ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต - ตอนที่ 25
ตอนที่ 25 โชคดีที่ข้าเก็บมือกลับมาไว
ดวงอาทิตย์ขึ้นพอดี ขบวนรถม้าเตรียมพร้อมแล้ว มีทหารไปรายงานหลินซีนเยียนให้เตรียมตัวออกเดิน ทาง
หลินซีนเยียนพาหลินอี้เชิงมาหน้าประตูอี้กวน เห็น ว่ามีหลายคนกำลังรออยู่ นางคิดจะพาหลินอืี้เชิงไปที่ ห้องครัว ตอนเช้าพวกนางกินอาหารเช้าไม่ทัน เพ ราะถูกน้องสาวของเซียวฉางเยว่ขวางเอาไว้ พอเริ่ม ออกเดินทาง กลัวว่าถึงบ่ายแล้วก็ยังไม่ได้กินข้าว
หลินซีนเยียนไม่เป็นไร แต่ว่าอี้เซิงอยู่ในวัยกำลัง โตจะปล่อยให้หิวไม่ได้
ในห้องครัวมีสาวใช้คนหนึ่งกำลังกวาดพื้น พอนาง เห็นทั้งสองคน คิ้วก็เลิกขึ้นแล้วหันหลังทำเป็นมองไม่
เห็น
“แม่นาง ในนี่พอมีอะไรกินหรือไม่? “หลินซีนเยียน ถามอย่างมีมารยาท
สาวใช้คนนั้นหยิบหมั่นโถวที่เพิ่งนิ่งเสร็จออกมากัด ไปคำ แค่นเสียงพูด”เหอะ หมั่นโถวนี้ชิ้นสุดท้าย ข้าเพิ่งกินไป ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
หลินซีนเยียนไม่ได้ถามอีก ดูท่าทางของสาวใช้ คนนี้ออก มีคนสั่งให้ทำอย่างแน่ นางไม่ถามก็รู้ว่าเป็น ใคร จึงจูงมืออี้ชิงเดินออกไป ไม่ได้พูดเพื่อเอาใจ จนทำให้สาวใช้คนนั้นลำบาก
ใครๆ ก็ว่ามีเงินจะปลุกผีขึ้นมาโม่แป้งให้ก็ยังได้ ตอนที่หลินซีนเยียนเผชิญกับความจนมากที่สุด แม้แต่ สลึงหนึ่งก็ไม่มี ตอนนี้ก็ไม่สามารถไปซื้ออะไรที่ข้าง นอกให้อี้เซิงกินได้เลย
มีเงินจะปลุกผีขึ้นมาโม่แป้งให้ก็ยังได้ แปลว่า มีเงิน ก็สามารถทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
นางถอนหายใจหนึ่งครั้ง ดูว่าต่อไปจะต้องคิดวิธี หาเงินให้ได้
“ข้าไม่หิว”อี้เชิงที่อยู่ข้างนาง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา หลินซีนเยียนชะงัก ส่งยิ้มอ่อนๆ พลางพยักหน้า
ขณะนั้นโม่จื่อฟงกำลังเดินลงบันไดมา เห็นผู้หญิง ยิ้มอย่างอ่อนโยนคล้ายกับฤดูใบไม้ผลิให้กับเด็กชาย คนหนึ่งตรงทางเดินพอดี เดิมนางมีรูปโฉมงดงามอยู่ แล้ว เมื่อยิ้มออกมาจากใจเช่นนี้แล้วยิ่งทำให้คนรู้สึก เมือยหวั่นไหวไม่ใช่น้อย แต่น่าเสียดายที่รอยยิ้มนี้กลับเป็น ของเด็กคนหนึ่ง
โม่จื่อฟงขมวดคิ้ว ตอนมองหลินซีนเยียนอีกครั้ง
กลับมีสีหน้าดูไม่ได้
“ท่านอ๋อง ทุกอย่างพร้อมหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ พอท่า นอ๋องขึ้นรถม้า พวกเราก็ออกเดินทางทันที “จินมู่ยืน อยู่ข้างรถม้าคันหรูหรา รายงานต่อผู้บังคับบัญชา อย่างนอบน้อม
โม่จื่อฟงส่งเสียงตอบกลับ เดินไปข้างรถม้าและขึ้น รถม้าไปทันที
เส้นทางยังอีกยาวไกล คนส่วนใหญ่ขี่ม้าไม่ก็นั่ง ก็นัง รถม้า ไม่มีใครเดิน พอทุกคนขึ้นม้า ขึ้นรถม้าหมดแล้ว เหลือเพียงหลินซีนเยียนกับอี้เพิ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู สองคน
จินมู่ขี่ม้าเข้ามาหา”แม่นางหลิน ขี่ม้าเป็นหรือ
ไม่? ”
หลินซีนเยียนกัดปาก พยักหน้า”หาคนพาข้าไปได้
หรือไม่?”
“คือ…”จินมู่ซะงัก”ชายหญิงไม่ควรอยู่ใกล้ชิดกัน”s
“เช่นนั้นยังมีรถม้าเหลืออยู่หรือไม่? “หลินซีนเยียน ถามอีกครั้ง
จินมู่ถอนหายใจและส่ายหน้า เป็นเขาที่สะเพร่าเอง ลืมไปหารถม้าจากแถวนี้มาอีกคัน ใกล้จะออกเดินทาง แล้ว หากไปหาตอนนี้คงเสียเวลาเป็นอย่างแน่”เช่น นั้น ข้าไปถามพวกสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังว่า ยังมีที่ให้ พวกเจ้าเบียดได้หรือไม่? ”
“รบกวนหัวหน้าจินมู่แล้ว”หลินซีนเยียนพยักหน้า
จินมู่ขี่ม้าไปขบวนด้านหลัง สักพักก็กลับมาด้วยสี หน้าที่เต็มไปด้วยความลำบากใจ”รถม้าของพวกสาว ใช้เต็มหมดแล้ว แม้แต่ที่นั่งคนขับที่นั่งได้ 3 คน ก็ เบียดเข้าไปไม่ได้…”
“เช่นนั้น หาคนพาข้าไปด้วยเถิด ใครก็ได้ข้าไม่ ถือ”แค่ขี่ม้าเอง สำหรับนางวัยรุ่นหญิงในยุคปัจจุบัน แล้ว ไม่ได้คิดอะไรมาก
จินมู่รู้สึกลำบากใจ ฐานะของหลินซีนเยียนยังไม่ชัด เจนนัก อ๋องอู่เสวียนไม่ได้มอบชื่อตำแหน่งใดให้กับ นาง ไม่ว่ารู้จะจัดการกับนางอย่างไรดี แม้รถม้าของ ท่านอ๋องยังมีที่ว่างอยู่มาก แต่จินมู่ไม่กล้าไปถามให้เขารับคน 2 คนเข้าไปนั่งด้วย
“หัวหน้าจินมู่ ข้าไม่ถือสาว่าจะผลส่งกระทบต่อชื่อ เสียง หรือว่าพวกท่านถือสากัน? “หลินซีนเยี่ยนจูงมี ออี้เพิ่งไปข้างหน้าม้าของจินมู่ และดันอี้เซิงไปหา เขา”หากไม่ได้จริง ๆ ท่านก็พาอี้เชิงไปแล้วกัน ข้าจะ ค่อยๆ เดินตามท้ายขบวน”
“จะเดินไปได้อย่างไร ความเร็วการเดินจะตาม ขบวนรถม้าทันได้ที่ไหนกัน “จินมู่ลังเลสักพัก หันหน้า ไปมองรถม้าของโม่จื่อฟงที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร เขาคิดไปมา ลังเลไปสักพัก”เช่นนั้นก็ดี ข้าพาเขาไป เอง เดี๋ยวข้าจะให้รองหัวหน้าพาเจ้าไป”
“ขอบใจ”หลินซีนเยียนเห็นด้วย จินมู่ยื่นมืออุ้มอี้เชิง ขึ้นมานั่งข้างหน้าของตนเอง แล้วส่งเสียงเรียกทหาร คนหนึ่งอย่างดุดัน ทหารคนนั้น เมื่อได้ยินว่าให้พา หลินซีนเยียนไปด้วยก็ตกใจสะดุ้งทันที
ใครๆก็รู้ หลินซีนเยียนเป็นผู้หญิงที่เคยหลับนอน กับอ๋องอู่เสวียน ถึงจะไม่มีตำแหน่งอะไร แต่ก็ไม่สา มารถแตะต้องได้
“หัวหน้า ท่านล้อข้าเล่นใช่หรือไม่”รองหัวหน้าทำสีหน้าตำหนิ
จินมู่เห็นท่าทีของนายพลท่านหนึ่ง “แค่พาคนไป เองไม่ใช่หรือ? ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่เคยพาใครขี่ม้า ไปด้วย จะว่าไป ก็ไม่ได้ให้เจ้าทำอะไรนางอยู่แล้ว หรือว่าเจ้ามีความคิดเช่นนั้น? ”
“ข้าจะกล้ามีความคิดเช่นนั้นที่ไหนกัน! ก็ได้ ข้า พานางไปเองก็ได้”รองหัวหน้าขมวดคิ้ว เพียง ฝัน บังคับตนเองให้พาหลินซีนเยียนไปด้วย เขานั่งอยู่ บนหลังม้า ยื่นมือไปหาหลินซีนเยียน มือใหญ่ที่หยาบ กระด้างเป็นร่องรอยของการจับอาวุธมาเป็นเวลานาน
หลินซีนเยียนเงยหน้าแล้วส่งรอยยิ้มที่สดใสให้ ยื่น มือเล็กขาวนุ่มของตนเองออกไป “ขอบใจท่านรองหัว หน้า”
มือที่มีผิวดำหยาบกระด้าง และมือเล็กขาวนุ่มแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วให้รู้สึกแปลกอย่างมาก จังหวะที่มือทั้งสองกำลังสัมผัสกันนั้น ไม่รู้ว่าลมหนาว จากที่ใด พัดระหว่างมือของทั้งสอง
ทั้งสองนิ่งชะงัก ไม่มีการตอบสนองอะไร เพียง ได้ยินเสียงเย็นชาที่ดังมาจากในรถม้าข้างๆ “ไสหัวขึ้นมา”
คำพูดเพียง 4 คำที่ราบเรียบ ราวกับว่าคนที่พูดไม่ ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไร
แต่ว่า เสียงที่ดังออกมาจากในรถม้า คนที่พูดคือโม่ จื่อฟง จึงไม่มีใครกล้าคาดเดาว่า เขาไม่ได้มีอารมณ์ โกรธเคืองแต่อย่างใด
จริงอย่างคาดคิด มือของรองหัวหน้าก็รีบชักมือ กลับทันที และยังไม่ลืมปาดเหงื่อบนหน้าผากของตน เอง บ่นพึมพำ”แม่เจ้าโว้ย ดีที่ข้าชักมือกลับเร็ว ท่าน อ๋องออกคำสั่งมาแล้ว หากช้ากว่านี้มือข้างนี้คงไม่มี เสียแล้ว”
พอบ่นพึมพำแล้ว เขาก็จ้องมองจินมู่เขม็ง”หัวหน้า ต่อไปข้าต้องเชื่อฟังท่านอย่างแน่นอน ขอท่านอย่าให้ ข้าจัดการเรื่องแบบนี้ก็พอ”
จินมู่เบะปาก คร้านจะตอบเขากลับ
หลินซีนเยียนไม่ยอมวางมือ อีกนิดเดียวก็ได้ขี่ม้า แล้ว ท่านอ๋องภูเขาน้ำแข็งคนนี้สงสัยจะกินยาผิดมา ถึงกลับให้นางขึ้นรถม้าไปด้วย! เดิมที่นางไม่อยาก นั่งรถคันเดียวกับเขา ใครจะไปชอบคนที่นิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่ก็เย็นชา ไม่ก็อารมณ์หุนหันพลันแล่น คนนี้ได้?
“ข้า ไส หัว ไม่ เป็น! “หลินซีนเยียนรู้สึกโกรธเคือง
อยู่ในใจ กัดฟันเดินไปพูดกับคนในรถม้า
ความเงียบในรถม้าชั่วขณะนั้น กลับมีเสียงแค่นหัว เราะดังออกมา หลินซีนเยียนรู้สึกถึงลมแรงภายใน พริบตาหนึ่ง ร่างกายของตนเองก็ลอยเข้าไปในรถม้า
หลินซีนเยียนร่วงลงมาในมุมของรถม้าอย่างแรง เมื่อหลังกระแทกเข้ากับรถม้า ทำให้รู้สึกเจ็บที่ บาดแผล เจ็บจนตกใจสะดุ้ง