ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่389 จะโดดก็โดดด้วยกัน!
มู่น่อนน่อนกลับมามองภาพเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทันใดนั้น ก็มีประกายขึ้นมาในหัวของเธอ และเธอก็เงยหน้าขึ้นมองลี่จิ่วเชียนในทันที “จิ่วเชียน นายเป็นจิตแพทย์ งานวิจัยของนายในด้านนี้ต้องละเอียดและลึกซึ้งมากใช่ไหม? ”
พอพูดถึงเรื่องวิชาชีพ สีหน้าของลี่จิ่วเชียนก็จริงจังและเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที
“มีความเฉพาะทางในวิชาชีพศัลยกรรม แต่สำหรับผู้ป่วยโรคจิตเวช ส่วนใหญ่แล้ว เราสามารถทำหน้าที่นำทางและมีหน้าที่เสริมเท่านั้น สุดท้ายแล้ว ผู้ป่วยก็ต้องพึ่งพาตัวเอง”
ลี่จิ่วเชียนเรียกพนักงานเสิร์ฟให้เติมน้ำในแก้วของเขาก่อนจะพูดต่อ: “ทำไมจู่ๆ มาถามเรื่องนี้ล่ะ”
มู่น่อนน่อนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดว่า “เมื่อก่อนฉันเคยไปตรวจที่โรงพยาบาลมาแล้วไม่ใช่เหรอ? หมอบอกว่า ร่างกายของฉันฟื้นฟูดีมากแล้ว แต่ตอนนี้ฉันไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นความจำเลย นายเป็นจิตแพทย์ มีวิธีไหม? ”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินดังนั้น ก็ตกอยู่ในห้วงความคิดในทันที
มู่น่อนน่อนมองเขาด้วยใบหน้าที่คาดหวัง
ถ้าเกิดว่าลี่จิ่วเชียนสามารถช่วยเหลือเธอได้ ละทำให้เธอจำเรื่องในอดีตได้ มันน่าจะดีไม่น้อยเลย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลี่จิ่วเชียนก็ให้คำตอบที่ปิดบังคลุมเครือกับเธอ “เธอความจำเสื่อมเพราะว่าสมองถูกทำลาย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องจิตวิทยา จะลองดูก็ได้ แต่ว่าไม่แน่ว่าอาจจะไม่มีผลอะไร”
แววตาของมู่น่อนน่อนฉายประกายความดีใจ “โอเค”
แม้ว่าจะมีความหวังเพียงเล็กน้อย แต่เธอก็อยากจะลองดู
“กินข้าวกันเถอะ”ลี่จิ่วเชียนยิ้มและคีบอาหารมาให้เธอ
……
กินข้าวเสร็จก็ออกจากร้านไป ข้างนอกฝนตกแล้ว
เมืองหู้หยางเป็นเหมือนที่ฝนตกชุก
ในต้นฤดูใบไม้ร่วง ฝนได้กลายเป็นเรื่องธรรมดา
ฝนไม่ตกหนัก แต่ว่าเมฆมากจะทำให้คนรู้สึกอึดอัด
มู่น่อนน่อนกับลี่จิ่วเชียนสองคนกลับมาที่รถ ผมก็เปียกเล็กน้อย
ลี่จิ่วเชียนขับรถไปด้านหน้า แล้วก็พูดคุยกับมู่น่อนน่อนไปเรื่อยๆ
วันฝนตก รถขับช้ามาก
ตอนที่เลี้ยวนั้น ลี่จิ่วเชียนเหยียบเบรก แต่ก็พบว่ารถไม่ได้ช้าลง แต่กลับเร็วขึ้นอีกต่างหาก
ไม่ว่าลี่จิ่วเชียนจะพยายามเหยียบเบรกแรงขนาดไหน แต่ว่าเบรกก็ไม่มีประโยชน์เลย รถไม่ได้หยุดลง
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนเปลี่ยนไปในทันที ในขณะที่บีบแตรไปด้วย เขาก็ตะโกนออกมา “เบรกพัง น่อนน่อน กระโดดลงจากรถเร็ว!”
มู่น่อนน่อนเองก็พบว่าเบรกรถพังแล้ว รถไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป รถคันอื่นสังเกตเห็นความผิดปกติของรถคันนี้และหลีกเลี่ยงออกไป
มู่น่อนน่อนดึงเข็มขัดนิรภัย “จะโดดก็โดดด้วยกัน!”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินคำพูดของเธอ แต่ว่าสีหน้ากลับไม่ได้ดูซาบซึ้งแต่อย่างไร แต่กลับตะคอกออกมาด้วยความโมโห “กระโดด! ชีวิตเธอฉันเป็นคนช่วยเอาไว้ จะเกิดอุบัติเหตุอะไรไม่ได้เด็ดขาด”
สถานการณ์เร่งด่วน มู่น่อนน่อนก็ไม่มีเวลาไปเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งในคำพูดของเขา เธอกัดฟันและเปิดประตูรถ หาโอกาสที่เหมาะเจาะและก็กระโดดลงมา
เธอใช้เทคนิคบางอย่างเมื่อเธอกระโดดลงจากรถ แม้ว่าร่างกายของเธอจะช้ำ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
มู่น่อนน่อนลุกขึ้นมาจากพื้น ตอนที่เงยหน้าขึ้นมา ก็พบว่ารถของลี่จิ่วเชียนชนกับราวกันข้างถนน
เธอวิ่งเข้าไปหาลี่จิ่วเชียนในทันที
มู่น่อนน่อนแนบไปกับหน้าต่างรถแล้วก็เอ่ยปากเรียกชื่อเขา “ลี่จิ่วเชียน นายเป็นยังไงบ้าง?”
ลี่จิ่วเชียนนั่งอยู่บนที่นั่งคนขับด้วยเลือดที่เต็มหัว ดวงตาของเขาหย่อนยานเล็กน้อย ราวกับว่าเขาจะหมดสติเมื่อใดก็ได้
แต่ว่าเขาก็ยังพยายามอย่างหนักเพื่อมองมู่น่อนน่อนอีกครั้ง หลังจากนั้นก็หมดสติไป
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ออกมาเรียกรถพยาบาลด้วยความตื่นตระหนก คนใจดีข้างๆ พูดว่า “ไม่ต้องรีบร้อน พวกเราได้โทรเรียกรถพยาบาลให้คุณแล้ว……”
มู่น่อนน่อนพูดอย่างอ่อนแอ “ขอบคุณค่ะ”
มีโรงพยาบาลอยู่ใกล้ๆ และรถพยาบาลมาถึงอย่างรวดเร็ว
……
ลี่จิ่วเชียนถูกส่งเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
มู่น่อนน่อนรอดูผลอยู่ด้านนอก ทุกนาที ทุกวินาทีต่างเป็นความทรมาน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ประตูห้องผ่าตัดถูกเปิดออก แล้วหมอก็เดินออกมาจากด้านใน
มู่น่อนน่อนรีบเดินขึ้นไปทันที “คุณหมอคะ เขาเป็นยังไงบ้างคะ? ”
คุณหมอถอดหน้ากากอนามัยออก “เย็บไม่หลายเข็ม ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต แต่จะต้องสังเกตเป็นระยะเวลาหนึ่งและต้องส่งไปยังห้องไอซียูก่อน”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”มู่น่อนน่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ลี่จิ่วเชียนถูกเข็นออกมา บนหัวถูกผูกไว้ด้วยผ้าพันแผล อยู่ในสภาวะกึ่งโคม่า
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไป แล้วเอ่ยปากเรียก “จิ่วเชียน?”
ลี่จิ่วเชียนขยับริมฝีปาก แต่ว่าไม่ได้ออกเสียงอะไร
หลังจากที่มู่น่อนน่อนเห็นเขาเข้าไปในห้องไอซียู ถึงได้ติดต่อคนในครอบครัวของลี่จิ่วเชียน
แต่ว่า พอถึงเวลานี้ เธอถึงได้รู้ตัวว่าเธอไม่ได้รู้จักลี่จิ่วเชียนดีเลย
นอกจากการที่ลี่จิ่วเชียนเป็นจิตแพทย์ และชื่อลี่จิ่วเชียนนั้น เรื่องอื่นเธอก็ไม่รู้อะไรเลย
แล้วอีกอย่าง ลี่จิ่วเชียนก็ไม่เคยพูดถึงครอบครัวของเขามาก่อน
จุดนี้ สถานการณ์ของลี่จิ่วเชียนกับเธอค่อนข้างจะคล้ายกัน
ตอนที่เธอฟื้นขึ้นมาบนเตียงผู้ป่วยนั้น ไม่มีญาติอยู่ข้างกาย ลี่จิ่วเชียนก็ไม่เคยพูดถึงญาติเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมลี่จิ่วเชียนถึงไม่เคยพูดถึงญาติของตัวเองมาก่อน แต่ว่ามู่น่อนน่อนก็รู้สึกว่า เขาต้องมีเหตุผลของเขาเองอย่างแน่นอน
พอคิดแบบนี้แล้ว เธอก็รู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจเขา
ลี่จิ่วเชียนออกมาหลังจากใช้เวลาหนึ่งวันในห้องไอซียู
มู่น่อนน่อนต้มซุปไว้ให้เขา
ลี่จิ่วเชียนพิงหัวเตียง มองมู่น่อนน่อนเอาซุปมาให้เขา ก็ยิ้มและพูดว่า “มีคุณธรรมมากเลย”
มู่น่อนน่อนเหลือบมองเขา “สู้นายไม่ได้หรอก นายนี่ช่างไม่เห็นแก่ตัวเอาซะเลย เอาแต่เป็นห่วงคนอื่นอยู่เรื่อย”
เธอวางซุปไว้บนโต๊ะตรงหน้าเขา
ลี่จิ่วเชียนหยิบช้อนขึ้นมา แล้วก็ค่อยๆ กินซุปลงไปช้าๆ ดูไม่มีชีวิตชีวาอะไร
มู่น่อนน่อนเห็นว่าเขาเป็นแบบนี้ ก็ทนไม่ได้และพูดว่า “โชคดีที่นาย……ไม่งั้นฉันคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
ลี่จิ่วเชียนยิ้ม เหมือนกับว่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง และก็พูดว่า “มีเรื่องอยากพูดกับเธอ ถ้าเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังในช่วงเวลานี้ มันอาจจะง่ายกว่าสำหรับเธอที่จะยกโทษให้ฉัน”
มู่น่อนน่อนเงยหน้ามองเขา “อะไรเหรอ? ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของลี่จิ่วเชียนจางลง พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ฉันไม่ใช่คู่หมั้นของเธอ”
มู่น่อนน่อนกำลังเตรียมจะปิดฝาหม้อ
พอได้ยินคำพูดของลี่จิ่วเชียน การกระทำของเธอก็หยุดลงในทันที ผ้าไปสองวินาที หลังจากปิดหม้อเก็บความร้อนอย่างช้าๆ เธอพูดอย่างสบายๆ ว่า “อ้อ”
“ไม่โกรธเหรอ? หรือเพราะว่าโกรธมาก ก็เลยไม่อยากคุยกับฉันแล้ว?”ถึงแม้ว่าลี่จิ่วเชียนจะพูดแบบนี้ แต่ว่าสีหน้าของเขายังคงดูสงบและผ่อนคลาย
หลังจากที่มู่น่อนน่อนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็พูดว่า “ถ้าเกิดว่านายมีเจตนาที่จะโกหกฉันจริงๆ ก็ไม่มีทางปล่อยให้ฉันได้ไปมาหาสู่กับพวกเสี่ยวเหลียงหรอก แล้วอีกอย่าง นายก็ช่วยฉันเอาไว้ เฝ้าฉันอยู่สามปี บุญคุณของนายฉันชดใช้ตลอดชีวิตก็ยังไม่หมดเลย”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลี่จิ่วเชียนก็พยักหน้า
มู่น่อนน่อนดันชามไปตรงหน้าเขา แล้วพูดว่า “แต่ว่า ทำไมนายถึงบอกว่านายเป็นคู่หมั้นฉันล่ะ? ”
ลี่จิ่วเชียนถามกลับ “ในสถานการณ์แบบตอนนั้น ถ้าเกิดว่าฉันไม่บอกว่าเป็นคู่หมั้นของเธอ เธอจะเชื่อใจฉัน แล้วออกจากโรงพยาบาลกับฉันไหม? ”
คนที่สูญเสียความทรงจำทั้งหมด หมายความว่าไม่มีความรู้สึกปลอดภัย หมอและพยาบาลในโรงพยาบาลก็ต่างคิดว่าเธอกับลี่จิ่วเชียนเป็นคู่รักกัน ลี่จิ่วเชียนก็เลยจำเป็นต้องยอมรับแบบนั้น