ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 626 ฉันไม่ใช่แค่มู่น่อนน่อน
เฉินถิงเซียวปล่อยให้เฉินมู่ตีสองสามที แล้วก็จับมือของเฉินมู่ไว้
เฉินมู่ก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น มองดูการถูกควบคุม
เฉินถิงเซียวเอียงหน้าไปหอมเฉินมู่ฟอดหนึ่ง :“เรียกพ่อสิ”
เฉินมู่จึงสงบลงอย่างน่าประหลาดใจ แม้ว่าจะยังคงขัดขืน แต่ก็ไม่รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวด้วยสีหน้ามึนงง
เธอคิดไม่ถึงว่าไม้นี้ของเฉินถิงเซียวจะใช้ได้ผล
ถึงแม้เฉินมู่จะไม่ได้เรียกพ่อ แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านั้นมาก
มู่น่อนน่อนเห็นความกลัวจากแววตาของเฉินมู่
เฉินถิงเซียวเป็นคุณพ่อที่เข้มงวด เฉินมู่ทั้งชอบและกลัวเขามาโดยตลอด ความรู้สึกกลัวที่ฝังอยู่ในกระดูก แม้แต่ตอนนี้เธอก็ยังกลัวเฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียววางเฉินมู่ลงบนเตียง:“นอนนะ”
เมื่อเฉินมู่ถึงบนเตียง ก็ซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มทันที แล้วมองเฉินถิงเซียวอย่างระแวดระวัง
ท่าท่างที่ดูน่าสงสารมาก
มู่น่อนน่อนใจอ่อน จึงกระตุกแขนของเฉินถิงเซียว แล้วกล่าวเบา ๆ :“หรือว่าคุณออกไปก่อน”
“ผมไม่ออกไป” เฉินถิงเซียวมองดูมู่น่อนน่อนแวบหนึ่ง แล้วก็นั่งลงข้างเตียง
เฉินมู่เห็นเฉินถิงเซียวเข้ามาใกล้ จึงขดตัวอยู่ในผ้าห่ม จนมองไม่เห็นตัวคน
เฉินถิงเซียวดึงผ้าห่มออก ให้เห็นถึงศีรษะของเฉินมู่
เฉินมู่ก็ขดตัวลงไปอีก เฉินถิงเซียวจึงได้ดึงตัวเธอไว้
เฉินมู่จึงขยับตัวไม่ได้อีก เหมือนกับสัตว์ร้ายที่ถูกล่ามโซ่ไว้ แล้วก็จ้องไปที่เฉินถิงเซียว
แต่กลับไม่ดุร้ายเลยสักนิด
ในที่สุด ด้วยเวลาที่ดึกมากแล้ว เฉินมู่จึงได้หลับใหลไป
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวเดินออกมาจากห้องของเฉินมู่นั้น ก็เป็นเวลาเกือบสีสองแล้ว
ค่ำคืนดึกสงัดทำให้คนอ่อนล้า แต่ทั้งคู่กลับไม่รู้สึกง่วงนอน
มู่น่อนน่อนหงายมือปิดประตู ยังไม่ทันได้กล่าวอะไร ก็ได้ยินเสียงอีกห้องหนึ่งดังขึ้น
เธอมองไปตามเสียง ก็เห็นเฉินจิ่งหยุ้นเปิดประตูออกมา
บนตัวเฉินจิ่งหยุ้นคลุมด้วยเสื้อคลุมหนา ๆ ยิ่งทำให้เธอดูผอมมากขึ้น
มู่น่อนน่อนสังเกตเห็นเฉินจิ่งหยุ้นได้ใส่วิกผม เพียงแต่ไม่ได้เรียบร้อยเหมือนเมื่อตอนกลางวัน ดูเหมือนจะรีบร้อนในการสวมใส่
เธอเดาว่าน่าจะเป็นเพราะเฉินจิ่งหยุ้นรู้ว่าเฉินถิงเซียวมาแล้ว จึงได้ตั้งใจใส่วิกผมอีกครั้ง
เฉินจิ่งหยุ้นกับเฉินถิงเซียวสองพี่น้องนี้……
มู่น่อนน่อนถอนหายใจเงียบ ๆ แล้วหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว
เฉินจิ่งหยุ้นได้เดินเข้ามาใกล้ สายตากวาดมองตัวของทั้งคู่ จากนั้นกระทบลงไปที่ตัวของเฉินถิงเซียว แล้วกล่าวเบา ๆ:“มาแล้วเหรอ”
เฉินถิงเซียวสีหน้าราบเรียบ กล่าวเพียงว่า:“อืม”
เฉินจิ่งหยุ้นเหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่าง อาจะเป็นเพราะท่าทางที่เย็นชาของเฉินถิงเซียว ทำให้เธอไม่พูดอะไรอีกหลังจากนั้น
“แกนอนกับมู่น่อนน่อนเถอะ ทุกอย่างมีครบ เป็นของที่แกใช้ตอนที่มาครั้งก่อน” เฉินจิ่งหยุ้นกล่าวจบก็หันหลังกลับห้องไป
เพียงแต่เมื่อเธอไปถึงที่ประตู ก็เหมือนกับคิดอะไรขึ้นได้ จึงหันกลับมา:“จากเมืองหู้หยางมาที่นี่ใช้เวลากี่ชั่วโมง แกมาหลังจากเลิกงานใช่ไหม ทานอะไรหรือยัง”
แม้เฉินจิ่งหยุ้นจะถามเฉินถิงเซียว แต่สายตากลับจ้องมาที่ตัวมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนเข้าใจทันทีว่าคำพูดนี้เฉินจิ่งหยุ้นนั้นพูดให้กับเธอ
เฉินถิงเซียวมาถึงที่นี่ก็ดึกมากแล้ว มู่น่อนน่อนตอนนี้ไม่มีอารมณ์ที่จะไปคิดอะไรอย่างอื่น จึงย่อมไม่ได้คิดถึงเรื่องที่เฉินถิงเซียวทานข้าวหรือยัง
เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นกล่าวจบ ก็ทิ้งไว้หนึ่งประโยค “ฉันไปนอนก่อนนะ” ทิ้งมู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวทั้งคู่อยู่บนระเบียงทางเดิน
มู่น่อนน่อนถามเฉินถิงเซียว:“ยังไม่ได้ทานข้าวใช่ไหม”
ไม่รอให้เฉินถิงเซียวได้ตอบ มู่น่อนน่อนก็เปล่งเสียงออกมา:“ตามฉันมา ฉันจะไปห้องครัวทำบางอย่างให้คุณทาน” นิสัยของเฉินถิงเซียว เธอนั้นเข้าใจอย่างดี
สือเย่บอกที่อยู่ของเฉินมู่ให้กับเธอ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเมื่อเฉินถิงเซียวรู้เรื่องนี้ จะต้องระเบิดอารมณ์อย่างแน่นอน
ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่สือเย่จะเป็นคนบอกเฉินถิงเซียวก่อน
เฉินถิงเซียวรู้เรื่องนี้เข้า จะมีกะจิตกะใจที่ไหนมาทานอาหาร จะต้องทำการขับรถแล้วตรงมาที่นี่อย่างแน่นอน
มู่น่อนน่อนพาเฉินถิงเซียวไปที่ห้องครัว หยิบไข่และแครอทจากตู้เย็น เตรียมที่จะทำข้าวผัดไข่ให้กับเฉินถิงเซียว
ห้องครัวกับห้องอาหารนั้นอยู่ติดต่อกัน
ขณะที่มู่น่อนน่อนผัดข้าวผัดให้กับเขานั้น เฉินถิงเซียวได้นั่งหน้าโต๊ะอาหารแล้วจ้องมองเธอ
หลังจากที่ทำอาหารเสร็จแล้ว มู่น่อนน่อนได้ทำซุปผักง่าย ๆ ให้กับเขาอีก
เฉินถิงเซียวไม่ใช่คนเลือกทาน เว้นแต่หัวหอม เมื่อมู่น่อนน่อนยกมาเสิร์ฟเขาแล้ว เขาก็ก้มหน้าก้มตาทาน
ทานจนหมดไม่เหลือแม้แต่เศษชิ้นเดียว
มู่น่อนน่อนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินถิงเซียว มองเขาถือช้อนค่อย ๆ ทานข้าวผัด ในใจเกิดความรู้สึกจี๊ดขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก
ถ้าหากเฉินถิงเซียวไม่ได้อยู่กับเธอ เขาก็คงไม่มีจุดอ่อน และคงไม่เป็นอย่างเช่นตอนนี้ ที่ต้องขับรถกลางดึก-สองสามชั่วโมงมาถึงสถานที่ตรงนี้
ถ้าหากว่าเขาไม่มีจุดอ่อน เขายังคงเป็นคุณชายที่สูงส่งของตระกูลเฉิน
ไม่มีใครทำอะไรเขาได้
แต่เธอกับเฉินมู่กลายเป็นจุดอ่อนของเขา
มองเฉินถิงเซียวทานข้าวผัดเสร็จแล้ว มู่น่อนน่อนจึงก้มหน้าเรียกด้วยเสียงเบา ๆ :“เฉินถิงเซียว”
“อะไรเหรอ” เฉินถิงเซียวมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นลุกยืนขึ้น ถือจานอาหารที่ตัวเองทานเสร็จไว้ แล้วกล่าว: “ผมเอาจานไปไว้ที่ห้องครัวก่อน”
เขาพลางพูดพลางเขยิบเก้าอี้แล้วเดินตรงไปที่ห้องครัว
อาจเป็นเพราะรับอิทธิพลจากเฉินมู่ ก่อนหน้านี้ที่มู่น่อนน่อนเช่าอาศัยอยู่ด้านนอกเพียงลำพังนั้น เฉินมู่ก็ดึงเฉินถิงเซียวเก็บจานของตัวเอง นี่จึงทำให้เฉินถิงเซียวเกิดความเคยชิน
ในสภาวะที่ไม่มีคนรับใช้ มีเพียงพวกเขาที่ทำอาหารทานกันเองนั้น เฉินถิงเซียวก็เก็บจานของตัวเองจนกลายเป็นนิสัย
มู่น่อนน่อนมองตามร่างเฉินถิงเซียวเข้าไปในห้องครัว
เมื่อเฉินถิงเซียวเข้าไปในห้องครัว ก็ไม่ได้นำจานไปวางที่อ่างล้างจานโดยตรงแล้วเดินออกมา แต่กลับก้มลงไปล้างจานให้เสร็จแล้ววางลงข้าง ๆ จากนั้นถึงค่อยกลับมาที่ห้องอาหาร
ทั้งคู่นั่งตรงข้ามกัน เกิดความสงบทางจิตใจที่หายาก
มู่น่อนน่อนถามเขา :“คุณดุด่าผู้ช่วยสืออีกแล้วใช่ไหม”
เมื่อเอ่ยถึงสือเย่ เฉินถิงเซียวก็ขมวดคิ้วขึ้น :“ไม่ด่าเขา หรือจะให้ผมชมเชยเขา?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ได้ดั่งใจนี้……
“ฉันเป็นคนบังคับเขาเอง คุณอย่าโทษเขาเลยนะ อีกอย่าง ถ้าหากว่าคุณยอมบอกฉัน ฉันจะบังคับเขาไหม” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนแฝงด้วยการตำหนิ
มุมปากของเฉินถิงเซียวเกร็งขึ้น ไม่เปล่งเสียงใด ๆ
“เฉินถิงเซียว เกิดเรื่องใหญ่กับมู่มู่ขนาดนี้ แต่คุณกลับยังปิดบังฉันไว้ คุณเห็นฉันเป็นอะไรกันแน่ เมื่อไหร่คุณจะเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ของครอบครัวพวกเรา ฉันไม่ใช่แค่มู่น่อนน่อน ไม่ใช่มู่น่อนน่อนคนที่ต้องให้คุณปกป้องตลอดเวลา ฉันยังเป็นภรรยาของคุณ ฉันสามารถแบ่งเบาปัญหาจากคุณ และฉันเป็นแม่ของมู่มู่ด้วย ฉันเป็นห่วงเธอทุกอย่าง ทุกอย่างของเธอล้วนเกี่ยวข้องกับฉัน”
มู่น่อนน่อนพูดจบ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เธออยากจะพูดคำพูดเหล่านี้กับเฉินถิงเซียวตั้งนานแล้ว
แต่ว่าเขาไม่เคยฟัง
สักพัก เฉินถิงเซียวจึงได้เอ่ยขึ้น :“แต่ว่าในใจผมนั้นคุณเป็นเพียงมู่น่อนน่อนเท่านั้น”