ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่237 โกลาหล
บทที่237 โกลาหล
ตั้งแต่ที่ทะเลาะกับฉินสุ่ยซานในคฤหาสน์ของเฉินถิงเซียวครั้งที่แล้ว เฉินอินหย่าที่จดบัญชีเก็บไว้บนตัวของมู่น่อนน่อนไว้อยู่แล้ว ก็ยิ่งเกลียดมู่น่อนน่อนเข้าไปอีก
เธอเห็นว่าสีหน้าของมู่น่อนน่อนไม่ได้ดีมาก ก็พุ่งสายตามองอย่างเหยียดหยาม
แล้วก็เพราะเรื่องฉีกสัญญาช่วงนี้ซือเฉิงหยู้กับเฉินถิงเซียว ก็ยิ่งขัดแย้งกันมากขึ้นอีก
ทั้งสี่คนไม่มีใครคิดจะสนใจใครเลย
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่หยุดนิ่ง ทำให้ใจไม่ดี
ทั้งตัวมู่น่อนน่อนไม่สบายตัว ตรงข้ามกับเฉินถิงเซียว ใบหน้าของเขาไม่ออกอาการผิดปกติสักนิด ทั้งยังยื่นมือไปหยิบแมคคาเดเมียเม็ดใหญ่สองสามเม็ดจากจานผลไม้บนโต๊ะกาแฟ แล้วแกะให้มู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนชื่นชมที่ในเวลาแบบนี้เขายังนิ่งอยู่ได้
เพราะเขาจะทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไร ใจของมู่น่อนน่อนก็สงบลง
ยังไงมันก็เป็นแสดง ยิ่งแสดงเหมือน ก็ยิ่งเป็นผู้ชนะ
“กรอบมากเลย คุณก็กินสักลูกสิ” มู่น่อนน่อนพูดไป ก็ป้อนลูกแมคคาเดเมียเข้าปากเฉินถิงเซียวไป
ลูกแมคคาเดเมียมีรสครีม มีรสชาติหอมกรอบเป็นของที่เด็กผู้หญิงชอบ
เฉินถิงเซียวไม่ชอบรสชาติแบบนี้ แต่ก็ยังขมวดคิ้วฝืนเคียวและกลืนมันลงไป
“แม่” ซือเฉิงหยู้นั่งลงข้างเฉินเหลียน น้ำเสียงกังวล “ทำไมไม่โทรมาบอกผมก่อน ผมจะได้ไปรับ”
เฉินอินหย่าก็รีบมานั่งลงข้างๆซือเฉิงหยู้ พูดเสริม “ใช่แล้ว คุณป้า คุณป้าไม่ได้จะกลับมาซักครั้งง่ายๆ พี่เค้าอยู่ในประเทศพอดี ก็ควรให้เขาไปรับคุณป้านะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินเหลียนจางมาก “เฉิงหยู้ยุ่งจะตาย ฉันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครมารับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก…”
สามคนตรงนั้นดูแล้วกลมเกลียวกันดี ตรงนี้มู่น่อนน่อนดูเหงาหงอย
เฉินถิงเซียวเพียงแค่ค่อยๆแกะเปลือกแมคคาเดเมีย เฉินชิงเฟิงที่นั่งตรงข้ามกับเขา ก็ไม่พูดอะไร
ในที่สุดก็ผ่านมาถึงเวลากินข้าวอย่างยากลำยาก
มู่น่อนน่อนนึกไว้เต็มอกว่า กินข้าวเสร็จก็กลับไปได้แล้ว
ผลคือพอกินไปได้ครึ่งนึง เฉินอินหย่าก็ชี้โทรศัพท์แล้วพูดเสียงดัง “พี่ มีคนมาให้ร้ายพี่บนอินเทอร์เน็ต”
ในใจมู่น่อนน่อนเริ่มเครียด ไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องคนอื่นให้ร้ายซือเฉิงหยู้ แต่เป็นเพราะกังวลว่าจะไปเกี่ยวกับเฉินถิงเซียวอีก
เฉินถิงเซียวเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเสิ้งติ่ง ตระกูลเฉินก็ควรจะรู้ แต่การฉีกสัญญาครั้งนี้ก็ไม่ได้เห็นซือเฉิงหยู้เข้ามาแทรกแซง
เป็นไปได้ว่าผู้อาวุโสของตระกูลเฉินขี้เกียจจะมาใส่ใจเรื่องนี้ แต่ตอนนี้คนก่อเรื่องของทั้งสองฝั่งอยู่ที่นี้หมด…
ซือเฉิงหยู้ทำตัวนิ่งมาก “ไม่ต้องใส่ใจ กินเสร็จก่อนค่อยว่ากัน ตอนนี้บนอินเทอร์เน็ตมีพวกชอบพูดไร้สาระอยู่”
“ไม่ใช่ พี่ต้องค้นหาประเด็นร้อน ความสนใจสูงมากเลยนะ บอกว่าแต่ก่อนพี่เคยฆ่าหมาตายอย่างโหดร้ายในกองถ่าย? คนปล่อยข่าวอ้างว่าเคยทำงานในกองถ่ายเดียวกับพี่…”
เฉินอินหย่าก็ทำงานอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ ถือว่ารวมอยู่ในวงการบันเทิง ก็ต้องสนใจข่าววงการบันเทิงเป็นธรรมชาติ
“มันก็เป็นแค่เรื่องตลก มันจะไปเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ก็คุณเป็นคนดีขนาดนี้…”เฉินอินหย่าจงใจแกล้งทำน้ำเสียงให้เป็นธรรมชาติ
มู่น่อนน่อนมองเธอ
เฉินอินหย่าพบว่า จะเกาะอำนาจของเฉินถิงเซียวนั้นยากเกินไป ก็เลยถอยกลับมาตัวเลือกที่สองไปเกาะอำนาจของซือเฉิงหยู้แทน?
มู่น่อนน่อนยื่นนิ้วออกไปสะกิดเอวของเฉินถิงเซียวใต้โต๊ะ เธออยากจะถามเขาว่า เรื่องซือเฉิงหยู้เรื่องนี้เขาเป็นคนทำรึเปล่า?
เธอรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า ที่เฉินถิงเซียวจะทำไม่ใช่เพียงแค่ยกเลิกสัญญากับซือเฉิงหยู้แน่
เขาคนนี้แค้นมาก จะต้องได้อะไรบางอย่างกลับมาจากตัวของซือเฉิงหยู้อย่างแน่นอน
เธอแค่สะกิดไปทีนึง แต่ทั้งมือของเธอโดนเฉินถิงเซียวคว้าไว้
มู่น่อนน่อนเงยหน้า เฉินถิงเซียวหันหน้ามา แล้วคีบอาหารให้เธอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “กินเยอะๆหน่อย อิ่มแล้วก็กลับบ้านกัน”
มู่น่อนน่อนเอียงคอ กระพริบตาปริบๆ บอกให้เห็นคำถามของตัวเอง
เฉินถิงเซียวส่ายหัวเบาๆว่าไม่รู้เรื่อง เป็นการตอบคำถามของเธอ
ทันใดนั้น เขาก็หันหน้าไปมองซือเฉิงหยู้
สายตาของทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ ไม่มีใครเริ่มพูดอะไร และไม่มีการแสดงออกมากมาย
แต่คนอื่นๆกลับรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ
ซือเฉิงหยู้ละสายตาออกไปก่อน ยิ้มอย่างไม่แยแส “ไม่มีเรื่องแบบนี้แน่นอน ก็แค่เรื่องน่าเบื่อของคนน่าเบื่อเท่านั้นเอง อินหย่าไม่ต้องดูแล้ว กินข้าวเถอะ”
เขาพูดอย่างนี้แล้ว เฉินอินหย่าก็รีบพูดเสริม “ใช่แล้วล่ะ”
เฉินอินหย่าวางโทรศัพท์ ปากก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เธอถามด้วยความสงสัย “พี่ ทำไมพี่ต้องฉีกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่งด้วยล่ะ? ฉันว่าบริษัทเสิ้งติ่งก็ยังดีกับพี่อยู่นะ”
พอประโยคนั้นออกจากปาก บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็กลับเป็นทะมึนแปลกๆอีกครั้ง
มู่น่อนน่อนประหลาดใจอยู่บ้าง ที่เฉินอินหย่าไม่รู้ว่าเฉินถิงเซียวเป็นหัวหน้าที่อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่ง?
พอมาคิดดู มู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่าไม่รู้จะไปว่าเรื่องอะไร
เฉินถิงเซียวเป็นคนนิสัยเย็นชา ที่จริงเขาก็ไม่ชอบคนตระกูลเฉิน กับเฉินอินหย่าก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน เฉินอินหย่าจะไม่รู้ว่าเขาเป็นหัวหน้าผู้อยู่เบื้องหลังของบริษัทเสิ้งติ่งก็ไม่แปลก
ครั้งนี้ซือเฉิงหยู้ไม่ได้ยิ้ม มองเฉินอินหย่าด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก
หน้าเฉินอินหย่าดูอธิบายไม่ถูก ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป
เฉินเหลียนที่ไม่ได้ส่งเสียงมาตลอดคีบอาหารใส่ในถ้วยของอินหย่า พูดเสียงนุ่ม “อินหย่า ชิมอันนี้ดูสิ”
“ขอบคุณค่ะคุณป้า” เฉินอินหย่าเหลือบตามองซือเฉิงหยู่อย่างระมัดระวัง ก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่ได้พูดอะไรอีก
……
สุดท้ายก็กินข้าวเสร็จอย่างยากลำบาก มู่น่อนน่อนนึกว่าในที่สุดก็ได้กลับไปแล้ว
“ถิงเซียว มาที่ห้องหนังสือของฉันสิ ฉันมีอะไรจะพูดกับแก”
พอเฉินชิงเฟิงพูดออกมา มู่น่อนน่อนก็รู้ได้เลยว่าจะยังไปไม่ได้อีกสักพัก
มู่น่อนน่อนถอนหายใจ ดันเฉินถิงเซียว “ คุณไปเถอะ เดี๋ยวฉันรอคุณอยู่นี่”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็ดึงเธอเดินตรงเข้าไปในห้องหนังสือของเฉินชิงเฟิง
“พ่อคุณบอกว่ามีอะไรจะพูดกับคุณหนิ แล้วคุณพาฉันมาทำไม?” มู่น่อนน่อนออกแรงดิ้นให้หลุดจากมือของเขา
น้ำเสียงของเฉินถิงเซียวดูจริงจังสุดๆ “พึ่งกินข้าวเสร็จ ก็เลยพาเธอเดินย่อยสักหน่อย”
มู่น่อนน่อนพึมพำเบาๆ “…ข้ออ้างยังแย่กว่านี้ได้อีกมั้ยเนี่ย?”
“พูดอีกครั้งซิ” เฉินถิงเซียวหันกลับมามองเธอ
มู่น่อนน่อนหดคอ แล้วส่ายหัวแกล้งเป็นใบ้
มาถึงหน้าประตูห้องหนังสือของเฉินชิงเฟิงแล้ว เฉินถิงเซียวผลักประตูพร้อมพามูน่อนน่อนเข้าไปด้วย
เฉินชิงเฟิงเห็นข้างหลังเขามีมู่น่อนน่อนมาด้วย คิ้วขมวดเล็กน้อย “น่อนน่อนไม่ได้อยู่คุยกับพวกอินหย่าหรอ?”
คำพูดแฝงในประโยคเมื่อกี้น่าจะประมาณ ฉันจะคุยกับลูกชายฉัน เธอมาด้วยทำไม?
“มีอะไรก็พูดมาเลย” เฉินถิงเซียวพามู่น่อนน่อนไปนั่งที่โซฟาแล้ว ถึงเงยหน้ามองเฉินชิงเฟิง
เฉินชิงเฟิงขบกรามแน่น เห็นได้ชัดว่าโกรธกับท่าทางของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนมองเฉินชิงเฟิง แล้วก็มองเฉินถิงเซียว พบว่าท่าทางของสองพ่อลูกตอนกำลังโกรธเหมือนกันมาก
“ฉันให้แกรับบริษัทเฉินซื่อไปบริหารต่อ ฉันคิดมาดีแล้ว” เฉินชิงเฟิงหน้าตาเย็นชา พอพูดก็ควบคุมตัวเองไม่ให้โกรธได้
มู่น่อนน่อนนั่งยืดตัวตรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เฉินถิงเซียวยิ้ม “ดูเหมือนว่าผมต้องแก้คำพูดคุณหน่อยนะ เพราะคุณปู่ต่างหาก ผมถึงได้กลับไปรับบริษัทเฉินซื่อมาบริหารต่อ นี่มันมั่วชัดๆ”