ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 642 เขาเป็นคนที่ทุ่มเทและยึดติด
มู่น่อนน่อนเม้มริมฝีปาก “ถ้าคุณไม่พูด ฉันก็จะไปสืบเอง”
ฉินสุ่ยซานค่อนข้างหมดคำพูด “ฉันรู้ แต่อย่างไรก็ตาม คุณอย่าเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้ บทก็ต้องเขียนด้วย!”
มู่น่อนน่อนเสยผมขึ้นทัดหูและพูดว่า “ก่อนปีใหม่ จะส่งให้คุณทั้งหมด”
ฉินสุ่ยซานดวงตาสดใสทันที “ฉันจะบอกคุณแล้ว ฉันจะบอกคุณว่าซูเหมียนอยู่ที่ไหนตอนนี้เลย!”
หลังจากรู้ที่อยู่ของซูเหมียนแล้ว มู่น่อนน่อนก็กลับไป
ช่วงเวลายังเช้าอยู่ เธอเขียนบทไปสองชั่วโมง จัดเรียบเรียงสั้นๆ คร่าวๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปดูเฉินมู่ที่บ้านเฉินถิงเซียว
ถึงบ้านตระกูลฉิน ย่อมเจอเฉินจิ่งหยุ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สภาพของเฉินจิ่งหยุ้นดูแย่กว่าตอนที่มู่น่อนน่อนเพิ่งไป
“มาหามู่มู่เหรอ” เฉินจิ่งหยุ้นเป็นคนฉลาด ทันทีที่มู่น่อนน่อนมา เธอก็รู้จุดประสงค์ของมู่น่อนน่อน
คราวที่แล้วได้พูดถ้อยคำที่ไม่น่าพอใจเหล่านั้นกับเฉินจิ่งหยุ้นไป ทั้งสองจึงไม่มีอะไรจะคุยกัน มู่น่อนน่อนตอบอย่างเย็นชาว่า “อืม”
ขณะที่มู่น่อนน่อนเดินขึ้นไปชั้นบน รู้สึกได้ว่าเฉินจิ่งหยุ้นมองเธอตลอดเวลา
กระทั่งเธอเดินถึงทางเลี้ยว เฉินจิ่งหยุ้นจึงส่งเสียงเรียกเธอ “มู่น่อนน่อน”
มู่น่อนน่อนหันหน้ากลับไปมองเธอ ส่งสัญญาณว่าเธอมีอะไรจะพูดก็พูดมา
เฉินจิ่งหยุ้นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “หลังจากคุณหามู่มู่เรียบร้อยแล้ว พวกเราคุยกันหน่อยได้ไหม”
สีหน้าของเธอดูสงบนิ่งมาก มู่น่อนน่อนมองไม่ออกว่าเฉินจิ่งหยุ้นอยากพูดอะไรกับเธอ
แต่มู่น่อนน่อนคาดเดาได้รางๆ ว่าอาจเกี่ยวข้องกับเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนลังเลอยู่สองวินาที ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ
เฉินจิ่งหยุ้นยิ้มให้เธอครู่หนึ่ง แสดงสีหน้าเชิงขอบคุณ
มู่น่อนน่อนอยู่วิลล่าหลังนี้มานาน คุ้นเคยกับแผนผังของที่นี่เป็นอย่างดี หลับตาก็รู้ว่าห้องของเฉินถิงเซียวอยู่ตรงไหน ห้องของเฉินมู่อยู่ตรงไหน
ขณะที่เดินผ่านห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว การก้าวของมู่น่อนน่อนชะลอตัวโดยไม่ตั้งใจ แต่กลับไม่มีการหยุดแต่อย่างใด เดินตรงผ่านไปเลย
เมื่อมู่น่อนน่อนเปิดประตูห้องของเฉินมู่ เฉินมู่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะวาดรูป
เฉินมู่ได้ยินเสียงประตูเปิดก็พลันหันหน้าฉับ ดวงตาตื่นตระหนกราวกับกระต่ายน้อยหวาดกลัว
มู่น่อนน่อนไม่ได้เดินเข้าไปทันที แค่พูดอย่างอ่อนโยน “มู่มู่ แม่เอง”
เฉินมู่มองจ้องเธอสักพัก ความตื่นตระหนกในแววตาค่อยๆ จางหายไป
มู่น่อนน่อนถึงได้เดินเข้าไป
“มู่มู่ทำอะไรอยู่คะ” มู่น่อนน่อนมองกระดานวาดภาพในมือเฉินมู่ครู่หนึ่ง พบว่าเธอกำลังวาดผลแอปเปิ้ล ซึ่งวาดได้ค่อนข้างเหมือน
มู่น่อนน่อนจำได้ว่าเมื่อก่อน เฉินมู่ในตอนที่ยังไม่เกิดเรื่อง จะวาดไปแบบสบายๆ ตามใจชอบ ลายเส้นทุกแบบทุกชนิด และก็พวกวงกลมเรื่อยเปื่อย
แต่แอปเปิ้ลตรงหน้า เฉินมู่วาดได้เหมือนมาก
เห็นมู่น่อนน่อนกำลังมองภาพวาด เฉินมู่ก็มีการกระทำเล็กๆ ด้วยการดันกระดานวาดภาพไปตรงหน้ามู่น่อนน่อน
การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ไม่รอดพ้นจากสายตาของมู่น่อนน่อน
ความไม่คาดฝันนี้ทำให้มู่น่อนน่อนรู้สึกดีมาก ดวงตาเกิดแววประหลาดใจ “หนูไม่ต้องดันมาหรอก แม่มองเห็น หนูวาดให้แม่ดูอีกรูปได้ไหม”
เฉินมู่พยักหน้า หยิบพู่กันมาวาดรูปอย่างจริงจัง
ขณะที่เธอวาด ดูจริงจังมาก ใบหน้าเล็กนวลเนียนน่ารักราวกับหยกแกะสลักเต็มไปด้วยความเอาจริงเอาจัง ดวงตาดำขลับจ้องกระดานวาดภาพโดยไม่กะพริบ
มู่น่อนน่อนจิตใจอ่อนยวบ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบศีรษะเธอเบาๆ
ทันใดนั้นเฉินมู่ก็ขมวดคิ้วเล็กมองเธอ มู่น่อนน่อนนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เฉินมู่ไม่ชอบให้ใครสัมผัส เธอมือแข็งทื่อกำลังจะชักกลับ ก็ได้ยินเฉินมู่พูดออกมาสองคำ “วาดรูป!”
วาดรูป?
หมายถึงว่าเธอกำลังวาดรูปอยู่ ฉะนั้นอย่ารบกวนเธออย่างนั้นเหรอ
มู่น่อนน่อนชักมือกลับมา และลองถามหยั่งเชิงว่า “งั้นถ้าหนูวาดเสร็จแล้ว แม่กอดหนูได้ไหม”
เฉินมู่พยักหน้า
บนใบหน้าของมู่น่อนน่อนเผยรอยยิ้มโดยอัตโนมัติ
หลังจากเฉินมู่วาดเสร็จ ก็ให้มู่น่อนน่อนกอดจริงๆ
ผ่านไปไม่นาน เฉินมู่ก็หลับไป
มู่น่อนน่อนอุ้มเธอไปบนเตียง หลังจากจัดวางเรียบร้อยดีแล้ว มู่น่อนน่อนก็ออกไปหาเฉินจิ่งหยุ้น
เห็นได้ชัดว่าเฉินจิ่งหยุ้นกำลังรอคอยอยู่
ทั้งสองไปที่ห้องรับแขก
ในห้องเปิดเครื่องทำความร้อนอยู่ก่อนแล้ว และมีชาร้อนเตรียมไว้สำหรับตอนเช้าด้วย
มู่น่อนน่อนกับเฉินจิ่งหยุ้นสองคนนั่งเผชิญหน้ากัน เฉินจิ่งหยุ้นเอาชาถ้วยหนึ่งไปตรงหน้าเธอ “ดื่มชาสิ”
มู่น่อนน่อนรับชาไป “คุณมีอะไรจะพูดก็พูดตรงๆ เถอะ”
เฉินจิ่งหยุ้นก็ไม่ได้อ้อมค้อม ถามตรงๆ ว่า “คุณกับถิงเซียวนี่ยังไงกัน ทำไมจู่ๆ ก็ย้ายออก”
“เรื่องของความสัมพันธ์แบบนี้ ปรองดองก็อยู่ด้วยกัน ขัดแย้งก็แยกย้าย มันเป็นเรื่องปกติ” มู่น่อนน่อนลดสายตาลงจ้องมองใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วยน้ำชา
“ความสัมพันธ์แบบที่คุณว่ามันเป็นของคนอื่น ไม่ใช่ของถิงเซียว” เฉินจิ่งหยุ้นส่ายหน้า ในน้ำเสียงฟังดูเหมือนเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ค่อนข้างมีความหมาย “คุณไม่เคยสังเกตเหรอ สิ่งของที่ถิงเซียวใช้จะเป็นแบรนด์เดียวมาโดยตลอด เขาเป็นคนที่ทุ่มเทและยึดติด”
ทั้งร่างมู่น่อนน่อนค่อนข้างตึงเครียด ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ฝืนยิ้มออกมา “ซูเหมียนหน้าตาสวยบุคลิกดี แถมชาติตระกูลฐานะก็คู่ควรกับเขา อยู่ด้วยกันมีอะไรไม่ดีล่ะ”
เฉินจิ่งหยุ้นได้ยินคำพูดเธอแล้วค่อนข้างโมโห ในที่สุดน้ำเสียงก็ใส่ความมีอำนาจของการเป็นพี่สาวที่โตกว่าขึ้นมาเล็กน้อย “มู่น่อนน่อน ถิงเซียวเลอะเลือน ทำไมคุณต้องไปเลอะเลือนตามเขา”
แต่เวลานี้มู่น่อนน่อนกลับคิดอีกเรื่อง
เธอไม่ได้พูดอะไร แค่จ้องเฉินจิ้งหยุ้น มองดูอย่างพิจารณา
เฉินจิ่งหยุ้นค่อนข้างอึดอัดกับสายตาที่มู่น่อนน่อนมอง “คุณมองฉันแบบนี้ทำไม”
“ถ้าตอนเด็ก คุณสามารถดูแลห่วงใยเฉินถิงเซียวได้มากหน่อย เมื่อเขาโตขึ้น ก็จะไม่เป็นคนที่ชอบหวาดระแวงขนาดนี้” เมื่อมู่น่อนน่อนพูดจบ เฉินจิ่งหยุ้นก็สีหน้าเปลี่ยนทันที
“ฉันไม่ได้หมายความว่าจะโทษคุณ ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่พูดได้” มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึก เปลี่ยนท่าทางแล้วพูดว่า “ฉันใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับเขามากกว่าคุณที่ใช้เวลากับเขา ครั้งนี้เฉินถิงเซียวอยากแยกทางกับฉันจริงๆ ฉันรู้ดี”
เฉินจิ่งหยุ้นเงียบไปสักพัก ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ว่า ฉันรู้สึกว่าเขายังรักคุณ ช่วงหลังเขามักกลับดึกมาก บางครั้งฉันตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นไฟในห้องหนังสือของเขายังสว่างอยู่”
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง ภายใต้สายตาจ้องมองของเฉินจิ่งหยุ้น เธอกดหน้าก้มต่ำมาก “มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
คำว่าเฉินถิงเซียวสามคำนี้ เพียงพอจะสามารถเกิดระลอกคลื่นในหัวใจของเธอ
เพียงแต่ ถ้อยคำเหล่านั้นที่เฉินถิงเซียวพูด เธอก็จำได้ไม่ลืมแม้แต่คำเดียว
ครั้งนี้เฉินถิงเซียวตัดสินใจเด็ดขาดมากกว่าที่เคย
เรื่องมันเกิดขึ้นกะทันหัน มู่น่อนน่อนรอสองสามวันถึงจะคิดวิธีเมื่อคืนออกมาได้ อยากลองคุยกับเขา
เฉินถิงเวียวฉลาดขนาดนั้น ไม่มีทางที่จะไม่รู้จุดประสงค์ของเธอ แต่เขาก็พูดถ้อยคำที่ใจร้ายแบบนั้นออกมา……
เฉินถิงเซียวไม่อยากคุยกับเธอเลย
คนหนึ่งยิ่งทุ่มเท อีกคนก็ยิ่งใจร้าย
ความเย็นชาของมู่น่อนน่อน ทำให้เฉินจิ่งหยุ้นพูดประโยคหลังจากนี้ไม่ออก
“ฉันมีเวลาไม่มาก เมื่อก่อนเคยทำเรื่องโง่ๆ ไปมากมาย ฉันแค่หวังว่าเฉินถิงเซียวจะสามารถมีความสุขได้” เฉินจิ่งหยุ้นหัวเราะกับตัวเอง “แต่ชีวิตคนไม่มีทางหวนกลับ บางเรื่องทำไปแล้วก็คือทำ ผิดแล้วก็คือผิด”