ากันอย่างเงียบ ๆ
เวลาเช่นนี้ มู่น่อนน่อนไม่มีอารมณ์ที่จะทะเลาะกับเฉินถิงเซียวอีก และก็ไม่อยากจะตำหนิติโทษใครที่เฉินมู่เป็นแบบนี้
เธอเพียงต้องการให้เฉินมู่หายขึ้นเร็ว ๆ
สักพักเฉินถิงเซียวเอ่ยปากขึ้นก่อน:“สถานการณ์ปัจจุบันของมู่มู่ เป็นการปิดตัวเองตามสัญชาตญาณหลังจากเผชิญสถานการณ์วิกฤติ เพื่อที่จะเสาะหาความรู้สึกปลอดภัย ขอเพียงอยู่ในสภาพแววล้อมที่นิ่งมั่นคง อาการก็จะดีขึ้นในไม่ช้า”
มู่น่อนน่อนเม้มปาก ไม่พูดไม่จา
“เธอเพิ่งจะหลับไป จะไปดูไหม” มู่น่อนน่อนหันมามองเขา
“อืม”” เฉินถิงเซียวพยักหน้า
ทั้งคู่คนหนึ่งเดินนำหน้าคนหนึ่งเดินตามหลังขึ้นไปชั้นบนดูเฉินมู่
ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะเดินออกมานั้น ได้เปิดไฟเล็ก ๆ ทิ้งไว้ในห้องเฉินมู่
เมื่อเธอผลักประตูเดินเข้าไป เฉินมู่ที่เดิมทีได้นอนหลับไปแล้ว เวลานี้เธอกลับนั่งอยู่บนผ้าห่ม ก้มหน้าเล่นอะไรบางอย่าง
“มู่มู่”
มู่น่อนน่อนเรียกชื่อของเธอไปหนึ่งครั้ง เฉินมู่เงยหน้าขึ้นทันใด แล้วถอยไปด้านหลังด้วยความตกใจ จากนั้นก็ซุกเข้าไปอยู่ในผ้าห่ม แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมหัว คลุมตัวเองไว้อย่างแน่นหนา
มู่น่อนน่อนหันกลับไปมองเฉินถิงเซียวแวบหนึ่ง ก่อนที่จะเดินไปข้างเตียงอย่างรวดเร็ว
เธอลองยื่นมือไปเพื่อจะดึงเปิดผ้าห่มของเฉินมู่
แต่เมื่อมือของเธอโดนผ้าห่ม ก็ได้ยินเฉินมู่กรีดร้องขึ้น
มู่น่อนน่อนดึงมือกลับทันทีราวกับไฟฟ้าช็อต
เฉินถิงเซียวเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเธอ ขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไปหา ยื่นมือไปเลิกผ้าห่มของเฉินมู่ออก
“คุณจะทำอะไร!” มู่น่อนน่อนเปล่งเสียงต่ำ อยากจะห้ามเขา
แต่เรื่องที่เฉินถิงเซียวต้องการทำ ไม่มีใครที่จะห้ามได้
บนผ้าปูที่นอน เฉินมู่ขดตัวเป็นก้อนอยู่ในนั้น และก็ไม่มองมาทางพวกเขา
เฉินถิงเซียวยื่นสุดแขนอุ้มเฉินมู่ขึ้นมา
เฉินมู่ขมวดคิ้ว แล้วขัดขืนเหมือนกับที่ทำกับมู่น่อนน่อนก่อนหน้านี้ สะบัดมือน้อย ๆ ตีเฉินถิงเซียว