ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม - บทที่390 ค่อนข้างเป็นการบังคับให้มาอยู่ด้วยกัน
ตอนนั้นมู่น่อนน่อนพึ่งจะฟื้นขึ้นมา ร่างกายอ่อนแอ ความทรงจำก็ว่างเปล่า
ความตื่นตระหนกนั้น ไม่สามารถมีใครไปเข้าใจเธอได้หรอก
ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ถ้าเกิดว่ามีคนใกล้ตัวของเธอปรากฏตัวขึ้น และมีความสัมพันธ์กับเธอแบบที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ถ้ายังงั้น เธอก็ต้องรู้สึกว่าคนคนนั้นพึ่งพาได้ และเชื่อใจเขา
จุดนี้ จุดเริ่มต้นของลี่จิ่วเชียนคือความหวังดี
แต่ว่า ถ้าเกิดว่าไปวิเคราะห์กันอย่างละเอียดแล้ว คำพูดนี้มันค่อนข้างเหมือนเป็นการต้องบังคับให้มาอยู่ด้วยกันมากไปหน่อย
แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือลี่จิ่วเชียนอาการดีขึ้นและรีบออกจากโรงพยาบาล เรื่องพวกนั้นยังไม่ต้องรีบร้อนเลย
ดังนั้น มู่น่อนน่อนก็เลยพยักหน้า และถามเขา “ยังจะกินซุปอีกไหม? ”
ลี่จิ่วเชียนยิ้มแล้วก็ส่งชามให้กับเธอ “อืม”
มู่น่อนน่อนรับชามมา แล้วก็ก้มหน้าเทซุปให้เขาอีก
เส้นผมหลุดออกมาเกะกะใบหน้าของเธอ เธอยื่นมือไปเอาผมทัดหู ท่าทางที่เรียบง่ายนี้ทำให้เธอดูสุภาพและอ่อนน้อม
ลี่จิ่วเชียนละสายตากลับมา หลุบตาลง ปกปิดอารมณ์ในสายตาของตัวเอง
ที่จริงแล้วตอนแรกที่เขาบอกว่าตัวเองคือคู่หมั้นของมู่น่อนน่อน มันไม่ได้มีเหตุผลที่ซับซ้อนอะไรหรอก
เหตุผลที่เขาพูดเมื่อกี้นี้ มันเป็นส่วนน้อยเท่านั้น เหตุผลที่ใหญ่กว่านั้น คือเขาอยากจะลองทดสอบว่ามู่น่อนน่อนสูญเสียความทรงจำจริงรึเปล่า
และสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลังก็แสดงให้เห็นว่า มู่น่อนน่อนเธอ……สูญเสียความทรงจำจริงๆ
มู่น่อนน่อนเทซุปเสร็จแล้วก็ส่งให้กับเขา
ลี่จิ่วเชียนรับไปและพูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน “ขอบคุณ”
“กับฉันทำไมต้องเกรงใจขนาดนั้นด้วย”มู่น่อนน่อนนั่งลงข้างๆ เขา “ไม่ใช่คู่หมั้น พวกเราก็เป็นเพื่อนกัน เพื่อนที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ใช่ไหม? ”
ลี่จิ่วเชียนได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะออกเสียง
เขาเอื้อมมือไปปิดริมฝีปากของเขา พยายามจะหยุดเสียงหัวเราะของตัวเอง เหมือนกับว่าหัวเราะจนพอใจแล้ว ถึงได้ตอบเบาๆ ว่า “ใช่”
“ตลกเหรอ? เอาซุปคืนมาเลยนะ!”มู่น่อนน่อนเจ็บปวดและอยากจะแย่งซุปจากลี่จิ่วเชียนคืน
ลี่จิ่วเชียนยังมีแผลเย็บที่หัว แต่ว่าการเคลื่อนไหวของมือเขาไม่ได้ช้าลงเลย เขาขวางมือของมู่น่อนน่อนเอาไว้ “ตอนนี้ฉันเป็นคนป่วยนะ”
มู่น่อนน่อนถึงได้ดึงมือกลับมา
ถึงแม้ว่าเธอจะสูญเสียความทรงจำ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่มีสมอง
ลี่จิ่วเชียนมีเรื่องให้น่าสงสัยมากมาย แต่ว่าตอนนี้ไม่ควรถามอะไรมาก
ตอนที่เธอนอนเป็นผักอยู่นั้น ลี่จิ่วเชียนคอยเฝ้าเธอทั้งหมดสามปี คิดว่าลี่จิ่วเชียนไม่น่าจะเป็นคนที่ไม่ดี
ลี่จิ่วเชียนกินซุปจนเสร็จ แล้วเธอก็เอาชามไปล้าง
พอล้างชามเสร็จออกมา โทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดี
มู่น่อนน่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็พบว่าเป็นเบอร์แปลก
หัวใจของเธอเต้นแรง แอบเดาว่าอาจจะเป็นผลที่มาจากเฉินถิงเซียว โทรมาหาเธอ
เธอเหลือบมองลี่จิ่วเชียน
ตอนนี้หัวของลี่จิ่วเชียนได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้เขากำลังหลับตางีบอยู่
มู่น่อนน่อนถือโทรศัพท์ออกจากห้องผู้ป่วยไป แล้วก็รับสาย “ฮัลโหล? ”
หลังจากนั้น ก็มีเสียงที่ทุ้มต่ำของชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ปลายสาย
“คุณมู่”
มู่น่อนน่อนฟังออกในทันที ว่านี่คือเสียงของเฉินถิงเซียว
เสียงของเฉินถิงเซียวนั้นน่าฟังมาก เสียงที่ทุ้มต่ำแบบนั้น ฟังแล้วดูนุ่มนวล น่าจดจำใจมาก
เธอนึกว่าถ้าผลออกมาแล้ว สือเย่จะเป็นคนบอกเธอ แต่ไม่คิดเลยว่าเฉินถิงเซียวจะเป็นคนโทรมาหาเธอเอง
มู่น่อนน่อนแอบปลื้มใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเฉินถิงเซียวจะไม่ใช่ผู้ชายที่วางตัวหยิ่ง แต่ว่าเขาทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาเหนือกว่า
มู่น่อนน่อนเม้มปาก กลืนน้ำลาย และตอบว่า “คุณเฉิน สวัสดีค่ะ”
“ผล DNA ออกมาแล้ว คุณอยู่ที่ไหนเหรอ? ”
เฉินถิงเซียวเป็นคนพูดง่ายๆ และชัดเจน มู่น่อนน่อนค่อข้างจะคุ้นชินกับวิธีการพูดของเขาแล้ว
“ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล……”มู่น่อนน่อนพูดถึงตรงนั้น แล้วก็ผลักประตูเบาๆ เหลือบมองผ่านช่องประตู ก็พบว่าลี่จิ่วเชียนยังคงมีท่าทางเหมือนตอนแรก เธอก็เลยปิดประตูลง
“ไปทำอะไรที่โรงพยาบาล?”
ไม่รู้ว่ามู่น่อนน่อนคิดไปเองรึเปล่า แต่ว่าเธอรู้สึกเหมือนกับว่าเสียงของเฉินถิงเซียวสูงขึ้น เหมือนกับ……กำลังตื่นเต้นอยู่
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย และตอบว่า “เพื่อนฉันเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย อยู่ที่โรงพยาบาล คุณเอาที่อยู่มาสิ เดี๋ยวฉันไปหา”
ผู้ชายที่อยู่ปลายสายนั้นละเลยคำพูดของเธอไปเลย น้ำเสียงดูแข็งกร้าวเล็กน้อย “ที่อยู่คุณ”
มู่น่อนน่อนไม่อยากจะทะเลาะกับเฉินถิงเซียวเรื่องนี้ ก็เลยส่งที่อยู่ให้กับเขา
เธอพึ่งพูดจบ เฉินถิงเซียวก็ตัดสายไปในทันที
จริงๆ เลย……คนแปลกหน้าที่ดูไม่มีท่าทางเป็นสุภาพบุรุษเลย
มู่น่อนน่อนต้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่พักหนึ่ง สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเสื้อไป
ตอนที่กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งนั้น ก็เห็นว่าลี่จิ่วเชียนลืมตาขึ้นมาแล้ว
พลังงานของเขาไม่ค่อยดีนัก เหมือนกับว่าที่พูดคุยกับเธอเมื่อกี้ทำให้เขาหมดแรงแล้ว และตอนนี้ดูเหมือนว่าเริ่มเหลาะแหละ
มู่น่อนน่อนขมวดคิ้วเข้าหากัน “ฉันมีธุระนิดหน่อยเดี๋ยวออกไปข้างนอกก่อนนะ”
ตาที่หรี่อยู่ครึ่งหนึ่งของลี่จิ่วเชียนลืมขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ถามออกมาอย่างยากลำบาก “ใครมาหาเธอเหรอ? ”
มู่น่อนน่อนลังเลอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “คือ……”
ลี่จิ่วเชียนกลับตัดบทของเธอก่อน “รีบไปรีบกลับ ระวังความปลอดภัยด้วย เรื่องครั้งนี้มันไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น น่าจะมีคนจงใจพุ่งเป้ามาที่ฉัน ไม่ก็เธอ”
น้ำเสียงของเขาช้า แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ได้ทำให้คนสบายใจเลย
“เข้าใจแล้ว”มู่น่อนน่อนพยักหน้า
หลังจากนั้นเธอก็เดินไปหยิบโทรศัพท์ลี่จิ่วเชียนขึ้นมา แล้วก็เอาไปวางตรงที่เขาน่าจะหยิบถึง “ถ้าเกิดว่ามีอะไรก็โทรหาฉันนะ”
ลี่จิ่วเชียนยิ้มเล็กน้อย “อืม”
ก่อนหน้านี้มีตำรวจเข้ามาสอบถาม แต่เพราะว่าลี่จิ่วเชียนยังอยู่ในห้องไอซียู ก็เลยไม่ได้พูดอะไรมากมาย
ตอนนี้ลี่จิ่วเชียนออกมาแล้ว ตำรวจก็อาจจะมาใหม่อีกครั้ง
ไม่ว่าจะพุ่งเป้าหมายมาที่เธอ หรือว่าที่ลี่จิ่วเชียน แน่นอนว่าคนคนนั้นต้องได้มีการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า แล้วก็จับจ้องพวกเขามาตั้งแต่แรกแล้ว
……
ก่อนที่มู่น่อนน่อนจะออกไปก็ไปหาคุณหมออีกครั้ง ถึงจะลงไปข้างล่าง
เธอพึ่งจะออกมาจากโรงพยาบาล ก็ได้ยินรถที่จอดอยู่ไม่ไกลส่งเสียงดัง
รถสีดำดูเตี้ยมากและ มีราคาแพง
มู่น่อนน่อนเดินเข้าไปในทันที
เธอกำลังจะเปิดประตูด้านหลังขึ้นไปนั่ง ก็พบว่าคนที่ขับรถก็คือเฉินถิงเซียว
มู่น่อนน่อนดึวมือกลับมาในทันที แล้วก็โค้งตัวพร้อมกับเรียก “คุณเฉิน?”
“ขึ้นรถ”
ในมือของเฉินถิงเซียวกำลังคีบบุหรี่อยู่ เศษขี้เถ้าที่สะสมอยู่บนก้นบุหรี่ เขาสะบัดขี้เถ้าออกไป และคนทั้งหมดก็ดูไม่มีระเบียบเลย
ทั้งไม่มีระเบียบและดูอันตราย เหมือนราชสีห์ในยามหลับใหล
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าการเปรียบเทียบนี้เข้ากันได้ดีมาก เพราะว่าพอได้ยินคำว่า “ขึ้นรถ”ของเฉินถิงเซียวนั้น เธอก็ทำตามคำสั่งของเขาโดยอัตโนมัติ
เธอเปิดประตูรถฝั่งด้านข้างคนขับ เธอไม่กล้าไปนั่งเบาะหลัง แล้วให้เฉินถิงเซียวกลายเป็นคนขับหรอก
ห้องโดยสารเงียบสงัด และยังมีกลิ่นควันบุหรี่หลงเหลืออยู่
มู่น่อนน่อนถามเบาๆ “คุณเฉิน ได้อ่านผลDNAรึยังคะ? ”
“ยัง”เฉินถิงเซียวตอบได้สั้นและกระชับมาก กลัวดอกพิกุลจะร่วง
มู่น่อนน่อนพึ่งหายจากอาการป่วยหนัก บางทีก็รู้สึกไวต่อกลิ่น กลิ่นควันในรถทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย และเธอก็เอื้อมมือไปปิดจมูก
หลังจากนั้น เธอก็ได้ยินเสียงลดกระจกรถลง