ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 643 ตราบใดที่จ่ายได้ ไม่มีสิ่งใดที่ซื้อไม่ได้
มู่น่อนน่อนเห็นเฉินจิ่งหยุ้นเป็นแบบนี้ ก็ค่อนข้างใจแข็งใส่ไม่ลง
ตอนนี้เมื่อใดที่เธอนึกถึงเฉินจิ่งหยุ้น สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในสมองคือ ภาพตอนที่เจอเฉินจิ่งหยุ้นครั้งแรก
จนถึงตอนนี้ เธอถึงได้รู้ตัว เฉินจิ่งหยุ้นก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง หลีกหนีไม่พ้นการเกิดแก่เจ็บตาย
นอกเหนือจากเรื่องต่างๆ ที่เฉินจิ่งหยุ้นเคยทำ มู่น่อนน่อนรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
เฉินจิ่งหยุ้นยังสาว สวย มีความสามารถ
ชีวิตที่อ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวาเช่นนี้ ไม่ควรดับสูญไปแบบนี้
มู่น่อนน่อนลดสายตาลง และถามเฉินจิ่งหยุ้นว่า “คุณจะละทิ้งการรักษาไปแบบนี้จริงเหรอ”
เมื่อครู่ยังเพิ่งพูดเรื่องของเฉินถิงเซียว จู่ๆ มู่น่อนน่อนก็เปลี่ยนเรื่องมาที่ตัวเฉินจิ่งหยุ้น เฉินจิ่งหยุ้นจึงอึ้งไปครู่หนึ่งกว่าจะได้สติ
“จะรักษาหรือไม่ก็เหมือนกัน” เฉินจิ่งหยุ้นยิ้มครู่หนึ่ง สีหน้าดูฝืนๆ
มู่น่อนน่อนเพิ่งพบว่า สภาพของเฉินจิ่งหยุ้นแย่ลงกว่าเดิม
เธอรู้สึกเศร้า แต่ไม่อยู่ในตำแหน่งที่พูดอะไรกับเฉินจิ่งหยุ้นได้
เฉินจิ่งหยุ้นดึงหัวข้อกลับไปที่มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียว
“ถิงเซียวไม่ใช่คนสองจิตสองใจ เขาเลือกใครแล้วก็จะมั่นคงไปตลอดชีวิต ระหว่างพวกคุณมีเรื่องเข้าใจผิดกันใช่ไหม”
มู่น่อนน่อนฟังออก ว่าเฉินจิ่งหยุ้นพยายามโน้มน้าวอย่างถึงที่สุดให้เธอกับเฉินถิงเซียวปรองดองกัน
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วพูดว่า “นิสัยของเฉินถิงเซียว คุณรู้มากน้อยแค่ไหน ปัญหาระหว่างฉันกับเขาไม่ใช่แค่ชั่วข้ามคืน ครั้งนี้ถึงแม้มันจะกะทันหันไปหน่อย แต่ก็มีสัญญาณเตือนมานานแล้ว ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะต้องมาถึงจุดนี้”
เฉินถิงเซียวเอาแต่ใจตัวเองเผ็ดจการ ดื้อรั้นและหวาดระแวงเกินไป
ในหลายๆ เรื่อง เขาจะไม่มีวันยอมถอย
เมื่อเขาเผด็จการ เขาจะกักขังมู่น่อนน่อนไว้ไม่ให้เธอออกไปไหน
วิธีการที่เขาทำบางครั้งก็รุนแรงเกินไป
ตอนนี้คิดขึ้นมา บรรดาเรื่องไร้สาระที่เคยเกิดขึ้น ล้วนเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาเดินมาถึงจุดนี้
ความสัมพันธ์แบบนี้ บางครั้งก็ยากจะอธิบาย
จะว่าไป การที่จู่ๆ เฉินถิงเซียวหมดรักเธอ มันน่าเหลือเชื่อ
เธอเชื่อว่าเฉินถิงเซียวไม่ใช่ไม่รักเธอ เขาแค่อยากแยกทางกับเธอ
สำหรับทำไมต้องแยกทาง บางทีเขาอาจจะรู้สึก……เบื่อแล้วล่ะมั้ง
เสียงของเฉินจิ่งหยุ้นดึงความคิดของมู่น่อนน่อนกลับมา
“คุณรู้ไหม ตอนถิงเซียวยังเด็กมาก ถิงเซียวเป็นเด็กชายที่แสนน่ารัก แม้ว่าเราเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน แต่ฉันโตเป็นสาวน้อยแล้ว รู้ความมากกว่าเขานิดหน่อย แต่……”
เฉินจิ้งหยุนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มีบางอย่างที่ยากที่จะพูด “เมื่อคุณแม่ประสบอุบัติเหตุ ถิงเซียวเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาไม่สนใจใครเลย ถึงขั้นวันหนึ่งเขาวิ่งออกไป ฉันเห็นเขายืนอยู่กลางถนน……เขาอยากตาย ฉันจดจำสายตาของเขาในตอนนั้นได้ไม่ลืม ฉันรู้สึกว่าเขาน่ากลัวเกินไป เขาเป็นเหมือนสัตว์ประหลาด……”
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วอย่างรุนแรง “เขาไม่ใช่”
“ถูก เขาไม่ใช่” เฉินจิ่งหยุ้นพูดกับตัวเอง “ถ้าตอนนั้น ฉันสามารถดูแลเขาได้มากกว่านี้ ดึงเขาขึ้น ก็คงดี แต่ไม่เพียงฉันไม่ได้ทำอย่างนั้น เมื่อเขาโตขึ้น ยังคิดควบคุมเขาอีก……”
เรื่องราวต่อมาหลังจากนั้น มู่น่อนน่อนรู้ทุกอย่างแล้ว
มู่น่อนน่อนเองก็เสียใจที่เฉินถิงเซียวประสบกับเหตุการณ์เหล่านั้น
เธอไม่อยากฟังเฉินจิ่งหยุ้นพูดเรื่องพวกนี้อีก จึงลุกขึ้นยืน “ฉันยังมีธุระ ขอตัวก่อน”
เฉินจิ่งหยุ้นนั่งเฉยๆ พูดแค่ประโยคเดียว “ฉีเฉิงไปส่งคุณมู่”
ไม่รู้ว่าฉีเฉิงโผล่มาจากไหน ชุดสูททางการ โกนเคราออกแล้ว เผยใบหน้าอันเด็ดเดี่ยว เป็นความองอาจทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง
มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขาสักพัก
ฉีเฉิงใบหน้านิ่ง เดินมาตรงหน้ามู่น่อนน่อน “คุณมู่ เชิญ”
มู่น่อนน่อนหันหลังเดินออกไป ฉีเฉิงชะลอการก้าวเท้า เดินตามหลังเธอไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
กระทั่งถึงประตูใหญ่ เธอรู้สึกว่าฉีเฉิงยังตามเธอ
เธอหันหน้าไปมองฉีเฉิงฉีเฉิงยืนตัวตรง ดวงตาไม่หลบเลี่ยงไม่กะพริบ เหมือนมีบางอย่างจะพูดกับเธอ
มู่น่อนน่อนถามเขา “มีเรื่องอะไร”
“ผมรู้สึกว่าอาการป่วยของเธอสามารถรักษาได้” ฉีเฉิงพูดประโยคนี้มาทื่อๆ ไม่มีหัวไม่มีหาง แต่มู่น่อนน่อนรู้ว่าเขาพูดถึงเฉินจิ่งหยุ้น
มู่น่อนน่อนหรี่ตาเล็กน้อย และถามว่า “คุณอยากพูดอะไร”
“คุณคงมองออก ว่าเธอไม่อยากรักษา เธอไม่มีความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ แม้เฉินถิงเซียวจะรับเธอกลับมา แต่ก็แค่รับกลับมาเท่านั้น เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจเธอ” ฉีเฉิงมองมู่น่อนน่อน น้ำเสียงสงบนิ่งคล้ายกับเฉินถิงเซียว
“คุณอยากให้ฉันทำยังไง ให้ฉันเกลี้ยกล่อมเฉินถิงเซียวให้พาเฉินจิ่งหยุ้นไปรักษาเหรอ ตอนนี้เฉินจิ่งหยุ้นป่วย ฉันเองก็รู้สึกเศร้า แต่ก็เพียงแค่เศร้าเท่านั้น ตัวเธอไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะทำอะไรแค่ไหน ว่าไปแล้วมันก็เป็นภาระต่อเธอ”
มู่น่อนน่อนสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงนั้นกล่าวได้ว่าเป็นคนไร้มนุษยธรรม
สีหน้าของฉีเฉิงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขาเหมือนคิดเกี่ยวกับความหมายในคำพูดของมู่น่อนน่อน และไม่เห็นร่องรอยแห่งความโกรธเคือง
นานมากกว่าฉีเฉิงจะพูดมาหนึ่งคำ “ไม่ใช่”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าฉีเฉิงคนนี้มีความน่าสนใจ กอดอกฟังเขาพูดต่อ
“เธอไม่ใช่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่มันไม่มีความหมาย ถ้าเฉินถิงเซียวสามารถโน้มน้าวเธอได้……ตอนนี้เธอรับฟังแค่เฉินถิงเซียวเท่านั้น” ฉีเฉิงพูดถึงตรงนี้แล้วหยุด ในดวงตามีร่องรอยแห่งความคาดหวังรางๆ
จู่ๆ มู่น่อนน่อนก็หัวเราะ “คุณชอบเธอเหรอ”
สีหน้าของฉีเฉิงนิ่งไปเล็กน้อย ไม่มีการปฏิเสธ และไม่ได้ยอมรับ
แม้ไม่รู้ว่าฉีเฉิงกับเฉินจิ่งหยุ้นรู้จักกันได้ยังไง และเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง แต่ปฏิกิริยาของฉีเฉิงเพียงพอจะพิสูจน์ได้ ว่าเป็นความจริงที่เขาชอบเฉินจิ่งหยุ้น
อาจเป็นคนที่เคยทำเรื่องผิด กระทั่งประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถึงได้เข้าใจสัจธรรมอย่างถ่องแท้
เหมือนอย่างเฉินจิ่งหยุ้น เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ก็เริ่มเสียใจภายหลังกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำ
มู่น่อนน่อนสามารถจินตนาการอารมณ์ความรู้สึกในเวลานี้ของเฉินจิ่งหยุ้นได้ เธอติดหนี้เฉินถิงเซียว ถ้าเฉินถิงเซียวได้เกลี้ยกล่อมเธอ เธอจะฟังแน่นอน
เรื่องเหล่านี้ ไม่ต้องให้ฉีเฉิงพูดออกมา อันที่จริงมู่น่อนน่อนก็รู้อย่างชัดเจน
ฉีเฉิงผู้ชายคนนี้ ที่มาที่ไปไม่แน่ชัด แต่ให้ความรู้สึกของคนเลือดเย็น ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
มู่น่อนน่อนเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถามว่า “ฉีเฉิงคุณเคยทำอะไรมาก่อน”
สายตาของฉีเฉิงเปลี่ยนไปทันที เปลี่ยนเป็นความโหดเหี้ยมดุร้าย
มู่น่อนน่อนประหลาดใจจากก้นบึ้ง เกิดความระแวดระวังเป็นพิเศษ
ฉีเฉิงเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดด้วยเสียงกดต่ำ “คุณมู่ เคยได้ยินองค์กรXไหม”
มู่น่อนน่อนทำหน้าสงสัยทันที ฉีเฉิงนั้นรู้ว่าเธอไม่เคยได้ยิน จึงอธิบายด้วยตัวเอง “คนใหญ่คนโตและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจำนวนมากล้วนรู้จักองค์กรX ซื้อชีวิตคน ซื้อข่าวสาร ตราบใดที่สามารถจ่ายได้ ไม่มีสิ่งใดที่ซื้อไม่ได้”
ดวงตาของมู่น่อนน่อนเบิกกว้าง “ซื้อชีวิต? งั้นคุณเป็น……”
ฉีเฉิงกระตุกยิ้มมุมปาก ออร่าสังหารอันเยือกเย็นบนร่างกายพลันสลายไป
“นัก……ฆ่า?” มู่น่อนน่อนเติมสองคำสุดท้าย
ฉีเฉิงลดสายตาลง ออร่าสังหารบนร่างกายหายไป พูดอย่างซื่อตรงมาก “รบกวนคุณมู่ช่วยผมเรื่องนี้ด้วยครับ