ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 214
ตอนที่ 214 จินมู่อยากแต่งภริยาแล้ว
ผู้สนองโอษฐ์ของฮองเอา หลินซีนเยียนมองไป ทางโม่จื่อเฟิง ราวกับเขาเดาความกังขาของนางออก จึงหัวเราะพลางเอ่ย “ผู้สนองโอษฐ์ของฮองเฮาหาใช่ ครอบครัวธรรมดาไม่ เจ้าคงเคยได้ยินแม่ทัพใหญ่เว่ยจ วิ้น”
“ชื่อเสียงเรียงนามของแม่ทัพใหญ่เว้ย ข้าย่อมเคย ได้ยินเป็นธรรมดา แม่ทัพใหญ่เว้ยเกี่ยวพันกับฮองเฮา เป็น ” นางรอให้โม่จ่อเฟิงไขข้อกังขาแทนนาง
“เชษฐาแท้ๆ” โม่จื่อเฟิงเอ่ยสามคำ เว้นวรรคเผื่อ ให้หลินซีนเยียนได้ตกอกตกใจ ก่อนเขาจะกล่าวต่อ “ดังนั้น ฮองเฮาเต็มใจให้ผู้อาวุโสในบ้านรับเจ้าเป็น บุตรีบุญธรรม นับเป็นวาสนาของเจ้า เจ้ายังจะที่ออยู่ ทำไม ยังไม่ขอบพระทัยฮองเฮาอีก” มีพี่ชายแท้ๆ คน หนึ่งเช่นนี้ มิแปลกใจที่ได้ประทับยังตำแหน่งฮองเฮา โดยไม่สั่นคลอน เพียงแต่ขบคิดถี่ถ้วนก็ควรจะเป็นเช่น นี้ หากว่าครอบครัวของฮองเองไม่แข็งแกร่งมากพอล่ะ ก็จะป่ายปืนยังตำแหน่งราชินีได้เช่นไร
หลินซีนเยียนรีบร้อนหยัดกายขึ้น มายังหน้าพระ พักตร์ฮองเฮาเว่ยชิงเฟิงพร้อมยอบกายคำนับหนึ่งครั้ง “ข้าน้อยขอบพระทัยฮองเฮา”
ฮองเฮารีบยันกายมาประคองให้นางลุกขึ้น ซ้ำยัง หัวเราะผสมโรงกับโม่จื่อเฟิงก่อนเอ่ย “อู่เซวียนอ๋องเหตุใดต้องให้ขนิษฐาคำนับเสียใหญ่โต นี่เป็นเพียง เรื่องเล็ก ใช่เรื่องยากเข็ญอย่างที่พวกท่านกล่าวเสียที่ ใดกันเล่า”
เป็นถึงฮองเฮามารดาของแผ่นดินแท้ๆ แต่กลับ ประทานนามพลิ้วไหวอรชร ก็แม้แต่อุปนิสัยดูแล้วก็มี กลิ่นอายแห่งความโลกุตระละเอียดลออ
“สำหรับฮองเฮาแล้วเป็นเพียงเรื่องเล็ก สำหรับข้า กลับมิใช่เรื่องเล็กอันใดเลย” แม้โม่จื่อเฟิงจะกล่าวเช่น นี้ แต่กลับมิได้ขอบพระทัยนางแต่อย่างใด
สดับฟังถึงตรงนี้ นับว่าหลินซีนเยียนเข้าใจขึ้นมา บ้างแล้ว เป็นที่รู้กันว่าจักรพรรดิรัชกาลปัจจุบัน ปราศจากรัชทายาท โดยเฉพาะฮองเฮาและฮ่องเต้เสก สมรสเคียงกันมาหลายกว่าปียังไร้วี่แวว เดาว่าฮองเฮา ผู้นี้เพียงแค่กำลังประจบประแจงปิตุลาของนางผู้นี้ก็ เท่านั้น
โม่จอยี่รั้งให้โม่จื่อเฟิงเสวยกระยาหารเที่ยงร่วม กัน โม่จื่อเฟิงมิได้เกรงใจ รับประทานเครื่องเสวยเสร็จ จึงพาหลินซีนเยียนทูลลา ยังได้หารือกับฮองเฮาแล้ว นับจากวันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป หลินซีนเยียนต้องเข้าในวัง มาเรียนรู้กฎมณเฑียรบาลกับฮองเฮาเป็นระยะเวลา หนึ่ง
เพิ่งออกจากวังหลวง ภายในรถม้า หลินซีนเยียน ประชิดใกล้โม่จื่อเฟิงแบบอดรนทนมิได้ “ท่านอ๋อง ข้าดู แล้วฮองเฮาช่างแสนดีเป็นมิตรนัก เหตุใดท่านจึงพูดว่างนางไร้มนุษยธรรม ข้าเข้าใจว่าจะต้องเข้าวัง ท่าน พูดเกี่ยวกับฮองเฮาให้ข้าฟังหน่อยเถิด ให้ข้าได้มีที่ยึด เหนี่ยวใจ มิเช่นนั้นหากว่าเกิดเรื่องวุ่นวายอันใดขึ้น มิใช่ว่าจะเดือดร้อนถึงท่านอ๋องหรอกหรือ”
“ข้าย่อมรู้ว่าเจ้าอดไม่ได้” โม่จื่อเฟิงหัวเราะอย่างมี เลศนัย เอื้อมมือไปเชยคางมนของนางขึ้น โน้มเข้าใกล้ นาง กล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าคิดว่าเหตุใดเสด็จพี่ของ ข้าจึงไร้รัชทายาท”
หินก้อนเดียวก่อให้เกิดคลื่นซัดพันชั้น หลินซีน เยียนได้ฟังก็ชะงักเบิกตากว้าง “ท่านว่าฮองเฮานาง..”
“เฮ้!” โม่จื่อเฟิงสบถเสียงเบา กล่าวซ้ำ “เว่ยจวิ้นน ควบคุมอำนาจทหารของหนานเยว่ไว้เกือบครึ่งค่อน ประเทศ เสด็จพี่จะให้ขนิษฐาของเขากำเนิดรัชทายาท ได้อย่างไร เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าคนของตระกูลจะมี อำนาจเหลือล้น นางคลอดบุตรมิได้ กระทั่งไม่ให้แม้ผู้ อื่นกำเนิดบุตรอีก”
นี่นับว่าเป็นข่าวคราวความลับขั้นสุดยอดของทาง ราชวังสินะ ได้ฟังข่าวคราวเรื่องนี้ หลินซีนเยียนลอบ กลืนน้ำลายอย่างอดมิได้ ปากแดงระเรื่อพะงาบๆ นาง ไม่รู้ การเคลื่อนไหวแบบไม่ได้ตั้งใจของนางได้ดึงดูด สายตาของใครบางคนเอาไว้
แต่ว่า เรื่องเช่นนี้ โม่จื่อเฟิงบอกนางอย่างง่ายดาย เขาไม่กลัวนางเอาไปโพนทะนาข้างนอกรี ถึงแม้ นาง จะไม่กล้า
“ท่านอ๋องท่าน…” หลินซีนเยียนยังคงขบขันเพิ่ง ได้ยินความลับเช่นนี้ เมื่อเรียกสติกลับมาได้ก็เห็น สายตาของโม่จื่อเฟิงจ้องตนเองไม่กะพริบ ความ ปรารถนาในแววตาคู่นั้นช่างร้อนระอุเหลือ ให้นางทำ เมินเฉยก็คงทำมิได้
“นี่คงเป็นเรื่องที่เจ้ายุแหย่ข้า” โม่จื่อเฟิงพ่นลม หายใจหนักหน่วงพลางกล่าวประโยคนี้ ดึงมือเรียวของ นางมาวางยังบริเวณกายด้านล่างของตน
การรับรู้ถึงความร้อนผ่าวตรงกลางมือทำให้หลิน ซีนเยียนตกอกตกใจจนเผลอร้องออกมา ถึงแม้ทั้งสอง จะอยู่ด้วยกันมานานเนิ่น โครงสร้างของร่างกายก็คุ้น เคยเสียจนคุ้นเคยกว่านี้มิได้แล้ว แต่ว่าครั้งนี้ในเวลา เช่นนี้ นางยังคงมีอาการใจสั่นหน้าเรื่อแดงอย่างอดไม่ อยู่
อีกอย่าง ให้ตายสิ นางไปยุแหย่เขาตั้งแต่เมื่อใด
เสียงเจือจางที่เล็ดลอดออกมาจากข้างในรถม้า ทำให้ผู้คนไร้วิธีทำเป็นเมินเฉย จินมู่ผู้เป็นหน่วย อารักขาชั้นเลิศแห่งแคว้นหนานเยว่ ทว่าเขาซึ่งรับ หน้าที่เป็นผู้บังคับเกวียนกลับมิอาจหลีกลี้การเฝ้ายาม ทำได้เพียงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
โบราณกล่าว หยาบโลนอย่ามอง ผิดคลองธรรม
ห้ามฟัง
ทว่า เสียงนี้ช่างชัดเจนเกินไปเสียจริง
จินมู่ผู้น่าเห็นใจ ในเสียงพึมพำเป็นระยะได้ลอบ ตัดสินใจ เขาควรจะหาภริยาสักคนแล้ว
วันถัดมาหลินซีนเยียนก็บสัมภาระเข้าไปยังวัง หลวง เพียงแต่ครั้งนี้ปราศจากความคุ้มกันการเดินทาง
จากโม่จื่อเฟิง นางกำนัลที่มาต้อนรับนางก็ไม่ได้มี
มากมายขนาดนั้น
มาถึงพระทวารราชวัง มีเพียงนางกำนัลหนึ่งคนที่ เฝ้ารออยู่หน้าประตู เห็นว่านางยังอยู่บนรถม้า นาง กำนัลผู้นั้นขมวดคิ้วมุ่นมีแววไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ท่านก็คือแม่นางหลินซีนเยียนสินะ เอาล่ะ รีบลงจาก รถม้าเสีย นอกจากเหล่าเสนาอำมาตย์ในวังและผู้ที่ ฮ่องเต้ประทานอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ นอกนั้นก็ไม่ สามารถนั่งรถม้าเข้าไปในวังได้”
หลินซีนเยียนหวาดเกรงเล็กน้อย กลับมิได้เอ่ยคำ ใด ทำเพียงหอบเอาห่อสัมภาระแล้วลงจากรถม้า แค่ คิดว่านั่งรถม้าใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบนาที หากเปลี่ยน เป็นเดินเท้าแล้วล่ะก็ จะต้องเดินถึงหนึ่งชั่วยามหรือไม่
ความจริงพิสูจน์แล้วว่า.หนึ่งชั่วยามนั้นยังนับว่า เร็วไป
ยามที่รอนางกำนัลผู้นั้นนำหลินซีนเยียนมาถึงพระ ตำหนักยงเหอ ได้ล่วงเลยเวลากว่าหนึ่งชั่วยามมาแล้ว เรียบร้อย หลินซีนเยียนเดินจนหอบกระหืด กลับถูก นางในคนนั้นดู แคลน “ร่างกายท่านช่างอ่อนแอใช้ได้ เสียจริง เพิ่งเดินมาได้เพียงครู่เดียวก็เหนื่อยหอบได้เพียงนี้ เอาล่ะ พวกเราพักเอาแรงตรงหน้าพระทวาร ราชวังสักหน่อย รอท่านมีเรี่ยวมีแรงแล้วค่อยเดิน เข้าไปอีกเถิด มิเช่นนั้นฮองเฮาจะคิดว่าข้าจงใจทารุณ ท่านเอาได้”
สีหน้าของหลินซีนเยียนซีดเซียวเล็กน้อย เอนพิง บนกำแพงพร้อมสูดเอาลมหายใจลึก ยังมีความกังขา มากมายในเรื่องการกลั่นแกล้งอันซับซ้อนซ่อนเงื่อน ของนางกำนัลคนนี้ ในความทรงจำของนาง ดูเหมือน ว่าจะไม่เคยมีความบาดหมางกับนางกำนัลผู้นี้
พักผ่อนได้ครู่หนึ่ง นางกำนัลผู้นั้นก็เดินนำนางเข้า สู่พระตำหนักยงเหอ ทั้งสองตรงไปถึงในสวนหลัง ภายในสวนหลังมีนางกำนัลอาวุโสกำลังเข้าเฝ้าฮองเฮา ปักแจกันดอกไม้ มองเห็นทั้งสองเข้ามา ฮองเฮาทำ เพียงกวาดตามองแวบหนึ่ง นางกำนัลอาวุโสที่อยู่ด้าน ข้างกลับเดินมาตรงหยุดตรงหน้าหลินซีนเยียน
“ช่างบังอาจยิ่งนัก นี่เพิ่งเข้าวังวันแรกก็มิเห็น ฮองเฮาอยู่ในสายตาแล้ว เจ้าดูเวล่ำเวลา นี่มันกี่ยามกัน แล้ว ฮองเฮารอเจ้ามาครู่ใหญ่ เจ้าถือตัวว่าเป็นอันใด ใยกล้าให้ฮองเฮารอนานเพียงนี้”
แม่นมอาวุโสดุด่าจนแสบแก้วหู ทำให้หลินซีน เยียนปราศจากปฏิกิริยาตอบสนองเนิ่นนาน แม้กล่าว ว่าคนในราชวังล้วนมีชีวิตแบบใส่หน้ากาก เพียงแต่ ฮองเฮาผู้นี้แสดงออกอย่างรู้ความต่อหน้าฮ่องเต้เมื่อ วานนั้น แค่หันกายก็เปลี่ยนเป็นไร้การปิดบัง มิใช่ว่าออกจะเกินจริงไปหน่อยหรือ
ไม่แปลกใจที่โม่จื่อเฟิงกล่าวว่าฮองเฮาผู้นี้ มนุษยธรรมไม่เข้าท่านัก ดูเช่นนี้แล้ว สายตาของโม่ จื่อเฟิงช่างแหลมคมเสียจริง นางชักเป็นกังวลใจกลับ วันเวลาต่อจากนี้ขึ้นมาในบัดดล เรียนรู้กฎมณเฑียร บาลภายใต้เงื้อมมือของคนประเภทนี้ จะมีภยันตราย ต่อชีวิตหรือไม่
“เฮ้ ช่างสั่งสอนไม่ได้เสียจริง ข้าพูดตั้งครึ่งค่อนวัน ยังที่ออยู่ได้” แม่นมอาวุโสเท้าเอวสองมือ หมุนกายไป ประจันหน้ากับนางกำนัลที่นำหลินซีนเยียนเข้ามา พร้อมตะโกน “อี้เหมย เจ้ายังไม่ได้สั่งสอนกฎให้นางรี”