ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่238 ถีบเขาลงไป
บทที่238 ถีบเขาลงไป
เฉินชิงเฟิงโกรธจนความดันขึ้น จ้องมองเฉินถิงเซียวครู่หนึ่ง ถึงระเบิดคำพูดออกมาสองคำ “ดีมาก!”
มู่น่อนน่อนที่ดูอยู่ข้างๆกลัวจนตัวสั่น
ยังดีที่เฉินชิงเฟิงร่างกายแข็งแรง ไม่อย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วต้องโกรธเฉินถิงเซียวจนป่วยแน่
“เหอะ”
เฉินถิงเซียวหัวเราะเยาะ “ตอนนี้ที่บริษัทเฉินซื่อสถานการณ์เป็นยังไง คุณก็รู้อยู่แก่ใจ อำนาจส่วนใหญ่ไปกองอยู่กับพวกคนแก่ๆอย่างไร้ประโยชน์ นักบัญชีทำบัญชีปลอมกี่บัญชี? คุณก็รู้ใช่มั้ย?”
ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์เลวร้ายของบริษัทเฉินซื่อ ช่วงเวลาก่อนหน้านี้เขาก็คงไม่ถึงขนาดทำงานล่วงเวลาเป็นประจำหรอก
เฉินชิงเฟิงรู้ว่าที่เฉินถิงเซียวพูดมานั้นเป็นความจริง ไม่มีอะไรจะเถียง
เขาถอนหายใจยาว ถามเฉินถิงเซียว “พวกเราไม่พูดเรื่องนี้ พูดเรื่องเฉิงหยู้ดีกว่า”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้ว หลี่ตาเล็กน้อย รอคำต่อไปของเฉินชิงเฟิง
“แกไปทำบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ข้างนอก ไม่กี่ปีมานี้เฉิงหยู้ก็เป็นศิลปินที่เซ็นสัญญาอยู่ใต้สังกัดของบริษัทนั้นของแกนี่? ที่พวกแกยกเลิกสัญญากันนี่ แกเป็นคนเสนอใช่มั้ย?”
คนนอกต่างก็คิดว่าซือเฉิงหยู้เป็นคนเสนอยกเลิกสัญญา แต่เฉินชิงเฟิงไม่ได้โง่เหมือนคนพวกนั้น
น้ำเสียงเฉินชิงเฟิงเหมือนถามคาดโทษ ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ
เฉินถิงเซียวพูดโดยไม่แสดงอาการใดๆ “นี่คุณกำลังจะมาสู้แทนเขาหรอ?”
ดูเหมือนเฉินชิงเฟิงก็รู้ว่าวิธีการพูดของตัวเองนั้นไม่ค่อยถูกต้อง น้ำเสียงเขาอ่อนลงมาหน่อย “ฉันกับป้าของแกเป็นพี่น้องแท้ๆกัน ความสัมพันธ์ของแกกับเฉิงหยู้ก็ดีตั้งแต่เด็ก จะมีสักกี่คนที่มาจ้องมองมายังที่ของแก แกก็รู้ ว่าแกกับเฉิงหยู้รักกันตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่ต้องสร้างความสัมพันธ์ดีๆ จากนั้นถึงพึ่งพาอาศัยกันได้…”
“อยากจะพึ่ง คุณก็ไปพึ่งเองเถอะ” เฉินถิงเซียวไม่ได้สนใจ ลุกขึ้นยืน “ผมไม่สนเรื่องของคุณ เรื่องของผมคุณก็อย่ามายุ่ง”
พูดจบ เขาหันไปยื่นมือหามู่น่อนน่อน “มู่น่อนน่อน พวกเรากลับบ้านกัน”
สายตาที่เขามองมายังเธอไม่ดูเย็นชาเหมือนกับตอนที่คุยกับเฉินชิงเฟิง หน้าตาที่หล่อเหลา คิ้วที่อ่อนนุ่มเหมือนฝ้าย ทำให้คนรู้สึกอบอุ่น
มือน่อนน่อนเอามือของตัวเองไปไว้ในมือของเขา “หือ”
ทั้งสองจูงมือกันเดินออกมา
ข้างในห้องที่ประตูไม่ได้ปิด เป็นเสียงทุบทำลายข้าวของ
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียวอย่างกังวล
เฉินถิงเซียวยิ้มอย่างอ่อนโยน หางตาแฝงไปด้วยการเยาะเย้ย “ข้าวของเขาเองทั้งนั้น ให้เขาทุบตามใจเถอะ”
มู่น่อนน่อนยังกังวลอยู่นิดหน่อย เฉินถิงเซียวกับเฉินชิงเฟิงเข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำกับไฟ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่พึ่งเกิดวันสองวันซะเมื่อไหร่ แต่ก็จะเป็นอย่างงี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้
เธอมองออก เฉินชิงเฟิงยังอยากจะญาติดีกับเฉินถิงเซียวอยู่
ผู้ชายอย่างเฉินชิงเฟิง ถึงจะทำเกินไปหน่อย ก็ไม่น่าจะจัดการลักพาตัวภรรยาของตัวเองอย่างนั้น
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่า ระหว่างเฉินถิงเซียวกับเฉินชิงเฟิง คงเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด
แต่แค่ เรื่องเข้าใจผิดนี้ไม่ได้พึ่งเกิดแค่วันสองวัน ถ้าอยากจะคลายความเข้าใจผิด ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป
……
พอทั้งสองลงมา ก็เห็นเฉินเจียฉินกำลังกระโดดอยู่บนโซฟา มองทั้งสองตาเป็นมัน “พี่ชาย เจ๊น่อนน่อน พวกพี่จะกลับแล้วหรอ?”
“อือ มีอะไรหรอ?” มู่น่อนน่อนเห็นว่าเฉินเจียฉินมีอะไรจะพูด
เฉินเจียฉินเกาหัว พูดอย่างอายๆ “ผมไม่ได้ไปหาพวกพี่นานแล้ว ผมไปอยู่ด้วยสักสองสามวันได้มั้ย?”
“ไม่ได้”
“ได้”
เสียงทั้งสองที่ขัดแย้งดังขึ้นพร้อมกัน
คนที่พูด “ไม่ได้” คือเฉินถิงเซียว คนที่พูด “ได้” คือมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนมองเฉินถิงเซียว พูดเสียงหนัก “คุณบอกว่าไม่ได้หรอ?”
เฉินถิงเซียวอยากจะพยักหน้า
แต่สัญชาตญาณบอกเขา ถ้าเขาพยักหน้า คืนนี้อาจจะโดนมู่น่อนน่อนไล่ไปนอนนอกห้อง
เฉินถิงเซียวมองเฉินเจียฉินปราดหนึ่ง ตอบเสียงเรียบๆ “ออ”
ในคำว่า “ออ” นี้มีความไม่เต็มใจแฝงออกมาอยู่ลึกๆ มู่น่อนน่อนสัมผัสได้
แต่เธอก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ พูดกับเฉินเจียฉินยิ้มๆ “นายได้คุยกับแม่รึยัง?”
ถึงแม้ความสัมพันธ์ของซือเฉิงหยู้กับเฉินถิงเซียวจะแตกหักแล้ว แต่เฉินเจียฉินก็เป็นแค่เด็ก
ไม่ควรให้เรื่องของผู้ใหญ่ มาทำให้ไม่แยแสแม้แต่เด็กคนหนึ่ง
เฉินเจียฉินพยักหน้าอย่างแรง “คุยแล้ว”
……
เฉินเจียฉินก่อนหน้านี้ก็อยู่ที่นั่นกับเฉินถิงเซียว ที่นั่นยังมีเสื้อของเขาอยู่เลย ถ้าตอนนี้อยากกลับไปอยู่ แม้แต่ของใช้ก็ไม่ต้องเตรียม แค่ตรงเข้าไปอยู่ก็ได้แล้ว
ตอนขึ้นรถ เฉินเจียฉินเหมือนกลัวเฉินถิงเซียวเปลี่ยนใจ เขารับกระโดดขึ้นรถเหมือนกระต่ายแล้วกวักมือเรียกมู่น่อนน่อน
“เจ๊น่อนน่อน รีบขึ้นมาเร็ว”
เฉินถิงเซียวกวาดตามองไปอย่างเย็นชา เฉินเจียฉินรีบปิดปากทันที
มู่น่อนน่อนกำลังจะขึ้นรถ แต่เฉินถิงเซียวกลับดึงไว้
พอเขาขึ้นรถก่อนแล้ว ถึงยื่นมือหามู่น่อนน่อน ตั้งใจจะให้เธอขึ้นรถ
มู่น่อนน่อนกลอกตามองบน ผู้ชายคนนี้ทำไมคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้?
เธอขึ้นมาบนรถแล้ว เฉินถิงเซียวนั่งกลางระหว่างเธอกับเฉินเจียฉินเพื่อแยกทั้งสองจากกัน
มู่น่อนน่อนกับเฉินเจียฉินมองตากันข้าม “แม่น้ำ” จากสายตายองแต่ละคนเธอมองเห็นสายตาดูถูกของเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนนึกถึงก่อนหน้านี้ที่อยู่บนโต๊ะอาหาร เฉินอินหย่าบอกว่าซือเฉิงหยู้โดนคนใส่ร้ายอีกแล้ว
สถานการณ์บนอินเทอร์เน็ตเลวร้ายกว่าที่มู่น่อนน่อนคิดไว้
มู่น่อนน่อนเอนตัวไปข้างหูเฉินถิงเซียวแล้วถามเขาเสียงเบา “คุณไม่ได้ทำจริงหรอ?”
เฉินถิงเซียวยังคงมีท่าทีไม่แสดงออกอะไรเหมือนเดิม แต่น้ำเสียงกลับหยิ่งผยองมาก “เรื่องเล็กแค่นี้ต้องถึงมือฉันเลยหรอ?”
จะดูนิสัยของคนคนหนึ่งว่าเป็นยังไง ปกติให้ดูตอนคนตัวเล็กๆตอนมีอำนาจนี่แหละ
ประเด็นที่ว่าซือเฉิงหยู้ฆ่าหมาอย่างโหดร้ายความนิยมสูงมาก แถมยังมีรูปภาพด้วย
แค่รูปภาพไม่ชัดนัก แต่ดูลักษณะรูปร่างแล้วมองออกชัดมากว่าเป็นซือเฉิงหยู้
รูปถูกถ่ายมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ซือเฉิงหยู้ยกหมาขึ้น เขวี้ยงสุนัขลงพื้น ห้าภาพถ่ายนี้ถูกถ่ายในกระบวนการที่สอดคล้องกัน
ถ้าว่าตามชาวเน็ตแล้ว นี่เป็นความจริงที่มีน้ำหนัก
ครั้งนี้ ชาวเน็ตส่วนใหญ่ต่างไม่อยู่ข้างซือเฉิงหยู้แล้ว
สำหรับซือเฉิงหยู้ที่แทบไม่เคยเจอข่าวด้านลบมาก่อน ข้อมูลที่ดำมืดแบบนี้ อาจจะเป็นการทำลายอาชีพศิลปินของเขาไปเลยก็ได้
“ภาพลักษณ์ถล่มเลย!”
“รู้สึกว่าไอ้ซือเฉิงหยู้นี่แปลกๆมาตั้งนานแล้ว มีคนที่ไหนจะไม่มีข่าวด้านลบเลย”
“นี่เป็นผลจากการฉีกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่งน่ะสิ มีต้นไม้ต้นใหญ่อย่างบริษัทเสิ้งติ่งดูแลอยู่ยังไม่พอใจอีก พอฉีกสัญญาก็โดนปล่อยข่าวร้ายแบบนี้ออกมา เจ็บแสบเลยมั้ยล่ะ?”
สายตาของมู่น่อนน่อนตกไปอยู่ที่ความคิดเห็นสุดท้าย
วงการบันเทิงนั้นลึกล้ำมาก ถึงแม้ซือเฉิงหยู้จะเป็นรายใหญ่ แต่ก็เป็นเพราะมีบริษัทเสิ้งติ่งที่เป็นผู้นำเก่าแก่ของวงการบันเทิงคุ้มครองอยู่ จึงอยู่ได้อย่างราบรื่น
แต่เขาฉีกสัญญากับบริษัทเสิ้งติ่งแล้ว บารมีของบริษัทเสิ่งติ่งที่คุ้มหัวอยู่ก็หายไปด้วย คนพวกนั้นที่คิดจะปีนขึ้นไปที่สูง ก็ต้องใช้โอกาสนี้ถีบส่งซือเฉิงหยู้เป็นธรรมดา
หนึ่งคนสำเร็จหมื่นคนแห้งหาย
ในวงการบันเทิงมีคนอยากปีนขึ้นที่สูงอยู่ตลอด
แต่ตำแหน่งสูงกลับมีอยู่ไม่มาก ก็เลยต้องถีบคนอื่นลง ตัวเองถึงจะมีโอกาสได้ขึ้นไปบ้าง
แต่ซือเฉิงหยู้ในสิบปีสั้นๆนี้ ก็ได้เป็นราชาภาพยนตร์แกรนด์แสลมที่อายุน้อยที่สุดในวงการบันเทิง มีคนจ้องจะถีบเขาลงไปมานานแล้ว