ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 129
ตอนที่ 129 การคาดเดาที่อาจหาญ
“นั่นมันท่าทีอะไรกัน! เป็นเพียงแค่ศิษย์ที่เพิ่งเข้า มาใหม่ ศิษย์สืบทอดคนใหม่ของท่านประมุขแล้วมันยัง ไงหรือ? หากนับตามลำดับอาวุโสก็ควรจะเรียกพวกเรา ว่าศิษย์พี่ด้วยซ้ำ!” เซียวฝานไม่สบอารมณ์กับท่าทีเช่น นี้ของโม่จื่อเฟิง
อู่อี้ตบบ่าของเซียวฝานพลางกล่าวว่า “พอเถอะ เจ้าไม่เห็นศิษย์น้องหญิงหรือว่าร้องไห้จนตาบวมไป หมดแล้ว?”
เมื่อเซียวฝานถูกเตือนสติก็ปรีไปยังเบื้องหน้าของ หลินซินเยียน “โธ่ เจ้ามองข้าสิ ศิษย์น้องหญิงเป็น อย่างไรบ้าง ได้พบท่านอาจารย์หรือไม่? แต่เขาเป็นผู้ อาวุโสของศาลาความลับแห่งสวรรค์นี่นะ ถึงแม้จะถูก จองจำแต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรเขาหรอกใช่ ไหม? ข้าว่าแล้ว ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะกำลังทานเนื้อร่ำ สุราสุขสบายอยู่ก็เป็นได้ ที่น่าสงสารคือพวกเราทั้ง สามไม่มีใครทำอาหารให้ทานนี่สิ ค่ำนี้ก็ดูเหมือนว่าท้อง จะร้องแล้วด้วย…”
“ศิษย์พี่!” หลินซินเยียนตะโกนเสียงแข็ง น้ำตาร่วง หล่นลงมาด้วยความผิดหวัง แม้แต่ศิษย์พี่ที่สนิทสนม กับท่านเยว่เก่มากที่สุดยังกล่าวเช่นนี้ ก็อาจจะเป็นไป ได้เมื่อคนอื่นๆรู้ว่าท่านเยว่ที่เป็นคนของสำนักถูกจับกุม ไป ก็ย่อมที่จะคิดเช่นนี้เหมือนกัน
ทุกคนต่างก็รู้ว่าท่านเยว่เพียงแค่ยอมถูกจับกุม แทนลูกศิษย์ เพียงใช้ตนเองมารับรองตัวลูกศิษย์ก็ เท่านั้น แต่ใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเหตุการณ์จริง มันไม่ใช่แบบนี้ !
“ศิษย์น้องหญิง เป็นอะไร ที่ข้ากล่าวนั้นไม่ถูก
หรือ?” เซี่ยวฝ่านเห็นปฏิกิริยาของนาง ใจก็เริ่มตกไป อยู่ที่ตาตุ่ม รีบลดท่าทีกล่าวติดตลกอย่างรวดเร็ว หลินซินเยียนปาดน้ำตา มองไปรอบๆพลางกล่าว
ว่า “พวกเราเข้าข้างในแล้วค่อยว่ากันเถิด”
เซียวฝานและอู๋อี้สบตากัน รีบเข้าเรือนพร้อมกับ หลินซินเยียน
ภายในห้องโถงใหญ่ อู่อนั้นกระวนกระวายอยู่บ้าง “ศิษย์น้องหญิง เจ้าพบกับอาจารย์หรือไม่?”
“อิ้ม” หลิฯซินเยียนพยักหน้า ในสมองฉายภาพ ฉากๆนั้นที่เห็นมากับตาตนเองอีกครั้ง อดไม่ได้ที่ทั่วทั้ง ร่างจะตัวสั่นเทิ้ม “ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ เรียบง่าย อย่างน้อยก็ไม่เหมือนกับที่พวกเราคิดไว้”
ทุกสิ่งที่นางเห็นกับตาในคุกน้ำใต้ดินล้วนบอกแก่ เซียวฝ่านและอู่อี้ ตอนแรกเซียวฝ่านและอู่อี้ก็ไม่เชื่อ เพราะความจริงนี้มันกะทันหันมากเกินไป แต่ต่อมาเมื่อ เห็นท่าทีของหลินซินเยียนที่ร้องไห้อย่างขวัญหนีดีฝ่อ จนตาแดงก่ำ ทั้งสองคนก็เริ่มยอมรับความจริงด้วย ความกังวล
“ไม่ใช่ว่าศิษย์น้องหญิงเป็นผู้ต้องสงสัย แล้ว อาจารย์ก็เพียงใช้อิสระของตนมารับรองศิษย์น้อง หญิงแค่นั้นหรือ?” สีหน้าของอู๋อี้พลันหนักอึ้ง ทิ้งตัวนั่ง ลงบนเก้าอี้ด้วยความเศร้าซึม
หลินซินเยียนส่ายหน้า “ข้าคิดว่า นั่นเป็นภาพ เพียงผิวเผินที่พวกเขาต้องการให้ทุกคนเห็น ทุกคน ต่างก็รู้ว่าท่านเยว่เพียงแค่รับผิดแทนข้า ดังนั้นไม่มีใคร จะนึกได้ว่าท่านเยว่จะถูกกักขังบริเวณจริงๆ ดูเหมือน ว่าเรื่องการลักขโมยของในศาลาความลับแห่งสวรรค์ ยังมีจุดที่น่าสงสัยอยู่มาก…”
“เป็นอย่างที่เจ้าว่า ข้าก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เจ้าคิด ดูสิ พวกเราทั้งสองมาอยู่ที่ศาลาความลับแห่งสวรรค์ สิบกว่าปี เมื่อไหร่กันที่เกิดเรื่องลักขโมยเช่นนี้ขึ้น? แบบภาพร่างและยุทธภัณฑ์ล้วนเป็นดั่งเส้นเลือดหล่อ เลี้ยงชีวิตของศาลาความลับแห่งสวรรค์ ในเมื่อมีค่า เท่ากับชีวิต ผู้รักษาย่อมมิแพร่งพราย สิ่งสำคัญที่พวก เจ้าลืมไปก็คือ ศาลาความลับแห่งสวรรค์เป็นผู้โดดเด่น ด้านการออกแบบในใต้หล้า มีใครบ้างที่บุกเข้ามาศาลา ความลับแห่งสวรรค์แล้วกลับไปได้อย่างปลอดภัย? นี่ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยนะ ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้น คือการล่าถอยกลับไปอย่างปลอดภัยโดยมิได้ทำลาย สำนักด้วยเนี่ยสิ?” เซียวฝานวิเคราะห์ตบเข่าดังฉาด
รูม่านตาอู่อี้หดตัวพลันกัดฟันกรอด “นอกจากเสีย ว่าจะเป็นคนของฝั่งเรา!”
หลินซินเยียนที่กำลังเดินงุ่นง่านไปมาอยู่นั้นถึงกับ หยุดชะงัก “หรือว่า เดิมทีนั้นไม่มีเรื่องลักขโมยตั้งแต่ แรก เพียงแต่เป็นเรื่องที่บางคนปล่อยข่าวอำพรางออก มาก็เท่านั้น”
เนื่องจากการคาดเดาอันอาจหาญของหลินซิน เยียน เชียวฝานและอู่อี้ล้วนตกตะลึงพร้อมๆกัน ทว่า เมื่อคนทั้งสองได้ ใคร่ครวญอย่างละเอียด กลับรู้สึก ว่าการคาดเดานี้สมเหตุสมผลเต็มสิบส่วน หลังจากที่ ทั้งสองสื่อสารทางสายตาก็ยังยากที่จะซ่อนความ ตกใจนี้ไว้ได้
“ท่านประมุข!” หลินซินเยียนคำรามเสียงต่ำออก มาจนเกือบจะกัดกรามแตก
“แต่ว่าเพราะอะไรกันล่ะ? หลายปีมานี้ต่างฝ่ายก็ ไม่มีปัญหาและอยู่กันอย่างสงบสุข เพราะเหตุใดท่าน ประมุขจึงลงมือกับท่านเยว่อย่างกะทันหัน? ตาแก่ นั่นถึงแม้ว่าภายนอกจะเป็นคนประหลาดเจ้าอารมณ์ แต่ก็ไม่เคยล่วงเกินทำร้ายคนอื่นจริงๆ จังๆสักที กับ ศาลาความลับแห่งสวรรค์แล้วตาแก่ยิ่งทุ่มเทแรงกาย แรงใจถวายชีพ ข้าคิดไม่ตกจริงๆว่าท่านประมุขมี เหตุผลใดจึงตอบแทนกับตาแก่เช่นนี้”
เซียวฝานขมวดคิ้วพลางรินชาให้กับตัวเองดื่ม จน ชาเย็นชืดลง เขาก็ยังตัดสินใจไม่เด็ดขาด พลันถอน หายใจดื่มชาลงไปจนหมด
อู่อี้ก็ใช้ความคิดจนคิ้วขมวดเป็นปม ผ่านไปสักพักจึงเงยหน้าขึ้นกล่าว “บางที นีอาจจะไม่ใช่ก อย่างกะทันหัน ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าข้ายังพูดไว้หรือ ผู้ อาวุโสใหญ่ปิดด่านฝึกตน ช่วงเวลาที่ผู้อาวุโสลำดับ สองออกไปท่องเดินทางข้างนอกก็ดูเหมือนจะนานเกิน ไป เมื่อคิดดู อาจจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็ได้นะ?”
“เป็นไปไม่ได้น่า…” เซียวฝานไม่กล้านึกถึงในแง่ นั้น แต่ก็หยุดความอกสั่นขวัญแขวนไว้ไม่ได้ “ไอ้หยา ศิษย์น้องหญิงอย่าเดินไปเดินมาอย่างนั้น ข้าตาลายไป หมดแล้ว”
หลินซินเยียนจึงหยุดเดินเมื่อรู้สึกตัว นางมองสี ท้องฟ้านอกหน้าต่าง ท้องฟ้าครึ้มลงอีกสักพักก็คงจะ พลบค่ำแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆนางนึกถึงตอนที่อยู่ ตลาดคราวนั้น นางซื้อกล่องใบหนึ่งจากพ่อค้าหาบเร่ และกล่องใบนั้นเมื่อเปิดออกมากลับคาดไม่ถึงว่าจะ เป็นแบบภาพร่างอาวุธหน้าไม้ยิงต่อเนื่อง
หลังจากนั้นเหมือนโม่จื่อเฟิงเคยกล่าวไว้ว่า กล่อง ใบนั้นมาจากศาลาความลับแห่งสวรรค์ เมื่อมาคิดดูแล้ว ชายชราแปลกประหลาดที่มาปรากฏตัวในตอนแรกนั้น ย่อมเป็นคนของศาลาความลับแห่งสวรรค์แน่นอน เพียงแต่คนผู้นั้นใช่ผู้อาวุโสที่สองที่ออกมาท่องเดิน ทางหรือไม่? ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เหตุใดผู้อาวุโสที่สอง จึงอยู่ด้วยกันกับคนของเว่ยจวิ้น?
รู้สึกว่าเรื่องนี้ดูเหมือนยิ่งมายิ่งซับซ้อน
หลินซินเยียนนวดขมับที่เริ่มมีอาการปวด จึงได้หาเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งเช่นกัน
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราทำอย่างไรกันดี ไม่สามารถ ไปเยี่ยมตาแก่ ว่าถูกคนทรมานจนตายในคุกน้ำใต้ดิน แล้วหรือยัง?” เซียวฝานคำรามเสียงต่ำด้วยความโกรธ “พวกเราทำงานหนักเป็นวัวเป็นม้ามาหลายปีเพื่อศาลา ความลับแห่งสวรรค์โดยมิเสียดาย ไม่เคยคาดคิดว่าจะ ต้องมาเจอกับจุดจบเช่นนี้! มันไม่สมควรกับตาแก่เลย! รอให้เรื่องนี้จบลง พวกเราจะออกจากศาลาความลับ แห่งสวรรค์โดยเร็วที่สุด!”
“ตอนนี้กล่าวไปจะมีประโยชน์อะไร ช่วยตาแก่ ออกมาก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันเถิด” อู่อี้ถอนหายใจ ยาว
“อิ้ม” หลินซินเยียนลุกขึ้นกล่าว “ค่ำแล้ว ข้าไปทำ
อาหารก่อนนะ”
“เวลานี้เจ้ายังมีกะจิตกะใจทำอาหารอยู่อีกหรือ?” เซียวฝานเริ่มมีโทสะ “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าตาแก่จะถูก คนเหล่านั้นหาเรื่องโยนเข้าคุกหรือไง?”
หลินซินเยียนก้มหน้า ไม่ด่าตอบโต้กลับเพียง เพราะโทสะของเขา เพียงแต่กล่าวด้วยโทนเสียงต่ำ “ศิษย์พี่ ยิ่งในเวลานี้ เรายิ่งไม่ควรปล่อยให้พวกเขาตื่น ตัว พวกเราใช้ชีวิตมาอย่างไรก็ใช้ชีวิตไปอย่างนั้น ถ้า หากมีคนมาสอดแนมรอบๆจริง แล้วพวกเราทำตัวผิด ปกติจะกลับกลายเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเสีย เปล่าๆ”
ถูกนางพูดจี้จุดเช่นนี้ แววตาของเซียวฝานพลน อ่อนลงในทันที เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่า หลินซินเยียนได้เดินออกนอกประตูไปแล้ว
เพียงแต่ในค่ำนั้นหลายคนกลับไม่มีความอยาก อาหาร อาหารบนโต๊ะที่หลินซินเยียนทำแทบจะไม่ พร่องลงไป แต่หลนซินเยียนก็ยังฝืนกลืนข้าวลงไป หลายคำ