ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 167
ตอนที่ 167 เทพธิดาน้อยกลางทาง
ภายในรถม้าที่โคลงเคลง หลินซินเยียนผล็อยหลับไป ใน ห้วงภวังค์ นางดูราวกับว่าจะฝันไป ในความฝัน นางวิ่งอย่าง ไม่คิดชีวิต ทว่าคนที่อยู่ข้างหลังยังคงไล่ตามมาติดๆ คน เหล่านั้นถือมีดเอาไว้ในมือ ดูเหมือนว่าจะเห็นพลทหาร ขณะเดียวกันก็ชูดาบขึ้น ราวกับว่าเป็นกำลังพลของอู่เซวีย นอ๋อง
นางหลับอย่างไม่สนิท เมื่อยามที่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ก็ เป็นช่วงหัวค่ำเรียบร้อยแล้ว
ภายในรถม้ามืดสนิท ไม่มีแม้แต่แสงรำไร นาง ขยับเขยื้อนกลับรู้สึกร่างกายอ่อนเปลี่ยเพลียแรง ก็จริง ทุก ครั้งยามที่โม่จื่อเฟิงทำกิจกรรมรัก แต่ไหนแต่ไรมาก็มิเคย ให้นางออกมาอย่างสงบ
นางกัดกรามแน่นตะเกียกตะกายมาถึงข้างหน้าต่างรถม้า เลิกม่านมองหนึ่งแวบ ก็เห็นทหารม้าที่อยู่รอบๆ รถม้า พล ม้าที่อยู่ใกล้รถม้าสังเกตเห็นนางตื่นขึ้นมาแล้ว ทำเพียง เหลียวมองนางด้วยสายตาเย็นชาหนึ่งครู่ กลับมิได้เสวนา ใดๆ กับนางแม้สักนิด
“พี่ใหญ่ ให้น้ำดื่มสักหน่อยได้หรือไม่” หลินซินเยียนรู้สึก ลำคอแห้งผากยากเย็น จึงเอ่ยปากพูด
ทหารม้าผู้นั้นก้มหยิบกาน้ำที่ห้อยอยู่บนอานม้าส่งให้นาง แต่ว่าไม่ยอมรอให้นางคืนกาน้ำ ก็ตบท้องม้ารุดไปข้างหน้า เสียแล้ว
หลินซินเยียนเอาม่านรถแขวนไว้ข้างหนึ่ง เพื่อให้แสง สว่างจากนอกหน้าต่างสาดส่องเข้ามาในรถม้าได้ ยามนี้ นางถึงมองได้ชัดว่านี่คือรถม้าขนาดเล็ก ซึ่งมีพื้นที่บรรทุก ได้เพียงคนเดียว นางสำรวจอาภรณ์ที่ตนเองสวมใส่ มิใช่ ชุดที่นางสวมเมื่อตอนเช้าแล้ว หนากแต่เป็นชุดยาวตัวใหญ่ โคร่ง เนื้อผ้าชั้นดี หลินซินเยียนรู้สึกว่าคุณภาพเช่นนี้ นอนที่ทำจากไหมถักทอแพงลิ่ว นี่ก็คงมีแต่โม่จื่อเฟิง เท่านั้นถึงได้พิถีพิถันเพียงนี้ ชุด
นี่คือชุดบรรทมของเขา หลินซินเยียนสูดลมหายใจเข้า ลึก ในสมองกลับปรากฏฉากที่นางเคล้าเคลียโม่จื่อเฟิง ภายในรถม้า เรื่องที่เคราะห์ดี เมื่อผู้ชายระเบิดเพลิงโทสะ วิธีเช่นนี้ยังคงใช้ดับอารมณ์พิโรธของผู้ชายได้ผล
นางเผลอรอยยิ้มเย็นออกมา นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้ว ตนเองก็หนีไม่พ้นจากการเป็นเครื่องมือระบายการมณ์ เท่านั้น
ยามราตรี รถม้าจอดพักในเมือง เมืองนี้มิใช่เมืองเดียวกับ ที่หลินซินเยียนเคยหลบหนีออกมา นางเดาว่าโม่จื่อเฟิงจะ ต้องเลือกอีกเส้นทางหนึ่งเป็นแน่ ครั้งแรกที่หนีออกมาห มิงฉีเลือกเส้นที่มิได้เร็วที่สุดเพื่อหลบจากหูตาผู้คน แต่ เลือกเส้นทางที่ปลอดภัยต่อตนเองที่สุด
ปัจจุบัน น่าจะเป็นช่องทางเดินทาง ช่องทางนี้กลับเมือง เพิ่งชีจะต้องเร็วกว่าขามามากโขแน่
เป็นท่านอ่องที่มีทรงอำนาจมากที่สุดในราชวงศ์ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่กองรักษาการณ์ได้ทำความสะอาดกองรักษาการณ์ใหม่เอี่ยมตั้งแต่เนิ่น แม้อิฐบริเวณปากทางเข้าประตู ก็ถูกคนเช็ดถูคราบตะไคร่อย่างประณีต
“พี่ใหญ่ ท่านสามารถนำเอาชุดที่เหมาะกับข้ามาให้ข้าสัก ชุดได้หรือไม่” หลินซินเยียนเริกม่านรถขึ้นแล้วเอ่ยกับคนที่ อยู่นอกรถม้า นางมิอาจสวมชุดบรรทมของโม่จื่อเฟิงเดิน ออกไปข้างนอกได้ ตัวนางเองมิได้ใส่ใจอันใด ในกระดูก กระเดี้ยวนั้นเป็นหญิงสาวสมัย สำหรับเรื่องที่จะสวมชุด นอนปกปิดร่างกายนั้นมิใช่เรื่องใหญ่ แต่ว่า ที่นี่ไม่ใช่ยุค สมัยใหม่ สถานที่นี้แม้แต่หญิงสาวใฝ่โลกีย์ในหอนางโลม ยังมิอาจสวมเพียงชุดนอนปรากฏกายต่อหน้าสาธารณชน ได้ เพราะเช่นนั้นจะทำให้คนรู้สึกว่าไร้ยางอายเอาได้
คนผู้นั้นฟังแล้วแต่มิได้พูดอันใดกับนาง ทำเพียงหมุน กายเข้าเรือนพักแขก ต่อมาไม่นานก็นำเอาเครื่องนุ่งห่ม สตรีออกมาหนึ่งชุด
หลินซินเยียนรับเอาผ้าผ่อน หลังจากที่ผลัดเปลี่ยนในรถ ม้าเสร็จสิ้นก็เริกม่านรถออก ขบวนคนเหล่านี้ล้วนเป็นชาย ฉกรรจ์ ดังนั้นจึงมิได้มีคนประคับประคองนางลงจากรถม้า หลินซินเยียนก็มิใช่คนปวกเปียก นางกระโดดพรึ่บเดียวก็ สามารถลงจากรถม้าได้แล้ว
เพียงแต่ว่าชั่วขณะที่ตกถึงพื้น ฉับพลันนางก็นึกถึง ปัญหาข้อหนึ่งขึ้นได้ ในเมื่อขบวนนี้ปราศจากสตรี เช่นนั้น แล้วชุดบรรทมก่อนหน้านี้ผู้ใดเป็นคนผลัดเปลี่ยนให้นาง กันเล่า นางจินตนการฉากที่โม่จื่อเฟิงเปลี่ยนอาภรณ์ให้แก่ ตนเองมิออกจริงๆ
เรือนพักแขกไม่กว้าง ขบวนทัพกลับมีจำนวนคนมาก ถึง แม้จะมิใช่จำนวนร้อยกว่าเฉกเช่นเมื่อเช้าตรู่แล้ว แต่ทว่า กำลังคนที่หลงเหลืออยู่ยังนับว่ามีน้อยเลย เจ้าหน้าที่กอง รักษาการณ์แห่งหัวเมืองนี้ได้นำคนออกไปมากแล้ว ฉะนั้น ขบวนคนไม่น้อยล้วนเช่าบ้านเรือนของประชาชนในหัว เมืองกันแล้ว เหลือคนไม่กี่สิบเฝ้าอยู่ ณ เรือนรับแขกแห่งนี้
แต่ว่า สิบกว่าคน …สำหรับกองรักษาการณ์ที่มีห้องหับ เพียงเจ็ดแปดห้องแล้ว นับว่ายังแออัดอยู่โข
หลินซินเยียนเข้ามาในเรือนพัก กำลังคิดว่าอยากจะลาก ใครสักคนมาถามว่าเฉินซานอยู่ที่ใด ปัจจุบันอาการของ เขาเป็นเช่นไรบ้าง ทว่านางไล่ถามนายทหารเหล่านี้ราย บุคคลแล้ว กลับปราศจากนายทหารนายใดที่จะสามารถ ตอบคำถามนางได้ นางรู้ ทหารเหล่านี้ได้รับคำสั่งเด็ดขาด ว่ามิให้พูดคุยกับนาง
นางถอนหายใจหนึ่งเฮือก และมิได้ไปรังควานอีก เพียง แต่ว่านางค้นหามิพบร่องรอยของเฉินซานสักรอบ กลางใจ ยิ่งรู้สึกกระเสือกกระสนขึ้นมา
ต่อมาครู่หนึ่ง ผู้ดูแลกองรักษาการณ์ก็หลุดเข้ามา “แม่นาง ท่านอ๋องให้ท่านเข้าเฝ้าในห้องขอรับ”
หลินซินเยียนพยักศีรษะ เดินตามผู้ดูแลมาถึงห้องแยก ชั้นสองของกองรักษาการณ์ ผู้ดูแลนำนางมายังหน้าประตู แล้วย่อกายถอยออกไป
หลินซินเยียนมิได้เคาะประตู เดินตรงไปยังประตูแล้ว เข้าไปทันใด
หลังฉากกั้น มีไอน้ำพุ่งพวย ไอหมอกที่คละเคล้าฉากกั้น ทำให้ทั้งห้องอบอวลไปด้วยบรรยากาศคับแน่นแสนร้อน
หลินซินเยียนเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูสนิท มาถึงหลัง ฉากกั้นแล้วเห็นโม่จื่อเฟิงกำลังพิงถังสรงน้ำพลางหลับตา นิ่ง เมื่อนางขยับเท้า ก็ได้ยินโม่จื่อเฟิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “มา
อาบน้ำให้ข้า”
เข้าใจแล้ว! ให้นางมาเป็นทาสรับใช้นี่เอง
หลินซินเยียนเดินมายังข้างๆ ถังสรงน้ำ หยิบผ้านหนูขึ้น มาจากถัง หลังจากจุ่มผ้าชุ่มน้ำแล้วก็นำมาละเมียดเช็ด บริเวณแผ่นหลังของเขา ผิวของเขานั้นนุ่มลื่น ราวกับว่า มิใช่ผิวพรรณของบุรุษ นางเช็ดถูอย่างตั้งใจ ตั้งใจเสียจน ไม่หละหลวม ปราศจากความหงุดหงิดใจ
ภายในห้อง มีเพียงเสียงของธารน้ำไหล
ครูใหญ่ต่อมา น้ำได้เย็นชืดบ้างแล้ว โม่จื่อเฟิงค่อยๆ ปรือ ตาขึ้นมา เขาหันมอง คว้ามือจับหมับเข้าที่คางเรียวของ หลินซินเยียน ก่อนจะขบกัดเข้าอย่างมิได้บอกกล่าว หลินซิ นเยียนรู้สึกแสบร้าว ทว่ามิได้ขยับเขยื้อน
กระทั่งในปากมีโลหิตเจือจางไหลออกมา เขาจึงค่อย ผละปล่อยริมฝีปาก ลิ้นร้อนของเขาโลมเลียบริเวณปาก แผลตรงคางเล็กให้นาง แล้วหัวเราะอย่างชั่วร้าย “ข้าเคย บอกแล้ว มอบสถานะสนมให้แก่เจ้า ดูท่า เจ้าจะมิพึงใจกับ ตำแหน่งสนมเป็นอย่างมาก ลองพูดมาสิ ให้เหตุผลแก่ข้า สักข้อ อ้อ ใช่แล้ว หลังจากที่เจ้าหนีไปข้าให้คนไปตาม หมอเฉินเพื่อสอบถามข้อมูล ดูเหมือนว่าหมอเฉินจะเคยพูดขึ้นว่าเจ้าต้องการชีวิตคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวรี”
หลินซินเยียนเบิกตากว้าง นึกไม่ถึงว่าความคิดของนาง จะถึงหูโม่จื่อเฟิงโดยผ่านหมอเฉิน นางคิดถึงเมื่อนางเคย เอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าสาวใช้ คิดว่าต้องเป็นเพราะสาวใช้คนนั้น ไม่ทันระวังพูดพล่อยให้หมอเฉินฟังสินะ
“หากข้าบอกว่าใช่ล่ะ” หลินซินเยียนเอื้อนเอ่ยเรียวปาก แดงเรื่อ เสียงเจือจาง พ่นลมหายใจใส่กลางฝ่ามือหนาของ เขา ให้ความรู้สึกคันยิบเล็กน้อย
นางยอมรับเช่นนี้แล้ว ทำให้โม่จื่อเฟิงเคร่งขรึมขึ้น มือ ของเขาไล้ขึ้นลงตรงคางของนาง ราวกับต้องการมองสิ่งใด ออกจากเค้าหน้างาม ทว่านอกจากนัยน์ตาแน่วแน่และหนัก แน่นของนางแล้ว เขาก็มิได้เห็นสิ่งอื่นใดอีก
ดังนั้น เขาเข้าใจแล้ว ที่นางพูดเป็นเรื่องจริง
“เจ้ารู้หรือไม่ ความคิดของเจ้าช่างน่าขันนัก มิเพียงองค์ ชายในตระกูลสูงศักดิ์ แม้แต่ชายชาตรีทั่วไป หรือคนที่ ค่อนข้างต่ำศักดิ์ล้วนแต่มิอาจใช้ชีวิตคู่กับหญิงหนึ่งนางไป ตลอดชีวิต ความเพ้อพกของเจ้าข้อนี้ เดิมทีก็แสนน่าอดสู” โม่จื่อเฟิงปล่อยมือนาง ก่อนจะดึงนางลงในถังน้ำด้วยมือ เดียว
น้ำค่อนข้างเย็นเยียบ หลังจากที่เปียกชุ่มอาภรณ์นาง แล้ว ยังทำให้นางหนาวจนสั่นสะท้าน
นางเงยหน้าขึ้นสบมองกับแววตาลุ่มลึกของโม่จื่อเฟิง “ข้า รู้ว่ามันเพ้อพก ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาข้ามิเคยคิดจะแต่งงานที่นี่ ฉันนั้นท่านอ่อง ท่านแต่งตั้งข้าให้เป็นสนม ความจริงแล้วข้ารังเกียจนัก สนม นางบำเรอ หรือแม้จะเป็น ผู้หญิงในหอนางโลม สำหรับข้าแล้ว ล้วนเป็นเพียงของเล่น ของท่านเท่านั้น มิได้แตกต่างกันเลย”
คำพูดของนางเจือแววกระแทกกระทั้น โม่จื่อเฟิงกอดรัด นางเอาไว้ ลืมพูดไปครู่หนึ่ง
“ประสาท!” ในที่สุด โม่จื่อเฟิงก็กล่าวอย่างเจือน้ำโหออก มาสองคำก่อนจะยันกายลุกขึ้นจากถังสรงน้ำ
เขารับเอาชุดบรรทมที่พาดไว้กับฉากกั้นแล้วสวมคลุม เรือนร่างก่อนจะพรวดพราดผ่านฉากกั้นไป
หลินซินเยียนแช่อยู่ในถังสรงน้ำ หนาวจนสั่นระริก กว่า จะปีนป่ายขึ้นมาอย่างทุลักทุเล นางโซเซไปยังหลังฉากกั้น พบว่าโม่จื่อเฟิงได้ประทับกายตรงแท่นนอนเป็นที่เรียบร้อย แล้ว เห็นว่านางออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็ก น้อย
“ยังมีอากรแก่ข้าหรือไม่” หลินซินเยียนถาม
โม่จื่อเฟิงเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าพูดเองว่าเจ้าเป็นเพียงของ เล่นชิ้นหนึ่ง อยู่ข้างในห้อง เจ้ายังจะต้องการสวมเสื้อผ้าอัน ใดอีกเล่า ถอดเสื้อผ้า แล้วขึ้นมาเถิด”
หลินซินเยียนก็รู้สึกขวยอาย แต่ว่าก็ทำตามที่เขาเอ่ย แม้นว่าถูกเขาอบรมมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ฉะนั้นตอน
นี้มิต้านทานของนางนั้นสนจะทนทาน ทั้งสองนอนอยู่บนเตียง โม่จื่อเฟิงรั้งนางเข้ามาอยู่ในซอกแขนแกร่ง และกอดรัดนางอย่างนิ่งๆ
บรรยากาศเงียบสงบอ่อนโยนเช่นนี้ เป็นฉากที่หลินซิน เยียนเคยวาดฝันเอาไว้ นางที่เคยไร้เดียงสาเคยใฝ่ ปรารถนา หลังจากที่เติบโตแล้วจะได้หลับอยู่ภายใต้ อ้อมอกของชายที่ตนเองรัก
แต่ว่า ที่ความใฝ่ฝันถูกเรียกว่าความใฝ่ฝัน ก็เพราะว่ามัน ไม่มันเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายในความเป็นจริงนั่นเอง
“ท่านอ๋อง เฉินซานเขา…คำพูดของนางยังเอ่ยมิทันจบ โม่จื่อเฟิงก็พลิกให้ร่างนางอยู่ใต้อาณัติของตน เขาขบกัด ริมฝีปากปาก มิให้โอกาสนางได้เอ่ยพูดแม้สักน้อย
เนื่องจากการเสด็จมาของกษัติรย์อู่เซวียนอ่อง ค่ำคืนนี้ ของกองรักษาการณ์นั้นเห็นได้ชัดว่ามิได้เงียบเชียบ มีนาย ทหารออกลาดตระเวนมิหยุดหย่อน แม้กระทั่งผู้ดูแลเรือน พักแขกก็ล้วนมิกล้าให้ตนนอนหลับไปอย่างง่ายดาย เกรง ว่ากลางดึกหากท่านอ่องมีรับสั่งสิ่งใดแล้วเขามิได้รับใช้ได้ ทันท่วงที
เพียงแต่ ค่ำคืนนี้ ผู้ดูแลชะเง้อรออย่างศูนย์เปล่า
จนกระทั่งเช้าของวันรุ่งขึ้น ยามที่โม่จี่อเฟิงรอให้คนมา จัดเก็บสัมภาระเตรียมออกเดินทางอีกครั้ง ผู้ดูแลกอง รักษาการณ์จึงค่อยเดินกลับห้องไปนอนพลางหาววอด
เนื่องจากนายทหารทุกนายได้รับคำสั่งว่าห้ามพูดคุยกับ หลินซินเยียน นึกอยากจากสืบถามข้อมูลอันใดจากปาก พวกเขาก็ล้วนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นหลินซินเยียนจึงปืนขึ้นรถม้าของโม่จื่อเฟิงอย่างหน้าด้านๆ
สำหรับการบุกรุกของนางแล้ว แต่ไหนแต่ไหรมาโม่จอเฟิ งมิเคยปฏิเสธสักครั้ง ดังนั้นยามที่นางปืนขึ้นมบนรถม้า เขา ทำเพียงเริกคิ้วขึ้นพลางกล่าว “ท่านั้นน่าเกลียดเกินไปแล้ว”
เร่งเดินทางนั้นแสนน่าเบื่อหน่าย ทว่าเห็นได้ชัดชีวิตของ โม่จื่อเฟิงนั้นกลับมิได้จืดชืด ท่ามกลางกองเอกสารเป็นปึก ใหญ่หลายกองทำให้เขายุ่งงานทั้งวัน
ทั้งที่ยุ่งเป็นพัลวันแท้ๆ กลับอุตส่าห์ไล่ตามมาเป็นหมื่นๆ ลี้ มิรู้จะให้คิดว่าเจ้าอู่เซวียนอ่องผู้นี้ให้ความสำคัญแก่ตัว ก่อความวุ่นวายอย่างนางขนาดไหน!
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”
ยามที่รถม้าเคลื่อนผ่านหุบเขา ก็ได้ยินเสียงคนร้องตก อกตกใจดังลอยมาจากที่ไกลๆ ซ้ำเสียงที่ได้ยินยังเป็น เสียงของผู้หญิง
มุมปากของหลินซินเยียนกระตุก นี่คือพงไพรป่าลึก ผู้ หญิงนางหนึ่งร้องขอให้ช่วยชีวิต ในสมองของนางก็นึกถึง ภูตผีปีศาจผุดขึ้นมาทันที ยังรู้สึกว่าจะมีผีสางปรากฏกาย ออกมาแล้ว
ทว่าเมื่อยามที่กำลังเลิกม่านขึ้นมองไปทางต้นเสียงที่ ลอยเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็นนั้น กลับมิเห็นหญิง สาวที่เหมือนกับภูตผีกำลังสับเท้าวิ่งเข้ามาทางนี้แล้วหรอก หรือ
จากที่ไกลๆ มองรูปหน้าของหญิงผู้นั้นไม่ชัดนัก เห็นเพียงแต่ชุดไหมที่นางสวมใส่ถูกคนฉีกจนขาดวิ่นแล้ว ความงามแรกแย้มเปิดโล่ออกมา ทัศนวิสัยที่เป็นระลอก คลื่นเช่นนี้ ทำให้หลินซินเยียนที่แม้จะเป็นผู้หญิงก็ยังรู้สึก อายจนหน้าแดง นางก้มมองเรือนร่างด้านหน้าของตนอย่าง ไม่รู้ตัว ถึงแม้หน้าอกของนางนั้นนับว่าขนาดใหญ่ แต่ว่าเมื่อ เทียบกับหญิงนางนั้นแล้ว ราวกับเห็นได้ชัดว่ามันเล็กลง ถนัดตา
ขณะที่นางเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นโม่จื่อเฟิงจ้องมาที่ ตนเองตาเขม็ง เช่นนั้นฉากที่นางมองหน้าอกของตนนั้นก็ ถูกเขามองแล้วสินะ
“ทำไม รู้สึกว่าหน้าอกของตัวเองเล็กจึงรู้สึกผิดกับข้ารี” โม่จื่อเฟิงหัวเราะหยัน
รู้สึกผิดกับน้องท่านสิ!
คำหยาบคายเช่นนี้ แน่นอนว่ามิบังอาจพูดออกไป หลินซิ นเยียนทำเป็นหูทวนลมฟังสิ่งที่เขาพูดไม่เข้าใจ
“ช่วยด้วย พวกท่านคือกองทัพอุทัยใช่หรือไม่ ข้ารู้จักเจ้า
อู่เซวียนอ่อง ขอร้องล่ะได้โปรดช่วยข้าด้วย ท่านอ่องจะ
ต้องตบรางวัลอย่างามให้พวกท่านแน่!” ในที่สุดหญิงที่
ร้องขอความช่วยเหลือก็วิ่งมาถึงข้างหน้าของขบวนทัพ
หลินซินเยียนเลื่อนสายตาไปมองโม่จื่อเฟิงอย่างพิศวง “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องขึ้นกับผู้หญิงที่รู้จักท่านแล้วล่ะสิ” น้ำ เสียงเจือแววขบขันเฉกดูละครน้ำดี
โม่จื่อเฟิงกลับมิได้มีน้ำโห ทว่าหัวเราะออกมา “ทำไม หึงรี”
หลินซินเยียนกลอกตามองเขา มิได้เอ่ยคำใด ขี้เกียจจะ ตอบเขา นางกลับให้ความสนใจกับผู้หญิงข้างนอกรถม้า นางนั้นมากกว่า นางเลิกม่านขึ้นมองอีกครั้ง ครั้งนี้มิได้หัน กลับเข้ามามองอีกแล้ว
นอกรถม้า ผู้หญิงที่เสื้อผ้าขาดวิ่นผู้นั้นที่แท้ก็มีใบหน้า งดงามล่มเมือง ความมีเสน่ห์น่าหลงใหลนั้นไม่เหมือนกับ หลินซินเยียน หญิงนางนั้นงามงดประดุจกล้วยไม้กลางเขา หยาดเยิ้มหมดจดดั่งนางในวรรณคดี
หากว่าหลินซินเยียนคือสาวงามที่มีเสน่ห์ในโลกมนุษย์ หญิงนางนั้นก็เป็นเทพธิดาที่ตกลงมาจากสรวงสวรรค์ จาก หัวจรดเท้าล้วนขาวนวลผ่องใส แม้แต่เรือนผมก็เกลี้ยง เกลาไร้ไรฝุ่น
หลินซินเยียนเพิ่งค้นพบว่ารอบบริเวณนั้นแสนสงบ เนื่องจากเหล่าพลทหารทั้งหลายล้วนจับจ้องนางผู้นั้น นี่ก็ นับว่าแปลก แม้แต่หลินซินเยียนก็ถูกความงามตะลึงของ หญิงนางนั้นสะกดเอาไว้อย่างห้ามมิได้ นับประสาอะไรกับ เหล่าทหารที่มิได้ลิ้มลองแม้กระทั่งเหยื่อตกปลาอย่างพวก เขา
“ท่านอ่อง นอกรถม้ามีเทพธิดากำลังวิงวอนท่านให้ช่วย ชีวิต” เหล่าทหารนั้นมิอาจเรียกสติกลับมาได้แล้ว คงเหลือ แต่เพียงหลินซินเยียนที่ยังคงรักษาความสงบ เริกเอาม่าน รถขึ้นพร้อมส่งสัญญาณให้โม่จื่อเฟิงมองนอกหน้าต่างรถ
“เทพธิดามาจากที่ใดกัน เพ้อพกไป..” คำพูดของเขายังเอ่ยไม่ทันจบ หันหน้าก็พบผู้หญิงที่อยู่นอกรถม้า จากนั้น สีหน้าของเขาก็พังทลายลงชั่วขณะ โดยเฉพาะในแววตา ของเขา แววตกอกตกใจนั้นปิดไม่เลยแม้แต่น้อย
สามารถทำให้โม่จื่อเฟิงผู้มิเคยเกรงกลัวสิ่งใดตกใจ สุดขีดได้ หญิงผู้นี้กับโม่จื่อเฟิงจะต้องมีที่มาที่ไปอะไรแน่ๆ
“นายทหารทั้งหลาย ขอร้องพวกท่านเป็นธุระ ข้ามีของ กำนัลของท่านอ่อง สิ่งที่ข้าพูดนั้นล้วนเป็นความจริง พวก ท่านช่วยข้า ท่านอ๋องจะต้องตบรางวัลให้พวกท่านแน่” เทพธิดาน้อยเห็นว่าเหล่าทหารล้วนตกตะลึง คิดไปเองว่า ทหารพวกนั้นจะไม่ช่วยเหลือตน จึงรีบกระวีกระวาด อธิบาย ดวงเนตรน้อยไร้เดียงสาเต็มไปด้วยแววน้อยเนื้อ และทุกข์ยาก นางล้วงเอาหยกครึ่งหนึ่งออกมาจากอก บน หยกชิ้นนั้นสลักอักษร “โม่” เอาไว้หนึ่งตัว
ใต้การวิงวอนร้องขออีกกครั้งของเทพธิดาน้อย ในที่สุดก็ มีนายทหารที่หลุดจากภวังค์ความงามเรียกสติของตนกลับ คืนมา จากนั้นนายทหารนายคนนั้นก็เดินไปตรงหน้าร่าง อรชรรับเอาหยกในมือของเทพธิดาน้อย พลม้ามายังหน้า รถม้าอีกครั้ง เขาเอ่ยทูล “ท่านอ๋อง มีเทพธิดา อ่า ..มิใช่ มี หญิงนางหนึ่งอ้างเอาของกำนัลของท่านเพื่อขอให้ท่าน ช่วยเหลือ…
“ข้าเห็นแล้ว” เสียงของโม่จื่อเฟิงดังมาจากภายในรถม้า
เทพธิดาน้อยที่ยืนอยู่มิไกลได้ยินอู่เซวียนอ่องอยูยู่ภายใน รถม้า ก็รู้สึกซาบซึ้งในบัดดล สาวเท้าปลิวรุดหน้าไปทางรถ ม้า นายทหารแซ่โจวนึกอยากจะรั้งนาง ทว่าอาภรณ์บนเรือนร่างของนางในปัจจุบันนั้นค่อนข้างโล่งโจ้ง นายทหาร อีกหลายนายก็นึกอยากจะทำทว่ากลับไม่มีพื้นที่ให้มือได้ รั้งเลย หากว่าเป็นสตรีที่มีความสัมพันธ์กับท่านอ๋องจริง ถึง ตายพวกเขาก็มิอาจแตะต้องแม้แต่ปลายผม
ดังนั้นแม้รถม้าจะมีการอารักขาที่รัดกุม แต่กลับปล่อยให้ เทพธิดาน้อยผู้นั้นรุดหน้าไปยังรถม้าได้
นอกจากนี้อิงจากวรยุทธิ์ของโม่จื่อเฟิง หากเขาไม่ อนุญาต เทพธิดาน้อยผู้นี้คงวิ่งตัวปลิวเข้าไปมิได้หรอก นางวิ่งเข้ามาได้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่านางและโม่จื่อเฟิงมี สัมพันธ์กันจริง
วินาทีนั้น หลินซินเยียนกระตุกริมฝีปากยิ้มออกมา ที่แท้ หนอ เขาก็ยังคงเป็นโม่จื่อเฟิงผู้มักมากตามที่ตำนานได้เล่า ขานเขาไว้ไม่เปลี่ยน
เทพธิดาน้อยมิไยดีสายตาพิศวงของประชาชน ใช้มือ เท้าปีนป่ายขึ้นไปบนรถม้า เปิดประตูรถออกพบกับโม่ จื่อเฟิงซึ่งประทับกายอยู่บริเวณด้านหน้าพอดีในทันใด จากนั้นปลายจมูกของเทพธิดาน้อยแสบแดงและร่ำไห้ออก มา ทั้งร้องร่ำทั้งวิ่งไปยังด้านหน้าของโม่จื่อเฟิง จากนั้นภาย ใต้สายตาตกใจของหลินซินเยียน เทพธิดาน้อยโผเข้าสู่ อ้อมอกของโม่จื่อเฟิง
คนอื่นมิใคร่รู้ ทว่าหลินซินเยียนกลับรู้ดี คนธรรมดา มิ ต้องกล่าวถึงคนใกล้ตัว ก็คือคนในแคว้นโม่จื่อเฟิงไม่ อนุญาตให้ถูกเนื้อต้องตัวเป็นแน่ แต่กับเทพธิดาน้อยผู้นี้ทำ ขนาดโผเข้าสู่อกแกร่งของเขาได้
หัวใจของหลินซินเยียนไหวสั่นระริก ตัวลีบอยู่บริเวณมุม มิได้ขยับเขยื้อน พยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนที่สุดเท่าที่จะ ทำได้ นางตั้งใจพิเคราะห์ เวลาเช่นนี้ควรจะถอยออกไป อย่างรู้ความใช่หรือไม่ ให้เวลาคนทั้งสองที่มิได้พบหน้าค่า ตากันมานาน ท้ายที่สุด นางสวมบทเป็นนางบำเรอที่มีภาพ ลักษณ์หัวอ่อนฟังความ
แต่ว่าไม่รู้เหตุใด เท้าของนางขยับมิได้ บางที กระดูก ของนางอาจจะอยากเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของชายผู้นี้ เมื่อยามที่หน่ออ่อนแห่งความรู้สึกพิเศษต่างๆ กำลังจะถือ กำเนิดขึ้นในใจของตนเองก็ถูกกำจัดทิ้งเสียก่อน ดังนั้น นางมิได้ขยับ แต่มองอย่างสงบแทน
สีหน้าของโม่จื่อเฟิงไม่สู้ดีนัก เขายกแขนขึ้นอย่าง ต้องการผละหญิงสาวในอ้อมอกออก แต่ว่ายามที่มือของ เขาวางอยู่บนหัวไหล่ของเทพธิดาน้อยผู้นั้น เขากลับมิได้ ออกแรง
“พี่เขย ในที่สุดข้าก็ได้พบท่านแล้ว ท่านรีบไปช่วยท่าน พ่อข้าเถิด พี่เขย…” เทพธิดาน้อยทั้งร่ำร้อง ทั้งเช็ดคราบ น้ำตาของตนเข้ากับเสื้อผ้าของโม่จื่อเฟิง
โม่จื่อเฟิงมองอาภรณ์ของตนหนึ่งแวบอย่างไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะผละนางออกเล็กน้อย “เจ้าเป็นใคร”
“พี่เขย…ข้าคือเสี่ยวอิงไง” เทพธิดาน้อยนั้นแสนน้อยเนื้อ
ต่ำใจ “ท่านไม่นับว่ารู้จักข้า ทว่าข้ากับพี่สาวนั้นเป็นพี่น้อง
ฝาแฝดกัน พวกเราล้วนมีใบหน้าที่เหมือนกัน ท่านจำข้า
มิได้ แต่ก็มิอาจลืมพี่สาวของข้าหรอก พี่เขย พี่สาวของข้าได้ไหว้ฟ้าดินร่วมกับท่านแล้ว!”
หลินซินเยียนหัวเราะอย่างอดมิได้ ฮ่า ที่แท้อู่เซวียนอ่อง ผู้มักมากด้วยเสน่หาก็เคยมีช่วงเวลาเช่นนี้ ดูท่าแล้วจะฟาด เรียบทั้งพี่ทั้งน้องงั้นหรือ นางรู้สึกอยากอาเจียนในบัดดล คลื่นไส้ครู่หนึ่ง อดมิได้ที่จะขย้อนออกมาตรงบริเวณมุมรถ นางอาเจียนอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดออกมาเลย แต่ ว่าดูฉากละครที่น่าสนใจนี่แล้วกลับอ้วกไม่ลง
นางยันกายลุกขึ้น นึกอยากจะเคลื่อนย้ายไปยังนอกรถ ม้า ใครจะรู้ว่าเพิ่งขยับ โม่จื่อเฟิงก็ส่งเสียงเยือกเย็นลอยมา จากข้างหลัง “หยุดนะ! เจ้าจะทำอันใด”
หลินซินเยียนหันกลับไปอย่างพิศวง เมื่อยามที่มีสาวงาม อยู่ในอ้อมอก โม่จื่อเฟิงยังให้ความสนใจกับปฏิกิริยาเล็ก น้อยของนาง นางก็รู้สึกสะพรึงเพริศ “ท่านอ๋องกับศัตรูได้ พบปะกัน ข้าก็ต้องรู้จักหลบเลี่ยงเป็นธรรมดา หากว่าได้ยิน ความลับอะไรที่มิสมควรจะได้ยิน ถูกคนฆ่าปิดปากจะมิ เป็นการตายอย่างอยุติธรรมหรอกหรือ”
“นั่งลง!” โม่จื่อเฟิงจ้องดวงตาของนาง หลินซินเยียนยู่ ปากก่อนจะหันกลับไปนั่งลงยังมุมตามเดิม เพียงแต่ว่าครั้ง นี้ นางรินน้ำชาใส่แก้วให้ตนเองอย่างไม่รีบร้อน
เทพธิดาน้อนอวิ่นเสียวอิงราวกับว่าเพิ่งสังเกตเห็นการมี ตัวตนของหลินซินเยียน มองเห็นรูปลักษณ์ของหลินซิน เยียนแล้วบริเวณจมูกกลับแสบร้อนและร่ำร้องออกมา “ข้า ว่าแล้ว พี่เขยท่านจะลืมพี่สาวข้าได้ลงเช่นไร ที่แท้ก็.. ที่แท้ก็..”
อวิ้นเสี่ยวอิงร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา ดึงเอาแขนเสื้อของ โม่จื่อเฟิงมาเช็ดคราบน้ำตา ท่าทางที่แสนสนิทสนมกันเช่น นี้นางทำได้อย่างแนบเนียน ประหนึ่งว่าเมื่อก่อนก็เคยทำมา แล้วก็มีปาน
ก็ใช่ รูปหน้าคมคายหาใดเปรียบของโม่จื่อเฟิง ช่าง เหมาะสมคล้องจองกับเทพธิดาน้อยตรงหน้านี้เสียกระไร
“เอาล่ะ สรุปว่าเกิดเรื่องอันใดกันแน่” โม่จื่อเฟิงพ่นลม หายใจออกมา ถามเสียงเย็น และดึงแขนเสื้อของตัวเอง กลับมาอย่างมิให้มีร่องรอย
สีหน้าอวินเสี่ยวอิงเปลี่ยนไปฉับพลัน คว้าหมับเข้าที่แขน ของเขาพลางเขย่าไปมา “เชษฐภาดา เกิดเรื่องขึ้นในเขา แล้ว มีคนบุกรุกเข้ามาในหุบเขา เข่นฆ่าผู้คนจำนวนมาก ข้า วิ่งหนีออกมาอย่างยากลำบาก แต่ว่าท่านพ่อ…พี่เขย ท่าน รีบไปช่วยท่านพ่อได้หรือไม่”
โม่จื่อเฟิงยังคงเคร่งขรึม ครู่ต่อมายังคงมิเอ่ยพูด ราวกับ ว่ากำลังลังเล
อวิ้นเสี่ยวอิงเห็นว่าเขามิขยับ ก็ร้องลั่นขึ้นมาอีก “พี่เขย เดิมที่เพื่อช่วยท่านอาไว้พี่สาวข้าได้เสียสละมากมาย มา บัดนี้คนในครอบครัวของนางยากลำเค็ญ ท่านจะทำเป็นมิรู้ มิสนจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
“นำทางไป!” ท้ายที่สุด โม่จื่อเฟิงก็ตัดสินใจได้แล้ว
อวินเสี่ยวอิงได้ฟัง ก็รีบวิ่งไปยังปากทางเข้ารถม้าเริ่ม บอกทางทันใด โม่จื่อเฟิงขมวดคิ้วมุ่น หยิบเอาอาภรณ์ตัวยาวที่อยู่ข้างลำตัวขว้างทิ้งโดยอำเภอใจ
อวินเสี่ยวอิงรับเอาอาภรณ์ตัวยาว ราวกับเพิ่งจะค้นพบว่า เรือนร่างของตนนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างอธิบายยาก และเผยความสะพรั่งออกมาที่ละน้อย ใบหน้าเรื่อแดง นำ เอาอาภรณ์ของเขามาสวมใส่อย่างขวยเขิน
มิรู้ว่าเหตุใด เมื่อมองเห็นภาพนี้แล้ว หลินซินเยียนกลับ รู้สึกอยากจะขย้อนออกมา ที่แท้อาภรณ์ของเขา มิเพียง แต่ให้นางสวมใส่เพียงคนเดียว
หากร่วมเดินทางสามคนต้องมีหนึ่งเป็นอาจารย์ของข้า ทว่าบนรถม้าในเวลานี้ กลับเป็นเดินทางร่วมกันสามคนต้อง มีหนึ่งเป็นศัตรูของข้า หลินซินเยียนมิได้มองว่าอวิ๋นเสี่ยว อิงเป็นศัตรู แต่ทว่าอวิ๋นเสี่ยวอิงกลับไม่เหมือนกัน
อวินเสี่ยวอิงที่นั่งพิงหลังกับโม่จื่อเฟิงแอบส่งยิ้มเย้ยหยัน ให้หลินซินเยียน รอยยิ้มเช่นนั้นแอบแฝงไปด้วยความ ทระนงตนและดุร้าย
ที่แท้ เรื่องราวแสนงดงามทุกเรื่องบนโลกใบนี้นั้นก็มิได้ สวยหรูเหมือนดั่งที่แสดงออกให้คนเห็น ก็เหมือนกับอวิ๋น เสี่ยวอิงผู้นี้ กำเนิดมาด้วยใบหน้างามงดหมดจดเยี่ยงนี้แท้ๆ แต่กลับฉายแววอำมหิตในดวงเนตรออกมา
ขบวนพลม้าเร่งความเร็วตามที่อวิ๋นเสี่ยวซิงชี้ทิศทางไป ข้างหน้า แต่ว่าผ่านไปไม่กี่ชั่วยามก็มาถึงหุบเขาลึก ตรง หุบเขานี้มีถนนอยู่เส้นหนึ่ง รถม้ามิสามารถผ่านไปได้ ดัง นั้นพวกโม่จื่อเฟิงต้องลงจากรถม้าเพื่อเดินเท้า ยังไม่ถึงตีน เขาดี กลับมองเห็นหมอกควันหนาจากที่ไกลๆ ซึ่งพวยพุ่งขึ้นมาจากตีนเขา