ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 644 แต่ผมมีเงื่อนไข
มู่น่อนน่อนไม่ได้สัญญาหรือปฏิเสธในทันที
เธอแค่รู้สึกตกใจมาก
ตั้งแต่ตอนยังอยู่กับเฉินถิงเซียว เธอผ่านประสบการณ์หลายอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่ที่ฉีเฉิงพูดเธอเพิ่งได้ยินครั้งแรก
ที่แท้ มีองค์กรใต้ดินประเภทที่ซื้อชีวิตคนได้อยู่จริงๆ
ฉีเฉิงส่งมู่น่อนน่อนขึ้นรถ แล้วหันหลังกลับเข้าวิลล่า
มู่น่อนน่อนนั่งอยู่ในรถ ความคิดยังคงค่อนข้างล่องลอย
เธอค่อยๆ คาดเข็มขัดนิรภัย วางมือบนพวงมาลัยครู่หนึ่งถึงสตาร์ทรถ
ขณะที่เธอขับรถออกจากเขตวิลล่า ด้านหน้ามีรถกำลังขับเข้ามาเช่นกัน เป็นรถที่ดูค่อนข้างคุ้น
หลังจากเข้ามาในระยะประชิด มู่น่อนน่อนจึงพบว่า นั่นเป็นรถของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่เห็นแล้วขับต่อไป
ทว่าเฉินถิงเซียวกลับขวางทางเธอ
ทั้งคู่หยุดนิ่งกันไปชั่วขณะ และเป็นมู่น่อนน่อนที่ลงจากรถก่อน
หลังจากเธอลงจากรถ เฉินถิงเซียวก็ตามลงมา
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปตรงหน้าเขา สบกับดวงตาราวกับหมึกของเขา ก่อนจะหลบอย่างอึดอัด “คุณกำลังขวางทางฉัน”
ปฏิกิริยาเล็กๆ น้อยๆ ของเธออยู่ในสายตาเฉินถิงเซียว เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ต่อไปมาหามู่มู่ ไม่ต้องสนใจฉีเฉิง”
มู่น่อนน่อนค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย เม้มริมฝีปากและพูดว่า “เพราะอะไร”
“ฉีเฉิงเป็นบอดี้การ์ดของเฉินจิ่งหยุ้น เฉินจิ่งหยุ้นเป็นคนในตระกูลเฉินของเรา สถานะคุณอยู่ตรงไหนมาให้ผมบอกคุณว่าเพราะอะไร” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำอยู่ในระดับเดียวกัน ไม่มีร่องรอยของอุณหภูมิ ราวกับกำลังคุยกับคนแปลกหน้า
มู่น่อนน่อนอ้าปากเล็กน้อย รู้สึกในลำคอเหมือนมีอะไรติดอยู่ อยากพูดแต่กลับไม่มีเสียงออกมา
เธอยังปรับตัวให้ชินกับเฉินถิงเซียวที่คุยกับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่ได้
แม้เฉินถิงเซียวจะเยาะเย้ยเย็นชาใส่เธอ ก็แสดงได้เพียงว่า เฉินถิงเซียวยังมีความรู้สึกต่อเธออยู่
คำพูดของเฉินถิงเซียวความจริงแล้วมีเหตุผล มู่น่อนน่อนไม่มีทางโต้แย้งได้เลย
มีช่วงเวลาหนึ่ง มู่น่อนน่อนอยากถามเขาออกไป เพราะอะไรกันแน่ถึงตกลงแยกทาง ทำไมต้องไล่เธอออกมา
แต่ศักดิ์ศรีและสติสัมปชัญญะของเธอไม่ยอมให้เธอถาม
มู่น่อนน่อนกำมือแน่น หันหลังกลับไปขึ้นรถ
เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนเดินกลับไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เธอมีรูปร่างผอมเพรียว ภายใต้การห่อหุ้มของเสื้อโค้ตตัวหนา ก็ยังดูผอมบาง
เขาเฝ้ามองกระทั่งมู่น่อนน่อนขึ้นรถแล้ว ถึงได้หันกลับไปขึ้นรถตัวเอง ขับรถหลบ ให้มู่น่อนน่อนออกไป
หลังจากมู่น่อนน่อนไปแล้ว เขาจึงขับรถกลับไปที่วิลล่า
เฉินถิงเซียวลงจารถและตรงเข้าวิลล่า คนรับใช้และบอดี้การ์ดระหว่างทางที่เดินผ่านต่างก้มศีรษะน้อยๆ เพื่อต้อนรับ
“คุณชายกลับมาแล้ว”
เฉินถิงเซียวสีหน้าบึ้งตึง ทั้งกายมีกลิ่นอายเย็นยะเยือก ก้าวกว้างไปข้างหน้า โดยไม่พูดอะไรสักคำ
พวกคนรับใช้เห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากอีกเลย ต่างคนต่างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เข้าไปถึงห้องโถง เขาเห็นฉีเฉิงจ้องฉีเฉิงอย่างเย็นชามากพร้อมกับพูดประโยคเดียว “มาห้องหนังสือ”
พูดจบ เขาล่วงหน้าขึ้นชั้นบนไปห้องหนังสือ
เขาก้าวเข้าห้องหนังสือก่อน ฉีเฉิงตามหลังเข้ามา
ทันทีที่ฉีเฉิงเข้าไป ก็ถูกเฉินถิงเซียวคว้าจับสาบเสื้อแน่น
ชายสองคนรูปร่างสูงใหญ่ ยืนอยู่ด้วยกันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเผ่าพันธุ์ที่เทียบเคียงกันได้ แต่เมื่อจำแนกให้ดีๆ แล้ว จะพบว่าออร่ายังคงแตกต่างกัน
ฉีเฉิงเป็นชายที่เลียเลือดบนปลายมีดเพื่อการดำรงชีพ ออร่าสังหารบนร่างหนาแน่น แต่เฉินถิงเซียวดูลุ่มลึกกว่า ออร่าแข็งแกร่งและสูงส่งกว่า
เฉินถิงเซียวกำเสื้อของฉีเฉิงอย่างไร้ความปรานี ทั้งหน้ามีแต่ความเย็นชา กัดฟันพูดว่า “คุณพูดอะไรกับมู่น่อนน่อน”
ฉีเฉิงไม่ได้ดิ้นรน และไม่มีแผนจะสู้กลับ เขาปล่อยให้เฉินถิงเซียวจับเขา น้ำเสียงราบเรียบ “คุณมู่อยากรู้อะไร ผมก็บอกเธออย่างนั้น”
“คุณแค่อยากให้ผมช่วยเกลี้ยกล่อมเฉินจิ่งหยุ้นให้ไปรักษาเท่านั้น ผมช่วยคุณก็ได้! แต่……” เฉินถิงเซียวพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดไปเล็กน้อย ทั่วทั้งกายปกคลุมด้วยความเย็นยะเยือก “อย่ายุ่งกับมู่น่อนน่อนอีก! คุณรู้ ว่าผมมีวิธีจัดการกับคุณ!”
ฉีเฉิงได้ยินดังนั้นก็พลันด้วยตาเปล่งประกาย พยักหน้าและพูดว่า “ผมรู้”
เฉินถิงเซียวจึงปล่อยฉีเฉิงอย่างแรง
เขาจัดแขนเสื้อตัวเองและพูดเนิบช้า “แต่ผมมีเงื่อนไข”
“ผมจะสัญญากับคุณทุกเงื่อนไข” ฉีเฉิงไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ตอบรับทันที
เวลานี้ ห้องหนังสือของเฉินถิงเซียวถูกคนเปิดเข้ามา
สองคนในห้องได้ยินเสียง จึงพากันหันหน้าไปมองทางประตู
เฉินจิ่งหยุ้นรีบร้อนเดินเข้ามา รู้สึกว่าบรรยากาศของสองคนในห้องมีความผิดปกติ สีหน้าค่อนข้างแปลกใจ รีบอธิบายว่า “ฉันนึกว่าพวกคุณ……”
เฉินถิงเซียวเหลือบมองฉีเฉิง“คุณออกไปก่อน”
ฉีเฉิงได้ยินคำพูดของเฉินถิงเซียว แล้วมองเฉินจิ่งหยุ้นอย่างลึกซึ้งครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไป
“ถิงเซียว……” เฉินจิ่งหยุ้นไม่รู้ว่าชายสองคนนี้คุยอะไรกัน เมื่อยู่ต่อหน้าเฉินถิงเซียวเธอมักมีความรู้สึกผิด ชั่วขณะหนึ่งค่อนข้างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เฉินถิงเซียวชำเลืองมองเฉินจิ่งหยุ้น แล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟา พูดโดยไร้ซึ่งสีหน้า “เฉินจิ่งหยุ้น กี่ปีแล้วที่เราไม่เคยได้นั่งคุยกันดีๆ”
“หลายปีมากแล้ว” เฉินจิ่งหยุ้นไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ เฉินถิงเซียวถึงพูดอย่างนี้ จิตใจยังค่อนข้างห่อเหี่ยว
เฉินถิงเซียวเปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน แววตาเย็นชาลง “เรื่องราวต่างๆ ที่คุณทำลงไปก่อนหน้านี้ การที่ผมไม่ได้เอาเรื่องคุณ ก็เป็นความเมตตาต่อคุณมากแล้ว”
เฉินจิ่งหยุ้นยิ้มขมขื่นครู่หนึ่ง “ฉันรู้”
“ตอนนี้คุณไม่รับการรักษา เพราะอยากตายชดใช้ความผิดเหรอ ผมไม่สน มันไม่มีความหมายกับผมเลย” น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวมีแต่ความเย้ยหยัน
เฉินจิ่งหยุ้นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ส่ายหน้าซ้ำๆ “ฉันเปล่า……”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงท้ายคำว่า “เปล่า” เฉินถิงเซียวก็พูดสวนกลับมาว่า “งั้นก็ไปรักษา”
เฉินจิ่งหยุ้นเงยหน้ามองเขาฉับพลัน “นาย……”
“ไปพรุ่งนี้ ยิ่งเร็วยิ่งดี เห็นแล้วขวางหูขวางตา” เฉินถิงเซียวพูดจบก็ผลักประตูออกไป
เฉินจิ่งหยุ้นยืนอยู่คนเดียวในห้องหนังสือ สมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ ก่อนจะได้สติ นี่คือเฉินถิงเซียวให้เธอไปรับการรักษา
แต่ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวไม่สนใจเธอเลย แต่ตอนนี้จู่ๆ เมื่อกลับมาก็เรียกฉีเฉิงมาห้องหนังสือ แล้วก็เรียกเธอมาและพูดกับเธอเรื่องการรักษา
เฉินจิ่งหยุ้นไม่ได้โง่ เธอรู้ว่าเฉินถิงเซียวจะไม่ทำแบบนี้โดยไม่มีสาเหตุ
เธอเองก็รู้นิสัยของเฉินถิงเซียวดี เขาทำอะไรมีหลักการ และไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาอะไรนัก
เฉินจิ่งหยุ้นค่อยๆ เดินออกไป เมื่อออกมานอกห้อง ก็เห็นฉีเฉิงยืนอยู่หน้าประตู
ฉีเฉิงเป็นเหมือนเมื่อก่อน ก้มหน้าเล็กน้อยเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเธอ ดูนอบน้อมให้เกียรติ แท้จริงแล้วบนความไม่ถ่อมตัวไม่ถือตน มีความหยิ่งผยองยิ่งกว่าใครทั้งหมด
เฉินจิ่งหยุ้นเงยหน้ามองเขา “คุณพูดอะไรกับถิงเซียว”
ฉีเฉิงเงยหน้า พูดเสียงเข้ม “คุณคิดว่าผมสามารถพูดอะไรที่เป็นการโน้มน้าวความคิดเขาได้ด้วยเหรอ