ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 166
ตอนที่ 166 ลงทัณฑ์
หมิงฉีถูกอารักขาถอยร่นออกไปที่ไกลๆ ไม่กี่ยามต่อมาก็ หลับสายตาของหลินซินเยียนแล้ว
เขาสามารถหรือแม้จะหลบหนี หลินซินเยียนมิอาจคิด อย่างไร้เดียงสาว่าขึ้นอยู่กับความสามารถในการสังหาร ของพวกเขาไม่กี่คน ควรจะเป็นเพราะอู่เซวียนอ๋องจงใจ ปล่อยพวกเขาไป ส่วนสาเหตุนั้น หลินซินเยียนมิได้คาด เดา แม้เดาก็เดาไม่ถูก
ทั้งที่เป็นศัตรูแท้ๆ แต่กลับปล่อยให้หมิงฉีหนีไปได้
“คนก็เดินออกไปไกลแล้ว ยังจะมองอีกรี” น้ำเสียงเย็น เยียบของโม่จื่อเฟิงดังลอยมาจากข้างกายของนาง วินาที ต่อมา นางถูกเขาดึงเข้าสู่อ้อมอกแกร่งเสียแล้ว
เขายกมือออกคำสั่ง ประตูรถม้าก็ถูกปิดสนิทเรียบร้อย ประตูรถคงไว้เพียงสายตาอยากรู้อยากเห็นของพลทหาร กว่าร้อยนาย ส่วนเฉินซานที่ยังคงไม่ได้สติในรถม้านั้น ได้ ถูกมองข้ามการมีตัวตนไปเป็นที่เรียบร้อย
หลินซินเยียนเงยหน้าขึ้น สบกับสายตาสุขุมลุ่มลึกของ โม่จื่อเฟิง นางค่อนข้างเป็นกังวล หัวใจพลันเต้นเร็ว แต่กลับ มิได้เอ่ยอันใด นางรู้ การอธิบายในยามนี้ล้วนไร้ผล ยิ่งเอ่ย มาก รังแต่จะทำให้ไฟพิโรธของเขายิ่งลุกกระพือ
“ดูท่าทางเจ้ากับผู้องค์รักษ์อาณาจักรเป่ยหมิงนั้นความ สัมพันธ์ไม่เลวเลย ข้าดูถูกเสน่ห์ของเจ้าไปเสียแล้ว แต่ก็น่าแปลก ผู้หญิงในหอนางโลม
วินาทีต่อมา มือของเขาจับหมับเข้าที่ลำคอของนาง มือ ร้อนของเขาไล้เลียบริเวณลำคอระหงที่เย็นเผือกของนาง แรงของเขากลับมิได้หนัก ราวกับว่ากำลังสัมผัสลูบไล้ อย่างแผ่วเบา “เจ้าว่ามา ข้าควรจะทำเช่นไรกับเจ้าดี”
“สังหารเจ้ารี” โม่จื่อเฟิงส่านหน้า “ข้าก็ยังทำใจมิได้ ปล่อยเจ้าไป …ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่”
เขาพร่ำกับตนเอง ราวกับมิให้โอกาสหลินซินเยียนได้เอ่ย ปากพูด หลินซินเยียนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ใบหน้า แดงก่ำเพราะใกล้ขาดอากาศหายใจ คงเพราะลำเค็ญเกิน ไป ดวงเนตรของนางผุดน้ำตาขึ้นมา หยาดน้ำตาที่ใสวาว กลิ้งกลบตรงขอบตานาง เมื่อยามที่ชุ่มบังแพขนตายาว น้ำตาก็กลิ้งไหลลงมา
“ช่างเป็นสาวงามจริงๆ” โม่จื่อเฟิงกำลังหัวเราะ ทว่าการ หัวเราะนั่นตกอยู่ในสายตาของหลินซินเยียนกลับเปลี่ยน เป็นคำสาปมรณะ นางรู้ครั้งนี้ เขามิอาจปล่อยตนไปอย่าง ง่ายดายแน่
จากนั้น นางได้ยินเพียงเสียงเสียดกระทบ นั่นก็คือเสียง ของข้อกระดูกหักลั่นนั่นเอง
ชั่วขณะนั้น ทุกอณูขนในกายนางพลันลุกตั้ง นางคิดว่า คอหอยของตนเองจะถูกหักขาดเป็นท่อนไปเสียแล้ว เสียง นั่นชัดเจนเพียงนั้น หลังจากความพิศวงครู่เดียว นางค้นพบ ว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่
ความรู้สึกที่เหมือนหลุดพ้นจากความตายแล้วได้มาเกิด ใหม่ทำให้นางร่ำไห้ไร้สำเนียง ทว่าคร่ำครวญอยู่ครู่เดียว ก็ ราวกับคิดอะไรได้ขึ้นมา นางก้มหน้าลงมอง ก็เห็นเท้าของ โม่จื่อเฟิงเหยียบอยู่บนขาของเฉินซาน
เสียงกระดูกแตกหักนั้นดังมาจากร่างของเฉินซาน โม่ จื่อเฟิงเหยียบขาของเฉินซานให้หลุดได้โดยออกแรงเสียง น้อยนิด ยิ่งกว่านั้นคือเฉินซานยังคงนอนแน่นิ่งไร้สติ เพียง แต่ลมหายใจนั้นแสนรวยรินแล้ว
“ข้าบอกแล้ว สังหารเจ้า ทำใจมิได้หรอก” น้ำเสียงของโม่ จื่อเฟิงทุ่มต่ำ กลับยังมิได้คลายลำคอของนาง “ดูเหมือนว่า เจ้ายังมีไมตรีจิตกับชายที่ยังไร้สติผู้นี้ไม่น้อย ข้าได้ยินมา ว่าคืนวานชาวบ้านจินหู่ปางได้พบเห็นกับสาวงามล่มเมือง นางหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่คนยังมิได้ถึงมือก็ได้รับอันตราย ไปเสียก่อน ทำไม คนที่นอนราบอยู่นี่ ก็คือคนที่ช่วยชีวิต เจ้าออกจากปากเสืองั้นรึ”
แต่ว่าดูจากแววตาแห่งความใส่ใจของนาง ก็สามารถเดา ออกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง ผู้ชายเช่นนี้ทำให้คนไม่รู้ สึกหวาดเกรงได้อย่างไรกัน
“ไม่ ไม่ได้ ข้าขอร้องท่านล่ะ ไม่ได้…” ราวกับเดาออกว่า เขาจะทำการใด หลินซินเยียนสะอื้นคร่ำครวญร้องขอชีวิต เฉินซานกลายเป็นคนทุพพลภาพก็เพราะนาง นางจะทน เห็นเขาถูกโม่จื่อเฟิงทรมานต่อหน้าต่อตาได้เช่นไร
โม่จื่อเฟิงได้ยินเสียงวิงวอนนางเพลิงโทสะยิ่งคุกรุ่นลุก โชนกว่าเดิม “เพื่อคนที่เพิ่งรู้จักไม่กี่วัน เจ้าถึงกับเอ่ยปากร้องขอข้ารี!”
หลินซินเยียนส่ายหน้าไม่หยุด “เขาช่วยชีวิตข้า ข้าเป็น หนี้เขา ท่านจะทำกับข้าอย่างไร ข้ารับได้หมด ขอเพียงแต่ ขอร้องท่านปล่อยเขาไป ได้หรือไม่ ข้ารับรองว่าต่อไปจะ ไม่หนี จะไม่หนีแล้ว…
“เพิ่งจะพูดว่าไม่หนีเอาตอนนี้ มิสายไปหน่อยรี ข้าไล่ตาม เจ้าเป็นระยะทางกว่าหมื่นลี้ ข้าก็นึกไม่ถึง เพียงเพื่อหญิง ด้อยค่าคนเดียวเช่นเจ้า ข้ากลับต้องรวบรวมแรงทั้งหมดที่ มี” โม่จื่อเฟิงถอนหายใจยาว “ฉะนั้น เจ้าควรจะตระหนัก ว่านาทีนี้ข้าเดือดดาลยิ่งนัก!”
นางรู้นางต้องรู้แน่อยู่แล้ว ก็เพราะว่ารู้ ดังนั้นนางจึง ปักใจเชื่อว่าเขาจะสังหารเฉินซานแน่!
อึด!
ขาอีกข้างของเฉินซานถูกโม่จื่อเฟิงเหยียบหัก เสียง กระดูกหักไม่ดังเท่าใดนัก ทว่าสำหรับหลินซินเยียนแล้ว ราวกับเสียงฟ้าฟาด ชั่วขณะนั้น สมองของนางว่างเปล่า ขาวโพลน
“ข้าเคยบอกแล้ว หากเจ้าหนี้ ก็ต้องจ่ายค่าทดแทน” เสียงโม่จื่อเฟิงกดต่ำ ยามที่เอ่ยพูด เท้าข้างหนึ่งได้วางอยู่ บนศีรษะของเฉินซาน ขอเพียงแค่เขาออกแรงอีกนิด ก็ สามารถเหยียบกระโหลกสมองของเฉินซานแตกได้
หลินซินเยียนโอดครวญเสียงดังอย่างควบคุมมิได้ นางรั้ง แขนของโม่จื่อเฟิง จากนั้นก็คุกเข่าลงต่อหน้าเขา โขลกศีรษะให้โม่จื่อเฟิงหลายต่อหลายครั้ง “ขอร้องท่านล่ะ ปล่อยเขาไปเถอะ ขอร้อง ท่านจะให้ข้าทำอันใดข้าก็จะทำ ข้าจะไม่หนีแล้วจริงๆ”
นางคิดเอาเองว่าเมืองเฟิ่งชีล้วนไม่หลงเหลือคนให้เป็น กังวลแล้ว ทว่า ที่นี่ กลับยังมีคนที่ได้รับบาดเจ็บเพราะนาง อยู่
“ข้าไม่รู้จะว่าเจ้ามีเมตตาหรือว่าโง่งมดี เพราะคนที่ไม่ เกี่ยวข้องอันใดคนนี้ เจ้าคุกเข่าขอร้องข้า แต่ว่าจะทำเช่น ไร ตอนนี้ข้ายิ่งโมโหกว่าเดิมแล้ว” โม่จื่อเฟิงเอื้อมมือไปเชย คางนางขึ้นมา เหลือบตาต่ำมองไปยังนาง “ข้าชอบเจ้า แต่ เจ้ากับเป็นห่วงคนอื่น ข้า…ไม่สบายใจ!”
คำว่าชอบที่ออกมาจากปากของเขา หลินซินเยียนก็รู้สึก ขำขัน ทว่าตอนนี้นางขำไม่ออกยามนี้ในใจของนางคิด เพียงว่าจะทำเช่นไรจึงจะสามารถช่วยเฉินซานออกไปได้
ในยามอัสดง เพราะความเจ็บปวดจากการที่ขาทั้งสอง ข้างหักร้าวของเฉินซาน เปลือกตาของเขากระพริบเล็ก น้อย เหมือนกับมีท่าทีจะพื้นขึ้นมา
โม่จื่อเฟิงกลับขมวดคิ้วมุ่น ยกเท้าขึ้นมาเบาๆ เหมือนกับ ว่าครู่ต่อมาเท้าของเข้าจะเหยียบบนหัวของเฉินซาน
ชั่วขณะนั้น หลินซินเยียนกอดลำขาแกร่งของโม่จื่อเฟิง เอาไว้อย่างมิทันได้คิด จากนั้นก็ย้ายขาของเขาออกไป จากบริเวณศีรษะของเฉินซาน
ขณะที่โม่จื่อเฟิงกำลังจะบันดาลโทสะ กลับเห็นมือน้อยๆของหลินซินเยียนไล้วนจากโคนขาขึ้นมายังบริเวณต้นขา
มือของนางค่อนข้างเย็นเยียบ ส่วนที่อยู่บนกางเกงของ เขายังคงรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่ยะเยือกเย็น ทว่าประสาท สัมผัสที่เย็นเยือกเช่นนี้กลับมหัศจรรย์เสียจนทำให้ความ รู้สึกของมนุษย์นั้นชัดเจนอย่างเห็นได้ชัด
นางเห็นว่าเขามิได้ขยับ จึงรีบเคลื่อนไหวมืออย่างอ่อน ช้อยจากนั้นก็ได้ขึ้นข้างบนต่อ
“เวลาเยี่ยงนี้จะมาเอาใจข้า…” มุมปากของโม่จี่อเฟิงกระ ตุกขึ้นมาเล็กน้อย แต่มิได้ห้ามปรามการกระทำของนาง
นางคุกเข่าลงตรงบริเวณกายด้านหน้าของเขา ดึง กางเกงของเขาลงอย่างแผ่วเบา จากนั้นเรียวปากเรื่อแดงก็ ไล่โลมขึ้นไป
ภายในรถม้า เฉินซานที่ยังมิได้สติมองไม่เห็นอะไร ทว่า บรรยากาศที่เร่าร้อนของห้องยังคงเพิ่มพูนความ ป่วนปั่น….และเข้มข้น