ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่ 652 อย่าเอ่ยถึงมู่น่อนน่อนต่อหน้าผมอีก
สีหน้ามู่น่อนน่อนเปลี่ยนไปทันที
เมื่อครู่เฉินถิงเซียวพูดอะไรนะ?
เธอถึงขั้นสงสัยว่าตัวเองหูฝาดไป
แต่ว่า สีหน้าเย็นชาของเฉินถิงเซียวได้บอกเธอว่า เมื่อครู่เขาได้พูดคำนั้นจริงๆ
การตัดสินใจเด็ดขาดที่เดิมทีมู่น่อนน่อนจะต้องถามเฉินถิงเซียวให้ชัดเจน ได้แตกสลายในนาทีนี้ คำพูดทั้งหมดติดคาอยู่ในลำคอจนพูดไม่ออก
เฉินถิงเซียวเห็นเธอไม่พูดจาอีก ได้ยื่นมือผลักเธอออกแล้วไปโดยตรง
ซูเหมียนยังอยู่ข้างหลัง คอยพูดอย่างหน้าชื่นตาบาน:“รู้มั้ยว่าเจียงซ่งที่เมื่อครู่คุณไปขัดใจคือใคร?อยู่เมืองหู้หยางนี้ นอกจากตระกูลเฉินแล้ว ไม่มีใครกล้าขัดใจคนของตระกูลเจียงซี้ซั้วเชียวนะ ตอนนี้คุณไม่มีเกราะป้องกันอย่างถิงเซียวแล้ว ระวังตัวให้ดีเถอะ”
มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นจากในน้ำเสียง ไม่ต้องพูดก็เข้าใจกัน
มู่น่อนน่อนสามารถถูกคำพูดของเฉินถิงเซียวทิ่มแทงใจ แต่อยู่ตรงหน้าซูเหมียน เธอกลับไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
เธอรีบปรับสีหน้าของตัวเองอย่างไว พร้อมยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย:“ถึงตอนนี้เฉินถิงเซียวไม่ใช่เกราะป้องกันของฉันแล้ว เขาก็ไม่ใช่เกราะป้องกันของคุณเสมอไปหรอก ฉันเฝ้ารอวันที่คุณนั่งบัลลังก์ภรรยาประธานบริษัทเฉินซื่อให้มั่นคงวันนั้นนะคะ”
แน่นอนว่าซูเหมียนไม่มีทางรู้อยู่แล้วว่าเจ้านายที่แท้จริงของบริษัทเฉินซื่อในตอนนี้คือมู่น่อนน่อน ดังนั้น เธอย่อมฟังไม่ออกอยู่แล้วว่าคำพูดของมู่น่อนน่อนมีความหมายลึกซึ้งแอบแฝงอยู่
เธอกับมู่น่อนน่อนไม่ถือว่าสนิทกัน ดูหน้าตามู่น่อนน่อนที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก็ยังทำให้เธอค่อนข้างสงสัยอยู่
แต่ว่า เธอก็ไม่แสดงความสงสัยของในใจออกมาหรอก
“งั้นคุณก็คอยดูเถอะ”ซูเหมียนยิ้มหยันทีนึงแล้วจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
มู่น่อนน่อนมองร่างเงาที่ทั้งสองทยอยกันจากไป ได้หันกลับมายกเท้าขึ้นถีบใส่ผนังทีนึง
จะไม่ให้โกรธได้ยังไง?
หรือว่าเธอคิดมากไปจริงๆ?
แต่ก่อนหน้านี้เฉินถิงเซียวยังพูดอยู่เลยว่าให้เธออยู่ห่างจากฉีเฉิงหน่อย……
อยู่ดีๆเขาให้เธออยู่ห่างๆฉีเฉิงหน่อย?
มู่น่อนน่อนได้จมปลักเข้าไปสู่การสงสัยตัวเองอีก
อีกฝั่งนึง เฉินถิงเซียวกับซูเหมียนออกมาจากจีนติ่งก็ได้เดินไปที่ลานจอดรถโดยตรง
เฉินถิงเซียวเปิดประตูรถแล้วนั่งเข้าไปในรถเองโดยที่ไม่สนใจซูเหมียนเลย
ถึงแม้ซูเหมียนไม่ค่อยพอใจที่เฉินถิงเซียวไม่เปิดประตูให้เธอ แต่เธอกลัวเฉินถิงเซียวจะทิ้งเธอไว้ที่นี่โดยตรงมากกว่า
เธอยังอยากให้เฉินถิงเซียวส่งเธอกลับบ้านอยู่ จะได้มีเวลาอยู่กับเฉินถิงเซียวนานหน่อย
เธอขึ้นรถปุ๊บ เพิ่งนั่งนิ่ง แม้แต่เข็มขัดนิรภัยก็ยังไม่ได้คาดเลย เฉินถิงเซียวก็ซิ่งรถออกไปแล้ว
ซูเหมียนได้พุ่งไปข้างหน้ากะทันหันด้วยความเคยชิน สีหน้าเธอไม่ค่อยดีเลย:“ถิงเซียว!ฉันยังไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเลย!”
สายตาของเฉินถิงเซียวจ้องมองตรงทางข้างหน้า คำพูดที่พูดออกมาไร้อารมณ์และไม่มีความอ่อนโยน ฟังแล้วค่อนข้างเย็นชาและเคร่งขรึม:“งั้นก็คาดให้เรียบร้อย”
ซูเหมียนค่อนข้างหงุดหงิด คาดเข็มขัดนิรภัยแรงๆไปด้วยแล้วพูดอย่างไม่พอใจไปด้วย:“คุณอยู่กับมู่น่อนน่อนก็เป็นแบบนี้เหมือนกันเหรอคะ?เธอรับนิสัยแบบนี้ของคุณได้เหรอ?”
คำพูดของเธอ เหมือนจู่ๆได้ก้าวล่วงพื้นที่ต้องห้ามของเฉินถิงเซียวยังไงอย่างงั้น พริบตาเดียวอุณหภูมิในรถได้เย็นลดลงทันที
“เอี๊ยด”เสียงนึง เสียงแสบแก้วหูได้ดังขึ้น รถเหยียบเบรกอย่างเร่งด่วน
ซูเหมียนโยกอยู่ทีนึง แล้วถูกเข็มขัดนิรภัยดึงกลับมา ดูแล้วค่อนข้างน่าอนาถ
เธอหันไปมองเฉินถิงเซียวด้วยความโกรธ พร้อมพูดจาเสียงดัง:“เฉินถิงเซียว คุณนี่อะไรกัน!ขับรถภาษาอะไรเนี่ย!”
“ต่อไป อย่าเอ่ยถึงมู่น่อนน่อนต่อหน้าผมอีก” เสียงทุ้มต่ำของเฉินถิงเซียวได้ดังขึ้นในรถ ค่อนข้างอึมครึมอย่างไร้สาเหตุ
ซูเหมียนค่อนข้างประหลาดใจ เฉินถิงเซียวเกลียดมู่น่อนน่อนขนาดนี้เลยเหรอ?แม้แต่เอ่ยตรงหน้าเขาหน่อยก็ไม่ได้เลย?
ซูเหมียนคิดๆแล้วได้พูดหยั่งเชิงว่า:“เห็นเมื่อก่อนตอนที่คุณกับมู่น่อนน่อนอยู่ด้วยกันก็รักกันมาก ตอนนี้กลับโมโหจนไม่ไว้หน้าแล้ว แม้แต่เอ่ยถึงเธอหน่อยก็ไม่ได้?คุณนี่ใจดำจังเลย”
“ไม่จำเป็นต้องเปลืองความคิดกับคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”เฉินถิงเซียวขับเคลื่อนรถยนต์อีกครั้ง อุณหภูมิในรถก็ค่อยๆฟื้นฟูกลับมา นี่แสดงว่าอารมณ์ของเขาก็ค่อยๆคงที่แล้ว
แต่ว่า ในระหว่างทางต่อจากนี้ เขาก็ไม่ได้พูดจาอีกเลย
ไม่ว่าซูเหมียนพูดอะไร เขาล้วนจ้องมองด้านหน้าไว้ หน้าตาเหมือนตั้งใจขับรถมาก ไม่อยากพูดมากแท้แต่คำเดียว และไม่มีทีท่าว่าจะสนใจซูเหมียนเลย
สำหรับความเย็นชาของเฉินถิงเซียว ถึงแม้ซูเหมียนจะรู้สึกเจ็บใจ แต่คิดๆแล้วรู้สึกว่าสันดานของเฉินถิงเซียวก็คงจะเป็นแบบนี้อยู่แล้วแหละ ทีนี้เธอถึงรู้สึกค่อนข้างสบายใจขึ้นมาหน่อย
สามปีที่เฉินถิงเซียวความจำเสื่อมนั้น เฉินถิงเซียวก็เย็นชาแบบนี้กับเธอเหมือนกัน
ในที่สุด รถยนต์ก็ได้จอดลงที่หน้าบ้านตระกูลซู
เฉินถิงเซียวจอดรถนิ่งแล้วได้พูดคำนึงว่า:“ลงรถครับ”
“จะเข้าไปนั่งในบ้านหน่อยมั้ยคะ?พ่อแม่ฉันก็อยากเจอหน้าคุณอยู่เหมือนกันค่ะ”ซูเหมียนทำเสียงให้ซอฟลง พร้อมพูดเสียงเบา
“คืนนี้ดึกมากแล้ว”
เฉินถิงเซียวปฏิเสธโดยตรงแบบนี้ ซูเหมียนรู้สึกเสียหน้า ได้เปิดประตูลงจากรถด้วยความโกรธ
ซูเหมียนลงจากรถแล้ว ก็รู้สึกว่ายังไม่หายโกรธ อยากก้มลงมาพูดคุยกับเฉินถิงเซียวสักสองสามคำ แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่ให้โอกาสนี้กับเธอเลย
หลังจากเธอลงจากรถแล้ว เพิ่งปิดประตูรถเสร็จ เฉินถิงเซียวก็ขับรถจากไปเลย
รถยนต์สีดำขับซิ่งไปอย่างไว เหลือไว้แค่เงาแวบไปอย่างไว
ซูเหมียนโกรธจนย่ำเท้าอยู่กับที่ พร้อมกัดฟันพูดว่า:“เฉินถิงเซียว!สักวัน ฉันจะทำให้คุณรักฉันจนหัวปักหัวปำแน่นอน!”
……
เฉินถิงเซียวเพิ่มความเร็วตลอดทาง ได้ขับรถไปที่จีนติ่ง
เขาลงจากรถปุ๊บ ก็เดินเข้าไปอย่างไว
พอเดินเข้ามาก็เห็นกู้จือหยั่นกับเสิ่นเหลียงที่กำลังฉุดดึงกันอยู่ในห้องโถง
กู้จือหยั่นก็เห็นเขาเหมือนกัน ได้ส่งเสียงเรียกเขา:“ถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วเดินไปอย่างไว:“เห็นมู่……”
พอเปิดปากปุ๊บ จู่ๆเขาก็ได้หยุดชะงักเอาไว้ จากนั้นได้เปลี่ยนคำพูด:“เห็นเจียงซ่งหรือเปล่า?”
กู้จือหยั่นคิดๆแล้วได้ถามว่า:“ก็ไอ้เหี้ยของตระกูลเจียงที่คราวก่อนที่จัดPartyที่บ้านคนนั้นเหรอ?”
เฉินถิงเซียวหน้าบูดบึ้งไว้ ได้พยักหน้า:“อืม”
“ไม่เห็นหนิ เขามาจีนติ่งเหรอ?”กู้จือหยั่นใช้ลิ้นดันเพดานปาก เปลี่ยนจากหน้าตาเชื่องช้าตอนที่อยู่กับเสิ่นเหลียงเมื่อครู่ สีหน้าดูแล้วค่อนข้างเยาะเย้ยถากถางสังคม:“จีนติ่งของเราเป็นสถานที่ประกอบการถูกกฎหมายเชียวนะ ฉันไปดูหน่อยซิว่าไอ้หมอนั่นได้ทำอะไรซี้ซั้วอยู่ที่นี่หรือเปล่า”
ตระกูลเจียงมีเงินมีอำนาจ แต่ลูกชายที่เลี้ยงดูออกมากลับพาออกหน้าออกตาไม่ได้ ถูกแฉข่าวฉาวหลายครั้งแล้ว
ในวงการสังคมชั้นสูง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากใกล้ชิดกับไอ้พวกผลาญเงินของตระกูลเจียง แต่ทำไงได้ตระกูลเจียงมีอำนาจ ภายนอกคนมากมายได้แต่เอาใจไอ้เด็กเวรทั้งหลายของตระกูลเจียง
แต่กู้จือหยั่นก็เป็นคนที่ไม่แคร์อะไรเลย เขาไม่กลัวเจียงซ่งหรอก
กู้จือหยั่นพูดจบแล้วหันไปมองเสิ่นเหลียง ก็พบว่าเธอกำลังโทรศัพท์อยู่
เขาแอบเอาหูไปแนบชิด ไม่ได้ยินว่ากำลังโทรหาใคร จึงได้ถามเสียงเบาว่า:“เสิ่นเสี่ยวเหลียง คุณกำลังโทรหาใครอยู่?”
เสิ่นเหลียงหันมามองเขาแวบนึง และได้ผลักเขาออกอย่างรังเกียจ พร้อมพูดกับในสายว่า:“ไม่มีธุระก็กลับเช้าๆนะ เดี๋ยวว่างแล้วทานข้าวด้วยกัน บ๊ายบาย”
กู้จือหยั่นคิดๆแล้วได้ถามว่า:“คุณกำลังโทรหาน่อนน่อนอยู่เหรอ?”
“เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย!”เสิ่นเหลียงวางสายแล้วได้มองเฉินถิงเซียวแวบนึง พร้อมส่งเสียงเชอะทีนึงอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็ได้หันหลังจากไปเลย